หลักกฎหมายปกครองทั่วไป : ทางออกในการอุดช่องว่างกฎหมายปกครองไทย โดย นางสาวปาลีรัฐ ศรีวรรณพฤกษ์ |
|
|
|
นางสาวปาลีรัฐ ศรีวรรณพฤกษ์ |
|
|
|
|
|
|
|
|
นักกกฎหมายไทยทุกคนคงจะต้องมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับชื่อของ มองเตสกิเออร์ นักคิดชาวฝรั่งเศส เจ้าของทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจ ซึ่งมักจะได้รับการยกขึ้นมา โต้เถียง อยู่เสมอในห้วงเวลาแห่ง การจัดสรรอำนาจให้ลงตัว อย่างเช่นกรณีของการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ หรือในกรณีที่มีการจัดตั้งองค์กรการใช้อำนาจใหม่ อย่างเช่น ในกรณีการโต้เถียงเรื่องการจัดตั้งศาลปกครองในระบบศาลคู่ หรือ ศาลเดี่ยว ดังที่ปรากฎอยู่ในประวัติการจัดตั้งศาลปกครองของไทยเองในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2538 การโต้เถียงที่ผ่านมามักจะเป็นการโต้เถียงในการค้นหาคำตอบว่า การแบ่งแยกและจัดสรรอำนาจในกรณีต่างๆนั้น ขัดหรือไม่กับทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจของมองเตสกิเออร์ ซึ่งแน่นอนอยู่ที่ว่า การได้มาซึ่ง คำตอบ ในของคำถามดังกล่าวนั้น จะต้องมีการ วิเคราะห์ ย้อนไปถึงหลักการของทฤษฎีดังกล่าว และ สังเคราะห์ สิ่งที่มองเตสกิเออร์ได้เคยคิด เคยเขียน และ วิจารณ์เอาไว้
สำหรับในบทความนี้ ผู้เขียนก็จะขอยกทฤษฎีดังกล่าวขึ้นมาเป็นคำถามหลักในการเปิดประเด็นชวนคิดถึงสิ่งที่ผู้เขียนอยากจะเสนอให้วงการกฎหมายมหาชนของไทยได้รู้จักและนำมาใช้ให้เข้ากับบริบท อย่างไทย ในการ ปรับ หลักกฎหมาย หรือ สร้าง หลักกฎหมาย หรือ ยืนยัน หลักกฎหมาย เพื่อเป็นการอุดช่องว่างกฎหมายปกครองในส่วนที่กฎหมายปกครองของไทยยังไม่มีการบัญญัติเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร หรือในกรณีที่เป็นการแก้ปัญหาในกรณีต่างๆที่กฎหมายที่บัญญัติไว้ไม่มีความชัดเจนเพียงพอ หรือรวมทั้งการตีความที่อาจจะทำให้เกิด ผลประหลาด ไม่เข้ากับบริบท อย่างไทย ตามที่ผู้เขียนกล่าวไว้แต่ข้างต้น
คำถามหลักที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีของมองเตสกิเออร์อันเป็นที่มาถึงบทความชิ้นนี้ นั้น คือคำถามที่จุดประเด็นความสงสัยว่า จริงหรือไม่ที่องค์กรผู้ใช้อำนาจนิติบัญญ้ติ ซึ่งมีความหมายถึง รัฐสภาอันประกอบไปด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร เป็นเพียงผู้เดียวที่มีอำนาจในการสร้างกฎหมายและตรากฎหมาย ดังเช่นที่เรามีความเข้าใจและความคุ้นเคยต่อ อำนาจหน้าที่ ขององค์กรนิติบัญญัติดังกล่าว มาตลอดเวลาทีได้ทำความรู้จักกับทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจของมองเตสกิเออร์ หรือในแท้ที่จริงแล้ว ยังมีอำนาจอื่นในทฤษฎีเดียวกันซึ่งสามารถ สร้าง กฎหมายได้ด้วยอีกทางหนึ่ง
