ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์
พ.ศ. 2539 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ.
. |
1. หลักการเหตุผล
เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการรับฟังความคิดเห็นในปัญหาสำคัญของชาติ ที่มีข้อโต้เถียงหลายฝ่าย สำหรับเป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจของรัฐในการดำเนินงานอันมีผลกระทบต่อประชาชน |
1. หลักการเหตุผล
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กำหนดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
|
2. นิยาม
(1) โครงการของรัฐ หมายความว่า การดำเนินงานไม่ว่าในลักษณะใด ๆ ตามนโยบายหรือโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือการบริหารราชการในกิจการของรัฐ หรือโครงการที่จะต้องได้รับสัมปทาน การอนุญาต อนุมัติ หรือความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐ
(2) ผู้มีส่วนได้เสีย หมายความว่า บุคคล กลุ่มบุคคล นิติบุคคล ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบโดยตรงจากการดำเนินงานตามโครงการของรัฐ |
2. นิยาม
(1) โครงการของรัฐ หมายความว่า การดำเนินงานไม่ว่าในลักษณะใด ๆ ตามนโยบายหรือโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือการบริหารราชการ หรือโครงการที่จะต้องได้รับสัมปทาน การอนุญาต อนุมัติ หรือความเห็นชอบจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
(2) ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็น หมายความว่า บุคคล กลุ่มบุคคล นิติบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานตามโครงการของรัฐ หรือผู้สนใจทั่วไป
(3) ประชาพิจารณ์ หมายความว่า การที่หน่วยงานของรัฐจัดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการของรัฐก่อนการอนุญาต หรือการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับประชาชน หรือชุมชนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัตินี้
|
3. องค์ประกอบ ที่มาของคณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยประชาพิจารณ์
คณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยประชาพิจารณ์ ประกอบด้วย
(1) ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ประธานกรรมการ
(2) ปลัดกระทรวงมหาดไทย
(3) เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
(4) เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(5) เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
(6) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสี่คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยสองคน และผู้ที่ไม่เป็นข้าราชการ สมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกหรือเจ้าหน้าที่หรือที่ปรึกษาพรรคการเมืองสองคน
(7) รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร
กรรมการและเลขานุการ |
3. องค์ประกอบ ที่มาของคณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
คณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ประกอบด้วย
(1) นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
(2) ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
(3) ปลัดกระทรวงมหาดไทย
(2) เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
(5) เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(6) เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
(7) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินเจ็ดคน
ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐหรือเอกชน (ไม่น้อยกว่าสามคน) และจากผู้ที่มิได้เป็นข้าราชการ สมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกหรือเจ้าหน้าที่หรือที่ปรึกษาของพรรคการเมือง
(8) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กรรมการและเลขานุการ
|
4. อำนาจหน้าที่คณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยประชาพิจารณ์
(1) กำกับดูแลการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย
(2) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการทำประชา
พิจารณ์
(3) วินิจฉัยหรือตอบข้อหารือตามที่กำหนดในระเบียบ
(4) จัดทำรายงานประจำปีสรุปผลการทำประชาพิจารณ์ตามที่ได้รับรายงานจากคณะกรรมการ
|
4. อำนาจหน้าที่คณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
(1) ดูแลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนให้เป็นไปโดยความเรียบร้อย ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติ
(2) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
(3) ให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ
(4) วินิจฉัยหรือตอบข้อหารือเรื่องการรับฟังความเห็นของประชาชน
ประชาพิจารณ์ พร้อมข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะ เสนอคณะรัฐมนตรีปีละครั้ง
