(๑) ผู้เขียนได้รับการติดต่อจากคณะผู้จัดทำหนังสือให้แก่ศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ให้เขียนบทความทางวิชาการเพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน โดยกำหนดหัวข้อมาให้ด้วยว่าให้เป็นเรื่องผลงานของท่านในการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง ผู้เขียนจึงขอกล่าวถึงประสบการณ์ของผู้เขียนในช่วงที่
ได้เคยร่วมงานกับท่านมาสอดแทรกไว้ในเชิงอรรถนี้ดังนี้
ผู้เขียนได้รับทุนรัฐบาลไทย (ทุน ก.พ.) ให้ไปศึกษาสาขากฎหมายในระดับปริญญาตรีโดยเน้นทางกฎหมายมหาชนที่สาธารณรัฐฝรั่งเศส ทั้งนี้ ตามความต้องการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ซึ่งผู้เขียนก็ได้ไปศึกษา และได้รับการต่อทุนจนถึงระดับปริญญาเอก เมื่อผู้เขียนได้กลับมารายงานตัวที่ สคก. ในเดือนกรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๒๑ และได้เข้าพบเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาในขณะนั้นคือ ศาสตราจารย์ ดร. สมภพ โหตระกิตย์
ท่านได้กล่าวต้อนรับผู้เขียนอย่างอบอุ่นและได้กล่าวถึงศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ ซึ่งรับราชการอยู่ก่อนแล้ว
ว่าเป็น มือหนึ่งของกฤษฎีกา จากนั้น ผู้เขียนก็ได้เข้าพบรองเลขาธิการฯ ในขณะนั้นคือ ศาสตราจารย์ ดร. อมร จันทรสมบูรณ์ แต่ท่านก็พูดกับผู้เขียนเพียงไม่กี่คำ ทำให้ผู้เขียนคิดเอาเองว่า ผู้ที่ขอทุนและกำหนดสาขาวิชาให้ผู้รับทุนไปศึกษาคือ ท่านแรก มิใช่ท่านที่สอง
สคก. ในขณะนั้นยังไม่มีหลักสูตรฝึกอบรมนิติกรใหม่ ผู้เขียน (ซึ่งไม่รู้กฎหมายไทยและไม่เคยรับราชการ) ถูกส่งไป ฝึกงาน ที่กองกฎหมายไทย ซึ่งวิธีการฝึกงานก็คือให้แก้ไขเพิ่มเติมตัวบทกฎหมายให้เป็นปัจจุบัน
ฝึกตรวจแผนที่ท้ายร่างพระราชกฤษฎีกา ฯลฯ ผู้เขียนฝึกงานที่กองกฎหมายไทยได้ระยะหนึ่ง ต่อมา ก็ได้รับการแต่งตั้ง
ให้เป็นผู้ช่วยเลขานุการกรรมการร่างกฎหมายโดยเป็นผู้ช่วยของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเลขานุการกรรมการร่างกฎหมาย ท่านได้สอนงานให้แก่ผู้เขียนตั้งแต่การเตรียมเอกสารก่อนการประชุม การจดรายงาน การค้น เรื่องเสร็จ การยกร่างบันทึก ฯลฯ ซึ่งท่านเป็น ครู ที่ดี แต่ผู้เขียนได้มีโอกาสเรียนรู้งานจากท่านเพียงไม่กี่เดือน ก็ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเลขานุการกรรมการร่างกฎหมาย ในขณะที่ผู้เขียนยังเป็นเพียงนิติกร ๔ ผู้เขียนจึงมิได้มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับท่านโดยตรงอีก ผู้เขียนจึงไม่มีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ เบื้องหลังการถ่ายทำ ของผลงานต่าง ๆ ของท่าน ผู้เขียนจึงเขียนบทความนี้ตามความเข้าใจของผู้เขียนเอง
(๒) โปรดดูรายละเอียดใน ชาญชัย แสวงศักดิ์, กฎหมายมหาชน : วิวัฒนาการของกฎหมายมหาชน
ในต่างประเทศและในประเทศไทย, พิมพ์ครั้งที่ ๖, สำนักพิมพ์วิญญูชน, พ.ศ. ๒๕๖๒
(๓) ประเทศซึ่งมีระบบการเมืองที่เขาเรียกว่า ประชาธิปไตยประชาชน (เช่น จีนและลาว) นั้นใช้ระบบกฎหมายที่เรียกกันว่า ระบบกฎหมายสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์
(๔) โปรดดูรายละเอียดใน ชาญชัย แสวงศักดิ์, คำอธิบายกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา
คดีปกครอง, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, สำนักพิมพ์วิญญูชน, พ.ศ. ๒๕๖๒
(๕) โปรดดูรายละเอียดใน ชาญชัย แสวงศักดิ์, อ้างแล้วในเชิงอรรถที่ (๒)
(๖) การชำระสะสางกฎหมายดังกล่าวได้กระทำในสมัยเดียวกันกับที่ฝรั่งเศสประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่ง ค.ศ. ๑๘๐๔ (พ.ศ. ๒๔๓๗)
(๗) ดังจะเห็นได้จากความบางตอนในข้อ ๕ ของประกาศตั้งกระทรวงยุติธรรมที่ว่า ...และห้ามมิให้ราษฎรที่มีอรรถคดีไปทำเรื่องราวยื่นอธิบดีเจ้ากระทรวงและกรมอื่น ๆ เว้นไว้แต่เรื่องราวร้องทุกข์หรือร้องกล่าวด้วยเรื่องในกระทรวงนั้น ๆ
(๘) การที่หลักสูตรยังต้องมีการสอนกฎหมายอังกฤษด้วยนั้นเป็นไปตามสนธิสัญญาที่ประเทศไทยทำไว้กับประเทศอังกฤษว่าจะต้องจ้างครูสอนกฎหมายชาวอังกฤษในโรงเรียนกฎหมายและศาลไทยต้องใช้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของอังกฤษในการพิจารณาคดีในกรณีที่กฎหมายไทยยังไม่มีการบัญญัติไว้