หากคำตอบของคำถามดังกล่าวคือคำตอบในภาค รับ กล่าวคือ การยืนยันว่ามีเพียงอำนาจนิติบัญญัติเพียงหนึ่งเดียวในการสร้างกฎหมายนั้น คำถามดังกล่าวก็คงจะเป็นต้องสิ้นสุดไป เนื่องจากคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาระบบการสร้างกฎหมายขององค์กรนิติบัญญัติซึ่งค่อนข้างมีความเสถียรแล้วในระบบการเมืองการปกครองในแบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศไทย แม้ว่าในการใช้อำนาจนิติบัญญัติดังกล่าวจะมี ข้อสงสัย อยู่บ้างในบางประการที่มีการ เปลี่ยนมือ ตามแต่ละยุคของรัฐบาลแต่ละสมัย หรือ ในการ เปลี่ยนวิธี การใช้จากกรณี อำนาจอธิปไตยทางอ้อม มาเป็น อำนาจอธิปไตยทางตรง ซึ่งหมายถึงการลงมติหรือทำประชาพิจารณ์
แต่หากว่าคำตอบของคำถามดังกล่าวเป็นคำตอบใน ภาคเสธ กล่าวคือ ยืนยันว่าไม่เพียงแต่องค์กรนิติบัญญัติเท่านั้นที่มีอำนาจในการสร้างกฎหมาย แต่ยังมีองค์กรอื่นที่มีบทบาทในทฤษฎีเดียวกันที่สามารถสร้างกฎหมายได้ด้วย ดังนี้แล้ว คำตอบของคำถามดังกล่าวก็จะสามารถชวนคิดต่อเนื่องไปยังคำถามอื่นๆที่ตามมาอีกได้ อาทิเช่น กฎหมายที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีการดังกล่าวจะขัดกับระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ซึ่งมีแบบแผนและรูปแบบเป็นประมวลกฎหมายหรือพระราชบัญญัติต่างๆ หรือไม่ หรือ กฎหมายที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีการดังกล่าวจะมีลำดับศักดิ์อย่างไรหากเทียบกับกฎหมายที่ได้รับการตราจากการมอบอำนาจของประชาชนเช่น พระราชบัญญัติ หรือ กฎหมายที่ได้รับการตราในรูปของพระราชกำหนด รวมไปถึง กฎเกณฑ์แห่งกฎหมายดังเช่นพระราชกฤษฎีกา
คำตอบของคำถามดังกล่าว สามารถตอบได้ด้วย เครื่องมือ ของระบบกฎหมายปกครองฝรั่งเศสอันมีชื่อว่า les principes généreux du droit หรือ PGD ซึ่งได้มีผู้แปลเป็นภาษาไทยไว้ว่า หลักกฎหมายปกครองทั่วไป นั้น ด้วยความเคารพต่อผู้บัญญัติศัพท์ ผู้เขียนมีความเห็นโดยส่วนตัวว่า ถ้อยคำดังกล่าวออกจะเป็นคำศัพท์ที่ชวนให้เกิดความสงสัยและเข้าใจผิดอยู่บ้างในบางครั้ง ทั้งนี้เนื่องจาก เมือเรากล่าวถึง หลักกฎหมายปกครองทั่วไป ก็น่าจะมีคนอยู่จำนวนไม่น้อยนักที่จะคิดถึง หลักทั่วๆไปในกฎหมายปกครอง อาทิเช่น หลักความชอบด้วยกฎหมาย หลักการบริการสาธารณะ หลักการกระจายอำนาจ ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น โดยความเห็นส่วนตัวอีกเช่นกัน ผู้เขียนจึงมีความคิดว่าในการบัญญัติศัพท์ของ les principes généreux du droit อันมีความหมายในทฤษฎีกฎหมายปกครองของฝรั่งเศสคือ การศึกษาอำนาจของตุลาการศาลปกครองในการสร้างหลัก/วางหลัก หรือ ยืนยันหลักกฎหมายปกครอง ในกรณีที่แม้จะไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร (texte) บัญญัติไว้ นั้น ควรจะเป็นการบัญญัติศัพท์โดยสลับรูปโครงสร้างศัพท์เดิม