ข้อเสนอสำหรับกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในประเทศไทย [ตอนที่ 2]

3 มกราคม 2548 17:27 น.

       2.3 กรณีศึกษาการจัดทำประชาพิจารณ์ตามระเบียบสำนักนายก
       รัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539

                   
       นับแต่ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 มีผลใช้บังคับ ได้มีการจัดทำประชาพิจารณ์ในกิจการที่สำคัญ ๆ หลายเรื่องด้วยกัน ในที่นี้จะขอนำเสนอกรณีศึกษา 3 กรณีด้วยกัน คือ
                   
       2.3.1 กรณีศึกษาที่ 1 : การจัดทำประชาพิจารณ์ร่างพระราชบัญญัติป่า
       ชุมชน พ.ศ. ….
54
                   
        2.3.1.1 ความเป็นมา
                   
        ในปี พ.ศ. 2532 ในภาคเหนือได้มีการเคลื่อนไหวในเรื่องป่าชุมชนโดยเน้นให้คนอยู่กับป่าได้ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์หรือนอกเขตป่าอนุรักษ์ โดยได้มีการจัดประชุมร่วมกันหลายครั้ง อาทิ การประชุม "เวทีชาวบ้าน ทางออกในการจัดทำป่าชุมชน" เมื่อวันที่ 13-14 กันยายน พ.ศ. 2534 ที่ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจากการประชุมดังกล่าวได้มีการสรุปความเห็นเป็นข้อเสนอแนะต่อการจัดทำร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. …. ซึ่งในขณะนั้นกรมป่าไม้ได้กำลังยกร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. …. เพื่อให้สิทธิแก่ชุมชนในการจัดการป่าอย่างเหมาะสมเช่นกัน จึงทำให้การยกร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับความสนใจจากหลายฝ่ายและมีความเห็นแตกต่างกันไปในหลายประเด็น คณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 จึงได้มีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชลอการนำเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีไว้ก่อนพร้อมกับมอบให้ "คณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (กนภ.) เร่งยกร่างกฎหมายเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วน ซึ่งได้มีการประชุมยกร่างกฎหมายที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 7-9 เมษายน พ.ศ. 2539 โดยมีศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเวศ วะสี เป็นประธาน พร้อมด้วยกลุ่มผู้แทนส่วนที่เกี่ยวข้องและได้มีการนำร่างกฎหมายดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีรับหลักการในคราวประชุมเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2539 พร้อมมอบให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายโภคิน พลกุล) รับไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขในรายละเอียด แต่ก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างจากองค์กรพัฒนาภาคเอกชนและกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติบางกลุ่มจึงได้มีการประชุมร่วมกันแล้วมีความเห็นว่า ควรจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์กรณีร่างกฎหมายว่าด้วย
       ป่าชุมชนใน 3 ประเด็น แต่เนื่องจากขณะนั้น มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 อยู่แล้ว แต่คณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยประชาพิจารณ์ยังไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประชาพิจารณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายก
       รัฐมนตรี (นายโภคิน พลกุล) จึงได้มีการเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อคราวประชุมเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 เพื่อขออนุมัติการจัดทำประชาพิจารณ์และมีมติเป็นการเฉพาะให้วางระเบียบปฏิบัติราชการเกี่ยวกับการจัดทำประชาพิจารณ์กรณีกฎหมายป่าชุมชนดังนี้
                   
        (1) ให้ดำเนินการจัดทำประชาพิจารณ์กรณีกฎหมายป่าชุมชนในปัญหาสามประเด็น
                   
        (2) ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายโภคิน พลกุล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ร่วมกันแต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์โดยพิจารณาจากบุคคลที่มีความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับป่าชุมชน ทรัพยากรป่าไม้ หรือปัญหาของบุคคลที่อาศัยอยู่ในป่า แต่ต้องไม่เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างของกรมป่าไม้ หรือผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตป่า ทั้งนี้โดยไม่อยู่ในบังคับของข้อ 12 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539
                   
        (3) ผู้มีส่วนได้เสียที่จะเสนอความคิดเห็นในการประชาพิจารณ์ ได้แก่ ผู้ดำเนินกิจการป่าชุมชน หรือผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตป่า หรือนิติบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่กระทำกิจกรรมเกี่ยวกับการส่งเสริมกิจการป่าชุมชน หรือนิติบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่กระทำกิจกรรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ หรือนิติบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่กระทำกิจกรรมส่งเสริมการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับป่า หรืออาจารย์หรือผู้บรรยายในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา หรือมีบุคคลอื่นตามที่คณะกรรมการประชาพิจารณ์เห็นสมควร
                   