(๙) นายเดือน บุนนาค, ท่านปรีดี รัฐบุรุษอาวุโสผู้วางแผนเศรษฐกิจคนแรก, พ.ศ. ๒๕๐๐ หน้า ๔๖ - ๔๗
(๑๐) ธิดา ชาลีจันทร์, วิเคราะห์และสรุปแนวความคิดขัดแย้งเกี่ยวกับศาลปกครองของสมาชิกสภา
นิติบัญญัติแห่งชาติ ในหนังสือ ศาลปกครอง : บทความและวิเคราะห์ข้อขัดแย้งที่อภิปรายในสภานิติบัญญัติ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, หน้า ๘๖ - ๑๓๒
(๑๑) ได้แก่ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๑๘ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๑๘ พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. ๒๕๒๑
(๑๒) โปรดดู ๑.๒.๓ ในหน้าที่ ๖ -๗
(๑๓) โปรดดู ๑.๔.๑ ในหน้า ๑๓ - ๑๔
(๑๔) โปรดดู ๑.๒.๒ ในหน้า ๔ - ๖
(๑๕) โปรดดู ๑.๒.๓ ในหน้า ๖ - ๗
(๑๖) ผู้เขียนซึ่งได้ไปศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายปกครองและองค์กรวินิจฉัยคดีปกครองของฝรั่งเศสมาโดยตรง ก็ไม่ได้รับมอบหมายให้ทำ งานร้องทุกข์ เลยในช่วงแรก
(๑๗) โปรดดู ๑.๒ ในหน้า ๔ - ๗
(๑๘) โปรดดู ๑.๔.๑ ในหน้า ๑๓ - ๑๔
(๑๙) ศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดของสาธารณรัฐฝรั่งเศสมีสถานะเป็นองค์กรตุลาการโดยมีหน่วยธุรการเป็นของตนเองซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเลขาธิการสภาแห่งรัฐและรองเลขาธิการฯ
(๒๐) องค์กรวินิจฉัยคดีปกครองชำนาญการพิเศษมีสถานะทางกฎหมาย รูปแบบและชื่อเรียกที่แตกต่างกัน โดยมีอำนาจทางตุลาการในการวินิจฉัยคดีปกครองเฉพาะด้านซึ่งคู่กรณีไม่อาจอุทธรณ์คำวินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คงอุทธรณ์ได้เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายต่อสภาแห่งรัฐในฐานะ ศาลปกครองสูงสุด องค์กรวินิจฉัยคดีปกครองชำนาญการพิเศษที่สำคัญ ๆ ได้แก่ ศาลตรวจเงินแผ่นดิน ศาลวินัยงบประมาณและการคลัง องค์กรพิจารณาอุทธรณ์ของคนต่างด้าวผู้ลี้ภัยทางการเมือง องค์กรพิจารณาโทษทางวินัยของสภาวิชาชีพ ฯลฯ
(๒๑) ผู้เขียนซึ่งมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้เคยให้ข้อสังเกตต่อผู้บริหารของ สคก. ว่า การที่ร่างพระราชบัญญัติฉบับหลังยังคงยืนยันที่จะให้ศาลปกครองเป็นองค์ประกอบหนึ่งของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีนายกรัฐมนตรี (ซึ่งเป็นนักการเมือง) เป็นประธานโดยตำแหน่งนั้นย่อมเป็นการยากที่จะชี้แจงให้สภาผู้แทนราษฎรเข้าใจและยอมรับได้เพราะตามวัฒนธรรมทางกฎหมายของไทยนั้นมีความเข้าใจกันมาเป็นเวลายาวนานว่าองค์กรผู้ใช้อำนาจทางตุลาการนั้นนอกจากจะต้องเป็นศาลแล้ว ยังจะต้องเป็นศาลยุติธรรมอีกด้วย และตุลาการจะต้องมีความเป็นอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี แต่ผู้บริหารของ สคก. ก็ยืนยันให้เป็นไปตามร่างพระราชบัญญัติฯ ที่ได้เสนอไปแล้ว
(๒๒) โปรดดู ๑.๒.๒. ในหน้า ๔ - ๖
(๒๓) ที่ผ่านมา รองศาสตราจารย์ ดร.โภคิน พลกุล ในขณะที่เป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานของ สคก. ในการพัฒนา ระบบร้องทุกข์ ไปสู่การจัดตั้งองค์กรวินิจฉัยคดีปกครองตามแนวทางของสาธารณรัฐฝรั่งเศสและเป็นกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ด้วย
(๒๔) ผู้เขียนซึ่งในขณะนั้นยังรับราชการอยู่ที่ สคก. ได้รับมอบหมายให้ไปช่วยราชการของรัฐมนตรีฯ โภคิน โดยผู้เขียนได้หารือรัฐมนตรีฯ โภคิน เกี่ยวกับแนวทางในการจัดตั้งองค์กรวินิจฉัยคดีปกครอง ซึ่งรัฐมนตรีฯ โภคิน เห็นว่า เมื่อได้มีการเพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยศาลปกครองไว้ในรัฐธรรมนูญฯ ชัดเจนแล้วว่า องค์กรวินิจฉัย
คดีปกครองจะต้องเป็นศาลปกครองที่เป็นอีกระบบศาลหนึ่งแยกต่างหากจากศาลยุติธรรม ดังนั้น ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการจัดตั้งศาลปกครองที่ สคก. ได้จัดทำเสนอรัฐบาลที่มีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติว่าด้วยศาลปกครองในรัฐธรรมนูญฯ โดยรัฐมนตรีฯ โภคินฯ เห็นด้วยที่จะให้ สคก.
ทำหน้าที่เป็นหน่วยธุรการของระบบศาลปกครอง
(๒๕) โดยมีนายชุมพล ศิลปะอาชา เป็นประธานฯ และรัฐมนตรีฯ โภคิน เป็นรองประธานฯ