กล่าวคือ เป็นคำว่า หลักทั่วไปทางกฎหมายปกครอง มากกว่า เพราะสามารถบ่งชี้ได้ถึงการเป็น ทั่วไป ของ หลัก กฎหมาย ปกครอง อันมีลักษณะ ทั่วไป แม้ว่าจะอยู่ในหมวดหมู่ใดของทฤษฎีกฎหมายปกครองก็ตาม แต่อย่างไรก็ดี ความคิดเห็นในส่วนนี้ของผู้เขียนก็ออกจะเป็นความคิดที่แหวกแนวและติดยึดกับการบัญญัติศัพท์มากเกินไป ผู้เขียนจึงของยืนยันในคำศัพท์เดิมที่ได้มีผู้แปล les principes généreux du droit หรือ PGD เป็นภาษาไทยโดยใช้คำว่า หลักกฎหมายปกครองทั่วไป ไปพลางก่อน ทั้งนี้เพราะผู้เขียนมีความประสงค์ในการเสนอแนวคิดในเรื่องดังกล่าวในบทความนี้ในเชิงสาระ มากกว่าจะมายึดติดกับการบัญญัติศัพท์ ซึ่งสามารถใช้คำอธิบายภายหลังอธิบายความเป็นมาหรือความหมายที่ต้องการจะสื่อได้ อย่างไรก็ดี ในประเด็นนี้ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่า ในบางครั้งโครงสร้างของภาษาต่างประเทศ คือการมีคำเอกพจน์ พหูพจน์ที่ชัดเจน รวมทั้งการมีตัวย่อที่ใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ์ ( A, B, C) ก็ทำให้เกิดประโยชน์ในระบบโครงสร้างการบัญญัติศัพท์อยู่มากพอสมควร
ในพจนานุกรมศัพท์กฎหมายของฝรั่งเศสได้ให้นิยาม les principes généreux du droit เอาไว้ว่าเป็น หลัก (principe) ซึ่งมีที่มาจากกฎหมายที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษรของกฎหมายปกครอง โดยหลักดังกล่าวเป็นหลักที่แสดงออกโดยกฎเกณฑ์ต่างๆที่มีสภาพบังคับสำหรับฝ่ายปกครอง และการยืนยัน les principes généreux du droit นั้นทำได้ไดยการใช้อำนาจการสร้างหลักกฎหมายของตุลาการ หรือที่เรียกกันว่าอำนาจ prétorienne ซึ่งมีความหมายถึง อำนาจอิสระของตุลาการในการวางหลักกฎหมายมีปัญหาในกรณีที่กฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้ นอกจากนั้น หน้าที่ในการเคารพหลักดังกล่าวจึงเป็นหน้าที่ที่องค์กรฝ่ายปกครองต่างๆจะต้องปฎิบัติตาม อย่างไรก็ดี เราสามารถพบหลักกฎหมายทั่วไปในระบบกฎหมายอาญา ซึ่งในกรณีนี่กฎหมายฝรั่งเศสถือกันว่า หลักกฎหมายทั่วไปในกฎหมายอาญา สามารถหาได้จากคำวินิจฉัยของศาล รวมไปถึงคำวินิจฉัยของสภารัฐธรรมนูญ (le conseil constitutionnel) ตัวอย่างเช่น สิทธิในการต่อสู้คือ หรือ le droit de la défense เป็นต้น สำหรับในกฎหมายระหว่างประเทศเอง เราจะพบหลักดังกล่าวได้ในบริบททั่วไปที่นานานประเทศยอมรับและใช้กันโดยทั่วไป ตัวอย่างเช่น การยอมรับสิทธิในการฟ้องคดี การชดใช้ค่าเสียหายในกรณีที่มีความเสียหายจากการกระทำของรัฐ เป็นต้น นอกจากนี้ หลักกฎหมายทั่วไปยังมีบทบาทสำคัญในกฎหมายแพ่ง และอาจจะพบได้มากในวิธิพิจารณาของกฎหมายแพ่งอีกด้วย