(5) วินิจฉัยคำร้องขอให้มีการทำประชาพิจารณ์
(6) วินิจฉัยข้ออุทธรณ์ ผลการตัดสินการประชาพิจารณ์
(7) มีหนังสือเรียกให้เจ้าหน้าที่หรือบุคคลอื่นใดมาชี้แจงหรือแสดงความคิดเห็น หรือให้ส่งวัตถุ เอกสาร หรือพยานหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณา
(8) จัดทำรายงานประจำปีสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี
(9) เรื่องอื่น ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย |
5. การจัดทำประชาพิจารณ์
การจัดทำประชาพิจารณ์จะเกิดขึ้นได้จาก 3 กรณี คือ
(1) กรณีที่ผู้มีอำนาจซึ่งได้แก่ รัฐมนตรีสำหรับราชการส่วนกลาง ผู้ว่าราชการจังหวัดสำหรับราชการส่วนภูมิภาคหรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสำหรับราชการของกรุงเทพหานคร เห็นว่า การดำเนินงานตามโครงการของรัฐเรื่องใด ซึ่งหน่วยงานของรัฐในสังกัดจัดให้มีขึ้น อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม อาชีพ ความปลอดภัย วิถีชีวิต หรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชุมชนหรือสังคม และอาจนำไปสู่ข้อโต้เถียงหลายฝ่าย สมควรรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย หน่วยงานรัฐและบุคคลอื่นเพื่อเป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจของรัฐ ผู้มีอำนาจข้างต้นสั่งให้มีการทำประชาพิจารณ์ได้
(2) กรณีที่ผู้มีส่วนได้เสียเห็นว่า โครงการของรัฐเรื่องใดอาจมีผลกระทบเช่นเดียวกับ (1) ประสงค์จะให้มีการประชาพิจารณ์เกี่ยวกับโครงการ และมีหนังสือไปยังหน่วยงานของรัฐเพื่อสอบถามหรือขอคำชี้แจง หากหน่วยงานของรัฐมิได้ตอบหรือชี้แจงเป็นหนังสือภายใน 30 วัน หรือตอบชี้แจงแล้วแต่ผู้มีส่วนได้เสียยังไม่พอใจ ผู้มีส่วนได้เสียสามารถยื่นคำร้องเป็นหนังสือ
(3) กรณีที่หน่วยงานรัฐพิจารณาเห็นว่าการจัดประชาพิจารณ์จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานตามโครงการรัฐจึงเสนอความเห็นต่อผู้มีอำนาจ เมื่อผู้มีอำนาจเห็นสมควรอาจสั่งให้มีประชาพิจารณ์ก็ได้
การจัดประชาพิจารณ์อาจให้มีขึ้นในระหว่างขั้นตอนใดก็ได้ก่อนที่รัฐจะตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการ โดยต้องไม่กระทบกระเทือนต่อการที่หน่วยงานของรัฐจะดำเนินการอื่นไปพลางเท่าที่จำเป็น |
5. การจัดทำประชาพิจารณ์
การจัดทำประชาพิจารณ์จะเกิดขึ้นได้จาก 3 กรณี คือ
(1) กรณีที่หน่วยงานของรัฐเห็นว่าการดำเนินงานตามโครงการของรัฐเรื่องใดมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิตหรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับประชาชนหรือชุมชนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐอาจจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ในโครงการของรัฐนั้นได้ก่อนที่หน่วยงานของรัฐจะมีคำสั่งทางปกครองให้มีการดำเนินงานตามโครงการของรัฐในเรื่องนั้น ๆ แต่หากหน่วยงานของรัฐเห็นว่าโครงการใดไม่จำเป็นต้องจัดทำประชาพิจารณ์ หน่วยงานของรัฐต้องประกาศให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบโครงการของรัฐนั้น ซึ่งอย่างน้อยต้องระบุแนวนโยบายของรัฐ สภาพปัญหา ผลกระทบเล็งเห็น การเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น ก่อนที่หน่วยงานของรัฐจะมีคำสั่งทางปกครองไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน
(2) กรณีที่ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งพันคน เข้าชื่อร้องขอต่อหน่วยงานของรัฐ ก่อนที่หน่วยงานของรัฐจะมีคำสั่งทางปกครองไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวัน หน่วยงานของรัฐต้องจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ในโครงการของรัฐนั้นต่อผู้มีอำนาจข้างต้น เพื่อขอให้มีการทำประชาพิจารณ์ได้
เมื่อผู้มีอำนาจได้รับคำร้องอาจสั่งให้มีประชาพิจารณ์ก็ได้ ทั้งนี้คำสั่งที่ดังกล่าวถือเป็นที่สุด และให้แจ้งผู้มีส่วนได้เสียโดยเร็ว
(3) กรณีผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ เพื่อวินิจฉัยก่อนที่หน่วยงานของรัฐจะมีคำสั่งทางปกครองไม่น้อยกว่าหกสิบวัน เมื่อคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ แจ้งมติให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการดำเนินการตามมติของคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ มติของคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ เป็นที่สุด
อนึ่ง การดำเนินการข้างต้นไม่ใช้บังคับต่อกรณีที่ต้องเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือหากล่าช้าจะเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ |
6. คณะกรรมการประชาพิจารณ์
คณะกรรมการประชาพิจารณ์ประกอบด้วย ประธานกรรมการคนหนึ่ง และกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่าสามคน ประธานกรรมการและกรรมการต้องไม่มีส่วนได้เสียกับโครงการของรัฐในเรื่องนั้น กรรมการอย่างน้อยหนึ่งในสามให้ตั้งจากผู้ที่มิได้เป็นข้าราชการ สมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น |