(๒๖) โดยมีรัฐมนตรีฯ โภคิน เป็นประธานฯ
(๒๗) ผู้เขียนซึ่งได้รับมอบหมายให้ช่วยราชการรัฐมนตรีฯ โภคินฯ ต่อไป ได้ขอให้รัฐมนตรีฯ โภคินฯ ผลักดันให้มีการจัดตั้งศาลปกครองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ โดยเร็ว ซึ่งรัฐมนตรีฯ โภคินฯ ก็ได้นำเรื่อง
การจัดตั้งศาลปกครองไปบรรจุไว้ในนโยบายของรัฐบาลด้วย
(๒๘) ตามร่างพระราชบัญญัติฯ ที่ สคก. เสนอต่อคณะรัฐมนตรีนั้น สคก. จะทำหน้าที่เป็นเพียงหน่วยงานธุรการของศาลปกครอง โดยหน่วยงานธุรการของศาลย่อมอยู่ภายใต้อำนาจกำกับดูแลของผู้บริหารศาล มิใช่ให้ศาลอยู่ภายใต้หน่วยงานธุรการดังที่อ้างกัน
(๒๙) นโยบายของรัฐบาลก็คือ อนุวัตรการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ ซึ่งได้มีการเพิ่มเติมหมวดว่าด้วยศาลปกครองไว้ในรัฐธรรมนูญฯ แล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ การคัดค้านนโยบายของรัฐบาลก็เท่ากับเป็นการคัดค้านบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศที่ศาลจะต้องเคารพและปฏิบัติตาม
(๓๐) เลขาธิการคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น คือ ศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ เครืองาม
(๓๑) ศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาอยู่ในขณะนั้นได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
(๓๒) ศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ได้รับเลือกเป็นเลขานุการคณะกรรมาธิการดังกล่าว
(๓
๓) ในการดำเนินงานต่าง ๆ ของ สคก. ในขณะนั้น นอกจากศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศาสต์ แล้ว ยังมีผู้บริหารและบุคลากรท่านอื่น ๆ ของ สคก. อีกหลายท่านที่ได้มีส่วนสำคัญ ซึ่งผู้เขียนมิได้นำมากล่าวถึงในบทความนี้ เพราะเป็นบทความที่อุทิศให้แก่ศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์
(๓
๔) ผู้เขียนขอยกตัวอย่างของความเข้าใจที่ไม่ตรงกันระหว่าง สคก. กับรัฐบาลในส่วนนี้ในระยะเริ่มต้น
ซึ่ง สคก. โดยเลขาธิการฯ ได้เสนอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ที่ไม่รับคำร้องทุกข์ของผู้ร้องทุกข์รายหนึ่งไว้พิจารณา เนื่องจากขาดอายุความร้องทุกข์แล้ว ไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการ แต่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายมีชัย ฤชุพันธ์) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการกลับมาว่า ทุกข์ของชาวบ้านไม่มีอายุความ ให้รับคำร้องทุกข์ไว้พิจารณา แต่หลังจากนั้น เมื่อได้มีการชี้แจงว่าการที่คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์จะรับเรื่องร้องทุกข์ใดไว้พิจารณาได้ จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิ
ร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ในพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็เข้าใจ
(๓
๕) มาตรา ๖๔ ให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแต่งตั้งพนักงานผู้รับผิดชอบสำนวนจากข้าราชการซึ่งสังกัดสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ฯลฯ ฯลฯ
(๓๖) วารสารกฎหมายปกครอง เล่ม ๑ ตอน ๑ หน้า ๓๗๖ - ๔๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๕)
(๓๗) วารสารกฎหมายปกครอง, เล่ม ๒ ตอน ๒ หน้า ๔๓ - ๕๐ (พ.ศ. ๒๕๒๖)
(๓๘) วารสารกฎหมายปกครอง เล่ม ๒ ตอน ๓ หน้า ๔๘๙ - ๕๒๑ (พ.ศ. ๒๕๒๖), วารสารกฎหมายปกครอง เล่ม ๓ ตอน ๑ หน้า ๑ - ๑๕ (พ.ศ. ๒๕๒๗) , วารสารกฎหมายปกครอง เล่ม ๓ ตอน ๒ หน้า ๒๔๕ - ๒๖๘ (พ.ศ. ๒๕๒๗), วารสารกฎหมายปกครอง เล่ม ๓ ตอน ๓ หน้า ๖๑๙ - ๖๓๙ (พ.ศ. ๒๕๒๗)
(๓๙) วารสารกฎหมายปกครอง เล่ม ๖ ตอน ๒ หน้า ๓๑๘ - ๓๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๐)
(๔๐) วารสารนิติศาสตร์ ฉบับที่ ๔ หน้า ๕๙๒ - ๖๓๒ (พ.ศ. ๒๕๓๔)
(๔
๑) มาตรา ๘ ให้จัดตั้งศาลปกครองสูงสุดขึ้น มีที่ตั้งในกรุงเทพมหานครหรือในจังหวัดใกล้เคียง
ให้จัดตั้งศาลปกครองกลางขึ้น มีที่ตั้งในกรุงเทพมหานครหรือในจังหวัดใกล้เคียง โดยมีเขตตลอดท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดสมุทรสาคร
ในระหว่างที่ศาลปกครองในภูมิภาคยังมิได้มีเขตอำนาจในท้องที่ใด ให้ศาลปกครองกลางมีเขตอำนาจในท้องที่นั้นด้วย
ฯลฯ ฯลฯ
(๔๒) มาตรา ๙๔ ในวาระเริ่มแรก ให้จัดตั้งศาลปกครองในภูมิภาค ดังต่อไปนี้
(๑) ศาลปกครองขอนแก่น ตั้งอยู่ในจังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดมหาสารคาม
(๒) ศาลปกครองชุมพร ตั้งอยู่ในจังหวัดชุมพร โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดชุมพร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดระนอง
(๓) ศาลปกครองเชียงใหม่ ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำปาง และจังหวัดลำพูน
(๔) ศาลปกครองนครราชสีมา ตั้งอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดชัยภูมิ และจังหวัดนครราชสีมา
(๕) ศาลปกครองนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดกระบี่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดสุราษฎร์ธานี
(๖) ศาลปกครองบุรีรัมย์ ตั้งอยู่ในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์
(๗) ศาลปกครองพิษณุโลก ตั้งอยู่ในจังหวัดพิษณุโลก โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดตาก จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิจิตร จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์ และจังหวัดสุโขทัย
(๘) ศาลปกครองแพร่ ตั้งอยู่ในจังหวัดแพร่ โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดน่าน จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่ และจังหวัดอุตรดิตถ์
(๙) ศาลปกครองยะลา ตั้งอยู่ในจังหวัดยะลา โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา
(๑๐) ศาลปกครองระยอง ตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดจันทบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี จังหวัดตราด จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดระยอง และจังหวัดสระแก้ว
(๑๑) ศาลปกครองลพบุรี ตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรี โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดนครนายก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง
(๑๒) ศาลปกครองสกลนคร ตั้งอยู่ในจังหวัดสกลนคร โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดสกลนคร
(๑๓) ศาลปกครองสงขลา ตั้งอยู่ในจังหวัดสงขลา โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดตรัง จังหวัดพัทลุง จังหวัดสงขลา และจังหวัดสตูล
(๑๔) ศาลปกครองสุพรรณบุรี ตั้งอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดชัยนาท จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดอุทัยธานี
(๑๕) ศาลปกครองอุดรธานี ตั้งอยู่ในจังหวัดอุดรธานี โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดอุดรธานี
(๑๖) ศาลปกครองอุบลราชธานี ตั้งอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี โดยมีเขตตลอดท้องที่จังหวัดยโสธร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดอำนาจเจริญ
(๔๓) มาตรา ๑๐๓ เมื่อได้มีการแต่งตั้งตุลาการศาลปกครองตามมาตรา ๙๘ และมาตรา ๙๙ แล้ว
ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดวันเปิดทำการศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองกลาง และศาลปกครองในภูมิภาค สำหรับศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองกลางต้องเปิดทำการไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ สำหรับศาลปกครองในภูมิภาคตามมาตรา ๙๔ ให้ดำเนินการเปิดทำการตามความจำเป็นโดยคำนึงถึงการคัดเลือกตุลาการศาลปกครองที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสม แต่ทั้งนี้ ต้องไม่น้อยกว่าปีละเจ็ดศาล
(๔๔) มาตรา ๑๐๗ ในวาระเริ่มแรกก่อนที่สำนักงานศาลปกครองจะได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ให้ ก.ศป. จัดทำแผนงานในการดำเนินการของศาลปกครองและแผนงานการจัดตั้งและการบริหารงานของสำนักงานศาลปกครองเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอรับเงินอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและการบริหารงานตามแผนงานดังกล่าว
ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายเป็นเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย
ในการดำเนินการตามแผนงานที่ ก.ศป. เสนอตามความจำเป็น
(๔๕) มาตรา ๑๑ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน ข้าราชการ ลูกจ้าง และเงินงบประมาณ
ในส่วนที่เกี่ยวกับงานคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์และกองวิเคราะห์กฎหมายและการร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ เฉพาะที่นายกรัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษาไปเป็นของสำนักงานศาลปกครองตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
ให้ข้าราชการที่โอนไปตามวรรคหนึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายศาลปกครองและในระหว่างที่ยังไม่มีระเบียบของคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครองในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ให้นำกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนมาใช้บังคับโดยอนุโลมกับข้าราชการที่โอนไปตามวรรคหนึ่ง
(๔๖) มาตรา ๑๒ ให้บทบัญญัติเกี่ยวกับการร้องทุกข์ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๔ ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ยังคงมีผลบังคับอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีการเปิดทำการศาลปกครองกลางตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา
คดีปกครอง
(๔๗) มาตรา ๙๗ การแต่งตั้งตุลาการในศาลปกครองสูงสุดครั้งแรก เมื่อพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้มีคณะกรรมการคัดเลือกตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ประกอบด้วยข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาสองคนซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่คณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้พิพากษาในศาลฎีกาสองคนซึ่งดำรงตำแหน่ง
ไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาและได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ผู้แทนคณะกรรมการข้าราชการอัยการหนึ่งคน ผู้แทนคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนหนึ่งคน ผู้แทนคณะกรรมการสภาทนายความหนึ่งคน ผู้แทนคณะนิติศาสตร์หรือเทียบเท่าของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐทุกแห่งซึ่งเลือกกันเองให้เหลือสองคน และผู้แทนคณะรัฐศาสตร์หรือเทียบเท่าของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐทุกแห่งซึ่งเลือกกันเองให้เหลือหนึ่งคนเป็นกรรมการ และให้กรรมการดังกล่าวเลือกกรรมการด้วยกันเองคนหนึ่งเป็นประธานกรรมการ
ให้คณะกรรมการตามวรรคหนึ่งเลือกข้าราชการฝ่ายศาลปกครองคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นเลขานุการ
มาตรา ๙๘ ให้คณะกรรมการคัดเลือกตุลาการในศาลปกครองสูงสุดคัดเลือกบุคคลผู้มีคุณสมบัติตามพระราชบัญญัตินี้และมีความรู้ความสามารถและความประพฤติเหมาะสมที่จะแต่งตั้งเป็นตุลาการในศาลปกครองสูงสุดไม่เกินยี่สิบสามคน และให้นำความในมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม ทั้งนี้ ต้องดำเนินการ
ให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้คณะกรรมการคัดเลือกตุลาการในศาลปกครองสูงสุดจัดทำบัญชีรายชื่อบุคคลที่จะคัดเลือกจากผู้ที่สนใจสมัครและผู้ที่สถาบันหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่มีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๓ (๔) เสนอขึ้น และให้บุคคลดังกล่าวแสดงหลักฐานผลงานทางวิชาการหรือทางประสบการณ์ที่บ่งชี้ถึงความรู้ความสามารถที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเพื่อสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่สุดตามจำนวนที่กำหนดในวรรคหนึ่ง ในการนี้ให้เปิดเผยบัญชีรายชื่อบุคคลที่จะคัดเลือกและรายชื่อบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกให้ทราบทั่วไป และเชิญชวนให้บุคคลในวงการกฎหมายและการบริหารราชการแผ่นดินให้ข้อคิดเห็นและนำมาพิจารณาก่อนนำรายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกในชั้นที่สุดเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อไป
เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตุลาการในศาลปกครองสูงสุดตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้คณะกรรมการคัดเลือกตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเป็นอันพ้นจากหน้าที่ และให้ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดคัดเลือกตุลาการในศาลปกครองสูงสุดด้วยกันเอง เป็นประธานศาลปกครองสูงสุดหนึ่งคน รองประธานศาลปกครองสูงสุดสองคน และตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุดสี่คน และให้นำความในมาตรา ๑๕ วรรคสอง และวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๔
๘) ส่วนกรรมการอื่นได้แก่ นายชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ และนายอัชพร จารุจินดา ซึ่งเป็นข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่คณะกรรมการกฤษฎีกา นายสุรินทร์ นาควิเชียร และนายวิชา มหาคุณ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา นายคัมภีร์ แก้วเจริญ ผู้แทนคณะกรรมการข้าราชการอัยการ นายสัก กอแสงเรือง ผู้แทนคณะกรรมการสภาทนายความ นายพนม เอี่ยมประยูร และนายเธียรชัย ณ นคร ซึ่งเป็นผู้แทนคณะนิติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมาธิราช ที่ได้รับเลือก และนายอเนก เหล่าธรรมทัศน์ ซึ่งเป็นผู้แทนคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ ที่ได้รับเลือก
(๔
๙) มาตรา ๒๗๗ ฯลฯ ฯลฯ
ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ และผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาการบริหารราชการแผ่นดิน อาจได้รับแต่งตั้งเป็นตุลาการในศาลปกครองสูงสุดได้ การแต่งตั้งให้บุคคลดังกล่าวเป็นตุลาการในศาลปกครองสูงสุดให้แต่งตั้งไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนตุลาการศาลปกครองสูงสุดทั้งหมด และต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองที่กฎหมายบัญญัติ และได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาก่อน แล้วจึงนำความกราบบังคมทูล
ฯลฯ ฯลฯ
(๕๐) ประธานวุฒิสภาในขณะนั้นคือ ท่านมีชัย ฤชุพันธ์
(๕๑) ผู้เขียนมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการตีความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ ของวุฒิสภาว่าเป็นการตีความที่มีผลทำให้ไม่อาจจัดตั้งศาลปกครองได้เลยเพราะจะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฯ โดยเพิ่มเติมบทเฉพาะกาลเข้าไปเสียก่อนว่า ในระหว่างที่ยังไม่มี ก.ศป. จะต้องดำเนินการอย่างไร ทั้ง ๆ ที่ ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในชั้นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา ๙๗ และมาตรา ๙๘ ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็ได้สอบถามและพิจารณาประเด็นนี้มาแล้ว ซึ่งเมื่อได้รับคำชี้แจงจากศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ แล้ว ก็ได้มีมติให้ผ่านร่างฯ ออกมาเป็นกฎหมายได้
(๕๒) มาตรา ๙๘ ฯลฯ ฯลฯ
เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตุลาการในศาลปกครองสูงสุดตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้คณะกรรมการคัดเลือกตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเป็นอันพ้นจากหน้าที่ และให้ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดคัดเลือกตุลาการในศาลปกครองสูงสุดด้วยกันเอง เป็นประธานศาลปกครองสูงสุดหนึ่งคน รองประธานศาลปกครองสูงสุดสองคน และตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุดสี่คน และให้นำความในมาตรา ๑๕ วรรคสอง และวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๕ การแต่งตั้งตุลาการศาลปกครองสูงสุด ก.ศป. อาจดำเนินการได้โดยวิธีการ ดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาเลื่อนตุลาการในศาลปกครองชั้นต้นซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าตุลาการหัวหน้าคณะ
ศาลปกครองชั้นต้น โดยคำนึงถึงหลักอาวุโส ความรู้ความสามารถ ความรับผิดชอบ ความเหมาะสม ประวัติ และผลงานการปฏิบัติราชการ