ในประเด็นของเรื่องคุณค่าทางกฎหมาย นักกฎหมายได้เห็นพ้องต้องกันว่า หลักกฎหมายปกครองทั่วไปเป็นกฎเกณฑ์ทางกฎหมาย (normes jurisprudentielles) ที่มีสภาพบังคับ แต่อย่างไรก็ดีแม้ว่าข้อเถียงในเรื่องของดังกล่าวนี้จะเป็นที่ยุติก็ตาม แต่นักกฎหมายฝรั่งเศสเองก็ได้ถกเถียงกันมาช้านานถึงประเด็นของลำดับศักดิ์ของหลักกฎหมายปกครองทั่วไป กล่าววคือ ในบางกรณีเป็นที่เห็นได้ชัดว่า หลักกฎหมายปกครองทั่วไปที่ศาลนำมาอ้าง นั้น เป็นหลักกฎหมายทั่วไปที่อ้างหรือมีการสกัดมาจากกฎหมาย (ซึ่งมีที่มาจากอำนาจนิติบัญญัติ) ซึ่งไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไรเนื่องจาก ถือว่า เป็นหลักจากกฎหมายในระบบกฎหมาย อันส่งผลให้ได้ว่า ฐานะ หลักกฎหมายทั่วไปในกรณีนี้จะมีเท่ต่ำกว่ากฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญ้ติ อันส่งผลให้อำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของฝ่ายนิติบัญญัติในการออกกฎหมายยังมีอยู่
แต่หลักกกฎหมายปกครองทั่วจะไปจะมีปัญหาเสมอ หากเป็นหลักกฎหมายทั่วไปที่มีที่มามาจาก
กฎเกณฑ์ทางรัฐธรรมนูญ (règles constitutionnelles) ทั้งนี้เนื่องจากเป็นการ สกัด หรือ อ้าง หรือ ยืนยันหลักกฎหมายที่มาจากสิ่งทฤษฎีปิรามิดของ ฮันส์ เคลเซน ถือว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความเป็นกฎทั้งปวง ซึ่งก็คือ รัฐธรรมนูญ ผลจากการที่ที่มาของหลักกฎหมายทั่วไปมาจากกฎเกณฑ์ทางรัฐธรรมนูญ จึงส่งผลให้เกิดแนวคิดว่า หลักกฎหมายทั่วไปดังกล่าวจะมีค่าสูงกว่ากฎหมายจากฝ่ายนิติบัญญัติหรือไม่ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวจะเป็นที่โต้เถียงกันถึงอำนาจล้นเหลือในการวางหลักกฎหมายขององค์กรศาล อย่างไรก็ดี ปัจจุบันแม้ว่าในกรณีการโต้เถียงในเรื่อง ฐานะ ของหลักกฎหมายปกครองทั่วไปของฝรั่งเศสจะค่อนข้างเสถียรแล้วจากการยืนยัน ฐานะ ของหลักกฎหมายทั่วไปในงานเขียนของศาสตราจารย์ René Chapus กล่าวคือ ถือว่าฐานะของหลักกฎหมายทั่วไปนั้นต่ำกว่ากฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ แต่มีค่าสูงกว่ากฎเกณฑ์ทางกฎหมายของฝ่ายบริหาร (infralégislative et suprarèglementaire) แต่ในบางกรณีหากพบว่าหลักกฎหมายทั่วไปที่ศาลหยิบยกมาอ้างเป็นหลักที่ถูกอ้างไปแล้วว่าเป็นหลักที่มีค่าเทียบเท่ารัฐธรรมนูญ (les principes de valeur constitutionnelle) หรือ มีที่มามาจากหลักทางรัฐธรรมนูญ งานเขียนของศาสตราจารย์ René Chapus ก็จะถูกนำมาโต้แย้งเสมอ
จึงเป็นที่ยอมรับกันว่ากฎหมายปกครองฝรั่งเศสเองนั้น มีสองส่วน กล่าวคือ ส่วนที่มาจากการตรากฎหมาย และ ส่วนที่มาจากการสร้างกฎหมายโดยการวางหลักของตุลาการ ดังนั้น เราจึงถือได้ว่า กฎหมายปกครองฝรั่งเศสสมัยใหม่เป็นกฎหมายที่เปิดกว้างให้ตุลาการมีบทบาทที่ในการวางหลักกฎหมาย ( une manière prétorienne)มากกว่าที่จะไปรอการบัญญัติกฎหมายเช่นในระบบกฎหมายปกครองแบบเดิม ซึ่งชักช้าและอาจจะไม่สามารถตอบคำถามได้สอดคล้องกับปัจจัยในทางสังคม