6. คณะกรรมการประชาพิจารณ์
คณะกรรมการประชาพิจารณ์ประกอบด้วย ประธานกรรมการคนหนึ่ง และกรรมการอีกไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบคน ในจำนวนนี้อย่างน้อยสามคนต้องไม่เป็นบุคคลากรของหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการนั้น |
7. อำนาจหน้าที่คณะกรรมการประชาพิจารณ์
(1) กำหนดสถานที่ และเวลาในการทำประชาพิจารณ์
(2) ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ
(3) จัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ตามสถานที่
และเวลาที่ได้กำหนดไว้
(4) ทำรายงานประชาพิจารณ์เสนอต่อผู้สั่งให้
มีการประชาพิจารณ์ |
7. อำนาจหน้าที่คณะกรรมการประชาพิจารณ์
(1) จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนให้เป็นไปโดยเรียบร้อย ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการที่ปรึกษาฯ กำหนด
(2) ทำรายงานการประชาพิจารณ์เสนอต่อหน่วยงานของรัฐที่จัดให้มีการประชาพิจารณ์ |
8. การดำเนินการประชาพิจารณ์
(1) ต้องกระทำโดยเปิดเผย
(2) ประกาศให้ผู้มีส่วนได้เสีย ผู้แทนหน่วยงานของรัฐ ตลอดจนผู้ชำนาญการลงทะเบียนภายในเวลาที่กำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน ในกรณีจำเป็น ให้แต่งตั้งที่ปรึกษาได้
(3) นัดวันประชุมครั้งแรกโดยแจ้งบรรดาผู้ลงทะเบียนทราบ
(4) ในวันประชุมครั้งแรกให้กำหนดประเด็นประชาพิจารณ์และปิดประกาศประเด็นดังกล่าว พร้อมทั้งเวลาที่จะประชุมครั้งต่อ ๆ ไปให้ประชาชนทราบ
(5) ให้ผู้แทนหน่วยงานของรัฐแถลงข้อเท็จจริงและความเห็นเกี่ยวกับโครงการของรัฐก่อนแล้วจึงให้ผู้ชำนาญการหรือที่ปรึกษาแถลงต่อด้วยผู้มีส่วนได้เสีย เมื่อเสร็จสิ้นแล้วคณะกรรมการประชาพิจารณ์จะ
กำหนดให้ฝ่ายใดแถลงชี้แจงหรือซักถามก่อนหลังก็ได้ และจะเปิดให้ผู้เข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นด้วยก็ได้
(6) หลักเกณฑ์และวิธีการรับฟัง การประชุมปรึกษา การลงมติ และการทำรายงานนอกเหนือจากที่กำหนดในระเบียบให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการที่ปรึกษากำหนด |
8. การดำเนินการประชาพิจารณ์
(1) ต้องกระทำโดยเปิดเผย
(2) แจ้งรายละเอียดของโครงการ กำหนดสถานที่และเวลาให้ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นหรือผู้แทนทราบไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อนถึงวันทำประชาพิจารณ์ โดยติดประกาศไว้ที่หน่วย
งานของรัฐเจ้าของโครงการนั้น
(3) ขั้นตอนในการทำประชาพิจารณ์ ให้ผู้แทนหน่วยงานของรัฐแถลงข้อเท็จจริงและความเห็นเกี่ยวกับโครงการของรัฐก่อน แล้วจึงให้ผู้ชำนาญการหรือที่ปรึกษาแถลง ต่อจากนั้นจึงให้ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นแถลง เมื่อเสร็จสิ้นแล้วคณะกรรมการประชาพิจารณ์จะกำหนดให้ฝ่ายใดแถลงชี้แจงหรือซักถามก่อนหลังก็ได้ รวมทั้งอาจเรียกให้ฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสอง
ฝ่ายเสนอพยานบุคคล พยานวัตถุ พยานเอกสารเพิ่มเติมก็ได้ |
9. ผลการประชาพิจารณ์
ผลที่ได้จากการทำประชาพิจารณ์ย่อมใช้เป็นแนวทางหรือข้อมูลประกอบการตัดสินใจของรัฐ มิใช่การตัดสินเด็ดขาดที่จะต้องดำเนินการตามนั้น ฝ่ายเสนอพยานบุคคล พยานวัตถุ พยานเอกสารเพิ่มเติมก็ได้ |
9. ผลการประชาพิจารณ์
ผลที่ได้จากการทำประชาพิจารณ์ ย่อมใช้เป็นแนวทางหรือข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินงานตามโครงการของรัฐ
ในกรณีเห็นสมควร ผู้สั่งทำการประชาพิจารณ์จะเปิดเผยรายงานของคณะกรรมการให้ประชาชนทราบก็ได้
ให้หน่วยงานของรัฐประกาศผลการตัดสินใจพร้อมด้วยเหตุผล โดยเปิดเผยไว้ที่หน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการ และส่งรายงานให้คณะกรรมการที่ปรึกษาทราบด้วย |
|
10. การอุทธรณ์ผลการตัดสินของหน่วยงานของรัฐ
ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งพันคนอาจเข้าชื่อยื่นอุทธรณ์ผลการตัดสินของหน่วยงานของรัฐต่อคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ภายในสิบห้าวัน นับแต่หน่วยงานของรัฐประกาศผลการ
ตัดสินเพื่อให้คณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ดำเนินการ
พิจารณาอุทธรณ์ให้เสร็จโดยเร็ว และอาจมีมติให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการชะลอการออกคำสั่งทางปกครองไว้ก่อน มติของคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ที่ออกมาให้เป็นที่สุด |
|
11. บทเฉพาะกาล
ให้พระราชบัญญัติว่าด้วยการผังเมือง พ.ศ. 2518 ในส่วนที่เกี่ยวกับการเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียร้องขอให้แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินของผังเมือง ยังคงใช้บังคับต่อไปได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อพระราชบัญญัตินี้ |