(๒) พิจารณาคัดเลือกบุคคลซึ่งมิได้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลปกครองในขณะนั้น โดยมีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๓ และมีความเหมาะสมที่จะแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุด
การแต่งตั้งตุลาการศาลปกครองสูงสุดตามวรรคหนึ่ง ให้คำนึงถึงสัดส่วนของผู้ที่ได้รับการคัดเลือกตามวรรคหนึ่ง (๒) โดยให้มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนตุลาการในศาลปกครองสูงสุดทั้งหมด
ให้ ก.ศป. เสนอรายชื่อผู้ได้รับการเลื่อนตามวรรคหนึ่ง (๑) หรือได้รับการคัดเลือกตามวรรคหนึ่ง (๒) ต่อนายกรัฐมนตรี และให้นายกรัฐมนตรีนำรายชื่อดังกล่าวเสนอขอความเห็นชอบต่อวุฒิสภาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับรายชื่อ เมื่อได้รับความเห็นชอบแล้วให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) ให้เป็นไปตามระเบียบที่ ก.ศป. กำหนดโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
(๕๓) โปรดดู ๑.๔.๑ ในหน้า ๑๓ - ๑๔
(๕๔) โปรดดู ๑.๔.๒.๒ ในหน้า ๑๖ - ๒๐
(๕๕) โปรดดู ๒.๑.๑ ในหน้า ๓๘ - ๔๑
(๕๖) โปรดดู ๑.๔.๒.๒.๓ ในหน้า ๒๐ - ๒๒
(๕๗) โปรดดู ๑.๔.๒.๒.๔ ในหน้า ๒๒ - ๓๐
(๕๘) โปรดดู ๑.๔.๓.๒ ในหน้า ๓๑ - ๓๒ และ ๑.๔.๓.๓ ในหน้า ๓๒ - ๓๕
(๕๙) มาตรา ๙ ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่งหรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
(๒) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
(๓) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
(๔) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง
(๕) คดีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด
(๖) คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง
เรื่องดังต่อไปนี้ไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครอง
(๑) การดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหาร
(๒) การดำเนินการของคณะกรรมการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ
(๓) คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร ศาลทรัพย์สิน
ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ศาลล้มละลาย หรือศาลชำนัญพิเศษอื่น
(๖๐) โปรดดูชาญชัย แสวงศักดิ์, ความรับผิดขอบของรัฐ : ความรับผิดทางละเมิดและความรับผิดชอบโดยปราศจากความผิด, สำนักพิมพ์วิญญูชน, พ.ศ. ๒๕๖๓
(๖๑) มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
ฯลฯ ฯลฯ
สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
ฯลฯ ฯลฯ
(๖๒) โปรดดูชาญชัย แสวงศักดิ์, สัญญาของทางราชการ : กฎหมายเปรียบเทียบ, สำนักพิมพ์วิญญูชน,
พ.ศ. ๒๕๖๓
(๖๓) คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑๙๔/๒๕๓๔
เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาทางปกครอง
ฯลฯ ฯลฯ
๑. ให้คณะกรรมการประกอบด้วย
๑.๑ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นประธานกรรมการ
๑.๒ นายชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ เป็นกรรมการ
๑.๓ นายโภคิน พลกุล เป็นกรรมการ
๑.๔ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นกรรมการ
๑.๕ นายชาญชัย แสวงศักดิ์ เป็นกรรมการ
๑.๖ นายกมลชัย รัตนสกาววงศ์ เป็นกรรมการ
๑.๗ นายบุญศรี มีวงศ์อุโฆษ เป็นกรรมการ
๑.๘ นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล เป็นกรรมการ
๑.๙ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ เป็นกรรมการ
ให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแต่งตั้งข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นกรรมการและเลขานุการคนหนึ่ง กับกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการอีกสองคน
ฯลฯ ฯลฯ
(๖๔) ผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมันทั้ง ๓ ท่าน คือ
(ก) ศาสตราจารย์ ดร. Heinrich Siedentopf จาก Post - Graduate School of Administrative Sciences Speyer
(ข) ศาสตราจารย์ ดร. Karl - Peter Sommermann จากสถาบันเดียวกัน
(ค) ศาสตราจารย์ ดร. Christophe Hauschild
(๖๕) คำสั่งคณะกรรมการพัฒนาระบบบริหารราชการแผ่นดิน