ทั้งนี้ การพัฒนาของหลักกกฎหมายปกครองทั่วไปฝรั่งเศสเองมีความเป็นมามาช้านาน และ มีบริบทที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มหรือลดทอนอำนาจฝ่ายบริหารในกรณีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในแต่ละครั้ง รวมทั้งการออกกฎหมายลูกมาเพื่อเพิ่มอำนาจหรือทอนอำนาจฝ่ายบริหาร ซึ่งผู้เขียนไม่ขอกล่าวไว้ ณ ที่นี้ เพราะเกรงว่าจะเป็นเล่าถึงประวัติศาสตร์การเมืองฝรั่งเศส อันเป็นประเด็นที่ไกลออกไปจากที่มีความตั้งใจในการเขียนเดิม
หลักกฎหมายปกครองทั่วไปจึงเป็นหลักฐานในการยืนยันถึงอำนาจในการวางกฎของคำวินิจฉัย (le pouvoir normatif de la jurisprudence) อันมีผลมาจากความพยายามในการสร้างสมดุลย์ระหว่างความหลากหลายของ ที่มา ของกฎหมายปกครองฝรั่งเศส และเป็นสิ่งที่สามารถตอบคำถามได้เสมอหากพบว่ากรณีดังกล่าวไม่มีกฎหมายใดบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นการยืนยันบทบาทของตุลาการศาลปกครองฝรั่งเศสในเรื่องของการใช้ หลักกฎหมายปกครองทั่วไป หรือ PGDเป็น เทคนิค ในการตัดสินคดีมีขึ้นเนื่องจากการพยายามชั่งน้ำหนักให้สมดุลย์กันระหว่างการคุ้มครองเสรีภาพของประชาชนและการประกันความยุติธรรมของข้อขัดแย้งระหว่างประชาชนและองค์กรฝ่ายปกครอง
ในทางเดียวกันการหยิบยกเอาทฤษฎีเรื่องหลักกฎหมายปกครองทั่วไป ดังกล่าวมาใช้ในระบบกฎหมายปกครองไทย จึงเป็นสิ่งที่ควรนำมาพิเคราะห์ ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นที่ยอมรับกันถึงความ อ่อนเยาว์ ในระบบศาลปกครอง เราอาจกล่าวได้ว่าระบบกฎหมายปกครองฝรั่งเศสเป็นระบบที่ค่อนข้างมีความเสถียรเพราะมาจากการพัฒนามาช้านานและมาจากแนวคิดที่แน่ชัดในการแบ่งแยกอำนาจมหาชนกับอำนาจเอกชน ซึ่งประเด็นดังกล่าวเพิ่งมาพัฒนาในประเทศไทย และมองเห็นอย่างเป็นรูปธรรมเมือมีการจัดตั้งองค์กรทางศาลอีกองค์กรหนึ่งซึ่งก็คือ ศาลปกครอง ดังนั้นจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่าการค้นหาหลักกฎหมายปกครองทั่วไปในระบบกฎหมายไทยจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แม้ว่าเราอาจจะเชื่อกันได้ว่าหลักกฎหมายทั่วไป ไม่ว่าจะอยู่ในระบบกฎหมายใด เช่น แพ่ง อาญา ก็ยังมีความเป็น ทั่วไป ก็ตาม ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้สามารถแก้ปัญหาในข้อถกเถียงของหลักกฎหมายปกครองทั่วไปได้ว่า จะนำหลักดังกล่าวมาจากไหน ซึ่งคำตอบในกรณีก็คือการ หา หลักดังกล่าวอันซ่อนตัวอยู่ในระบบกฎหมายแพ่งและอาญาที่มีอายุมาช้านานและค่อนข้างเสถียรในระบบกฎหมายไทย และจึงนำมา สกัด อีกครั้งหนึ่งโดยเทียบเคียงกับการ เฉพาะตัว ของระบบกฎหมายปกครองไทยอันมีผลพวงมาจากการรับแนวคิดของต่างประเทศค่อนข้างมาก และในประเด็นนี้ โดยความเห็นส่วนตัว ผู้เขียนไม่เห็นว่าจะเป็นการก้าวข้ามผ่านประเด็นความอิสระของอำนาจศาลแต่อย่างใด