        (4) ให้คณะกรรมการประชาพิจาณ์กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประชาพิจารณ์การประชุมปรึกษา การซักถามผู้เสนอความคิดเห็น การลงมติ และการทำรายงานของคณะกรรมการประชาพิจารณ์ แต่ถ้าต่อมาคณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยประชาพิจารณ์ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประชาพิจารณ์ตามข้อ 17 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 และประสงค์จะให้ใช้หลักเกณฑ์และวิธีการนั้นก็ให้คณะกรรมการประชาพิจารณ์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวด้วย
                   
        รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายโภคิน พลกุล) และ
       รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 110/2539 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 แต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์
       กรณีร่างกฎหมายป่าชุมชน โดยมีนายแก้วสรร อติโพธิ เป็นประธานกรรมการ แต่เนื่องจากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรทำให้คณะกรรมการดังกล่าวได้สิ้นสภาพลงพร้อมกับรัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา
                   
        ต่อมาในสมัยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ดำรงตำแหน่งนายก
       รัฐมนตรี สมัชชาคนจนได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อเสนอข้อเรียกร้องหลายเรื่อง รวมถึงกรณีร่างกฎหมายป่าชุมชนที่ได้มีการเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดดำเนินการจัดทำประชาพิจารณ์และนำร่างกฎหมายป่าชุมชนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาโดยเร็ว จนกระทั่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบกรอบการตกลงการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจนกลุ่มนโยบายและกฎหมายได้มีการนำร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. …. ฉบับที่คณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (กนภ.) เป็นผู้ดำเนินการยกร่างและคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2540 มาดำเนินการจัดทำประชาพิจารณ์แล้วให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อตราเป็นกฎหมายใช้บังคับโดยเร็ว
       
                   
        2.3.1.2 การแต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์
                   
        นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นคือพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 93/2540 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540 แต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์ กรณีร่างกฎหมายป่าชุมชน จำนวน 7 คน ประกอบด้วย
                   
        (1) นายมนตรี รูปสุวรรณ ประธานกรรมการ
                   
        (2) นายบุญวงค์ ไทยอุตส่าห์ กรรมการ
                   
        (3) นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ กรรมการ
                   
        (4) นายมาร์ค ตามไท กรรมการ
                   
        (5) นายพูนศักดิ์ ไวสำรวจ กรรมการ
                   
        (6) นายสุนทร มณีสวัสดิ์ กรรมการ
                   
        (7) นายโสภณ สุภาพงษ์ กรรมการ
                   
        เนื่องจากในขณะนั้นยังไม่มีประกาศของคณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ คณะกรรมการประชาพิจารณ์จึงได้กำหนดแนวทางในการจัดทำประชาพิจารณ์ขึ้น คือ
                   
        (1) หน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (กนภ.) สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยทำหน้าที่เป็นหน่วยงานตอบข้อซักถามหรืออาจเชิญผู้เชี่ยวชาญหรือกลุ่มองค์กรต่าง ๆ มาให้คำปรึกษาได้
                   
        (2) ข้อมูลข่าวสารที่จัดให้ ข้อมูลประกอบการชี้แจงของทุกฝ่ายให้ส่งมอบคณะกรรมการประชาพิจารณ์เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาและคณะกรรมการประชาพิจารณ์ มีอำนาจขอให้ส่วนราชการรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐและคณะกรรมการอื่นที่เกี่ยวข้องจัดส่งเอกสารข้อมูล ชี้แจงข้อเท็จจริงและผลการดำเนินงาน
                   
        (3) ขั้นตอนการลงทะเบียน ผู้ประสงค์เข้าร่วมประชาพิจารณ์ให้ลงทะเบียนตามวัน เวลา และสถานที่ ตลอดจนวิธีการที่กำหนดโดยระบุประเด็นที่จะซักถาม ท้วงติงหรือเสนอแนะพร้อมวิธีการนำเสนอ เมื่อเสร็จสิ้นกำหนดลงทะเบียน คณะกรรมการประชาพิจารณ์ จะศึกษาคำขอทั้งหมดแล้วแบ่งเป็นประเด็นประชาพิจารณ์ แจ้งและประกาศกำหนดการให้ทราบต่อไป
                   
        (4) การดำเนินการประชาพิจารณ์ จะดำเนินไปตามประเด็นที่กำหนดไว้ ผู้เข้าร่วมอาจต้องเข้าร่วมในหลายนัด พิจารณาตามประเด็นที่ตนแสดงความจำนงไว้ ตลอดกระบวนการนั้นการพิจารณ์จะทำโดยเปิดเผย เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนถ่ายทอดหรือผู้สนใจใด ๆ เข้าฟังได้เสมอ รวมถึงระยะเวลาในการจัดทำประชาพิจารณ์ให้เสร็จสิ้นภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่มีคำสั่ง
                   
        (5) คณะกรรมการประชาพิจารณ์ มีสิทธิที่จะซักถามหรือเชิญ
       ผู้ทรงคุณวุฒิเข้าชี้แจงในกระบวนการได้ และคำชี้แจง คำถาม ข้อท้วงติง ข้อเสนอทุกประเด็นจะต้องรวบรวมไว้ในรายงาน การสรุปความเห็นของคณะกรรมการประชาพิจารณ์จะต้องมาจากข้อความต่าง ๆ ในรายงานเท่านั้น จะนำความเห็นหรือข้อมูลนอกกระบวนการมาใช้มิได้
                   