ที่ ๗/๒๕๓๖
เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาทางปกครอง
ฯลฯ ฯลฯ
๑. องค์ประกอบ
๑.๑ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ประธานอนุกรรมการ
๑.๒ นายกมลชัย รัตนสกาววงศ์ อนุกรรมการ
๑.๓ นายชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ อนุกรรมการ
๑.๔ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อนุกรรมการ
๑.๕ นายบุญศรี มีวงศ์อุโฆษ อนุกรรมการ
๑.๖ นายพนม เอี่ยมประยูร อนุกรรมการ
๑.๗ นายพิทยา บวรวัฒนา อนุกรรมการ
๑.๘ นายโภคิน พลกุล อนุกรรมการ
๑.๙ นายรังสิกร อุปพงศ์ อนุกรรมการ
๑.๑๐ นายฤทัย หงษ์ศิริ อนุกรรมการ
๑.๑๑ นายวิษณุ เครืองาม อนุกรรมการ
๑.๑๒ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อนุกรรมการ
๑.๑๓ นายสมยศ เชื้อไทย อนุกรรมการ
๑.๑๔ นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล อนุกรรมการ
๑.๑๕ นายอภิรัตน์ เพ็ชรศิริ อนุกรรมการ
๑.๑๖ นายอักขราทร จุฬารัตน อนุกรรมการ
๑.๑๗ นายอเนก ศรีสนิท อนุกรรมการ
ให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแต่งตั้งข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นอนุกรรมการและเลขานุการคนหนึ่ง กับอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการอีกสองคน
ฯลฯ ฯลฯ
(๖๖) ผู้เขียนได้รับมอบหมายให้ไปช่วยราชการรัฐมนตรีฯ โภคิน จึงได้เสนอต่อรัฐมนตรีฯ โภคิน ว่าควรนำร่างพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. .... ที่ศาสตราจารย์พิเศษชัยวัฒน์ ได้พยายามเสนอต่อรัฐบาลที่ผ่านมา แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ มาดำเนินการต่อในรัฐบาลนี้ ซึ่งรัฐมนตรีฯ โภคิน เห็นด้วย
(๖๗) มาตรา ๓๘ บทบัญญัติตามมาตรา ๓๖ และมาตรา ๓๗ วรรคหนึ่ง มิให้ใช้บังคับกับคำสั่งทางปกครองที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
(๖๘) มาตรา ๕๒ คำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่อยู่ในบังคับของมาตรา ๕๑ อาจถูกเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วนได้ แต่ผู้ได้รับผลกระทบจากการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองดังกล่าวมีสิทธิได้รับค่าทดแทนความเสียหายเนื่องจากความเชื่อโดยสุจริตในความคงอยู่ของคำสั่งทางปกครองได้ และให้นำความในมาตรา ๕๑ วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ต้องร้องขอค่าทดแทนภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่ได้รับแจ้งให้ทราบถึงการเพิกถอนนั้น
ฯลฯ ฯลฯ
(๖๙) มาตรา ๕๓ ฯลฯ ฯลฯ
ในกรณีที่มีการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองเพราะเหตุตามวรรคสอง (๓) (๔) และ (๕) ผู้ได้รับประโยชน์
มีสิทธิได้รับค่าทดแทนความเสียหายอันเกิดจากความเชื่อโดยสุจริตในความคงอยู่ของคำสั่งทางปกครองได้ และให้นำมาตรา ๕๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ฯลฯ ฯลฯ
(๗๐) มาตรา ๖๓/๑ เพื่อประโยชน์แก่การพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติงานกฎหมายของรัฐ ให้มีตำแหน่ง
นักกฎหมายกฤษฎีกาซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญที่มีความรู้และมีประสบการณ์ในทางนิติศาสตร์ การร่างกฎหมายและการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในงานด้านกฎหมายตามความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ให้นักกฎหมายกฤษฎีกาได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งในอัตราที่คำนวณแล้วไม่ต่ำกว่าค่าตอบแทนของข้าราชการอัยการ
คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการเข้าสู่ตำแหน่ง การแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนักกฎหมายกฤษฎีกา และอัตราเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งนักกฎหมายกฤษฎีกา ให้เป็นไปตามระเบียบที่ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด
(๗๑) บันทึกสรุปผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาปรับปรุงหลักสูตรคณะนิติศาสตร์และคณะรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับวิชากฎหมายปกครองและกฎหมายมหาชน (ธันวาคม ๒๕๓๓),
๑๗ หน้า