อีกทั้งยังมิใช่เป็นเรื่องน่าขายหน้าหากตุลาการศาลปกครองต้องไปค้นคว้าหลักกฎหมายทั่วไปจากคำพิพากษาศาลฎีกา ในทางกลับกัน กรณีดังกล่าวมิใช่เป็นการยืนยันชัยชนะของฝ่ายศาลยุติธรรมซึ่งเคยมีการโต้เถียงกันเสมอว่า มีความจำเป็นแต่ไหนเพียงใดในการจัดตั้งศาลปกครอง เพราะประเทศไทยมีระบบศาลยุติธรรมที่อาจจะตอบปัญหาได้ทุกอย่างแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากในท้ายสุด ตุลาการศาลปกครองก็ยังต้องไปค้นคว้าแนวคำพิพากษาฎีกาในที่สุด
ทั้งนี้ เพราะผู้เขียนมีความคิดเสมอว่า อำนาจยุติธรรมในทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจของมองเตสกิเออร์สามารถนำมาปรับใช้ได้ดีที่สุดกับทฤษฎีศาลคู่ เนื่องด้วยเพราะเหตุผลง่ายๆในเรื่องความเท่าเทียมกันหรือไม่เท่าเทียมกันของคู่กรณี และยังหมายความรวมถึงความเชี่ยวชาญของผู้ตัดสินคดีดังกล่าว และหาก หลักกฎหมายทั่วไป สามารถตอบคำถามในการอุดช่องว่างของกฎหมายแพ่งได้ตามมาตราสี่แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทบแล้ว เหตุไฉน หลักกฎหมายปกครองทั่วไป จึงจะไม่สามารถอุดช่องว่างของหลักกฎหมายปกครองไทยได้
ตุลาการศาลปกครองจึงน่าจะเป็น ที่มา ที่สำคัญอีกทางหนึ่งในการวางหลักกฎหมายปกครอง นอกเหนือไปจากการอ้างกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีอยู่ ดังเช่น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และ/หรือ พระราชบัญญัติอื่นๆ เพราะโดยความเห็นส่วนตัวผู้เขียนมีเชื่อเสมอว่าบุคคลผู้ใช้กฎหมายเป็นแหล่งที่มาของกฎหมายที่มีชีวิตและมีความทันสมัยที่สุดในระบกฎหมาย อันสามารถจัดการและจัดสรร ตลอดจนถึงการวางแนวของระบบกฎหมายในอนาคต ผู้เขียนจึงหวังที่จะได้พบบทบาทดังกล่าวของตุลกาการศาลปกครองไทยในการนำทฤษฎีในเรื่องหลักกฎหมายปกครองทั่วไปดังกล่าวมาเป็นพลังผลักดันและขับเคลื่อนระบบกฎหมายที่มีอยู่ให้เป็นไปได้ในทางที่ตนต้องการในอนาคต
หมายเหตุ บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึงของงานที่แปลจากบทนำ หรือ lintroduction ของสาระนิพนธ์ หรือ mémoire อันเป็นงานบังคับตามหลักสูตร Master 2 : Protection de droits fondamentaux en Europe ของผู้เขียน ผู้เขียนจึงขออนุญาตไม่อ้างเอกสารอ้างอิง หรือ บรรณานุกรมเอาไว้ในบทความชิ้นนี้ เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นลำดับเอกสารเดียวกันกับที่ได้อ้างไปแล้วในตัวเล่มสาระนิพนธ์ อันมีความยาวมากพอสมควร ดังนั้น หากผู้อ่านท่านใดมีความสนใจในบทความนี้และต้องการค้นคว้าเพิ่มเติม ก็สามารถเเจ้งความประสงค์ของท่านได้โดยการส่ง e-mail ผ่านทางเวบมาสเตอร์ของ www.pub-law.net ผู้เขียนจะดำเนินการจัดส่งให้เป็นรายบุคคลไป
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|