        (6) การตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี ยังคงมีอิสระที่จะเห็นเป็นอย่างอื่นซึ่งแตกต่างไปจากความเห็นของคณะกรรมการประชาพิจารณ์ได้ แต่ต้องวินิจฉัยในกรอบของประเด็นที่ปรากฏพร้อมทั้งให้เหตุผลด้วยเช่นกัน
       
                   
        2.3.1.3 การจัดทำประชาพิจารณ์
                   
        คณะกรรมการประชาพิจารณ์ ได้ดำเนินการจัดทำประชาพิจารณ์ร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. …. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล จำนวน 3 ครั้ง คือ
                   
        ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2540
                   
        ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2540
                   
        ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2540
       
                   
       2.3.2 กรณีศึกษาที่ 2 : การจัดทำประชาพิจารณ์โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อนอก) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (หินกรูด) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์55
                   
        2.3.2.1 ความเป็นมา
                   
        ใน พ.ศ. 2535 รัฐบาลได้ประกาศนโยบายที่จะสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมกระแสไฟฟ้าเพื่อลดภาระการลงทุนของภาครัฐ ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้เสนอให้ภาคเอกชนผลิตกระแสไฟฟ้าขายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยคณะรัฐมนตรีสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติแผนการดำเนินโครงการรับซื้อกระแสไฟฟ้าดังกล่าว เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 หลังจากนั้นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมประมูลโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2537 มีบริษัทยื่นข้อเสนอให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พิจารณาจำนวน 32 ราย ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยตกลงทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากเอกชนตามโครงการตัวอย่างดังกล่าว 7 ราย แยกเป็นโครงการโรงไฟฟ้าเอกชนในพื้นที่ชลบุรี 2 ราย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2 ราย จังหวัดระยอง 1 ราย จังหวัดสมุทรปราการ 1 ราย และจังหวัดราชบุรี 1 ราย
                   
        สำหรับโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจำนวน 2 โครงการที่จะก่อสร้างในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์นั้น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัทเอกชน 2 บริษัท คือ
                   
        (1) บริษัทกัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อนอก) โดยมีพื้นที่ก่อสร้างบริเวณบ้านบ่อนอก ตำบลบ่อนอก อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
                   
        (2) บริษัทยูเนี่ยน เพาเวอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (หินกรูด) โดยมีพื้นที่ก่อสร้างบริเวณบ้านโคกตาหอม ตำบลธงชัย อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
                   
        การดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อนอก) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (หินกรูด) นั้นถูกต่อต้านจากประชาชนเรื่อยมา จนกระทั่งประชาชนได้รวมตัวกันชุมนุมคัดค้านและปิดกั้นการจราจรบนถนนเพชรเกษม ในระหว่างวันที่ 9-10 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของทางราชการและประชาชน เพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนที่เกิดจากโครงการดังกล่าว คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2541 มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหารือร่วมกันจัดประชาพิจารณ์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในฐานะผู้มีส่วนได้เสียในการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีความเห็นร่วมกันให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) รับผิดชอบในการจัดประชาพิจารณ์ภายใต้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539
                   
        2.3.2.2 การแต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์
                   
        รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้มี
       คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 19/2542 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประกอบด้วย
        (1) ศาสตราจารย์ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต ประธานกรรมการ
                   
        (2) ศาสตราจารย์ นายแพทย์วันชัย วัฒนศัพท์ กรรมการ
                   
        (3) รองศาสตราจารย์ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ กรรมการ
                   
        (4) พลเรือเอกเกาะหลัก เจริญรุกข์ กรรมการ
                   
        (5) นายเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ กรรมการ
                   
        (6) นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ กรรมการ
                   
        (7) ศาสตราจารย์พิชิต สกุลพราหมณ์ กรรมการ
                   
        (8) นายวิชช์ จีระแพทย์ กรรมการ
                   
        (9) นายวรินทร์ เทียมจรัส กรรมการ
                   
        (10) ศาสตราจารย์ ดร.สุจิต บุญบงการ กรรมการ
                   
        (11) นายอานุภาพ สุนอนันต์ กรรมการ
                   
        ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการประชาพิจารณ์ของทั้ง 2 โครงการ
       
                   
        2.3.2.3 การจัดทำประชาพิจารณ์
                   
        คณะกรรมการประชาพิจารณ์ได้จัดทำประชาพิจารณ์โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อนอก) เมื่อวันที่ 10-12 กันยายน พ.ศ. 2542 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (หินกรูด) เมื่อวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543
                   
       2.3.3 กรณีศึกษาที่ 3 : การจัดทำประชาพิจารณ์โครงการท่อส่งก๊าซ
       ธรรมชาติไทย-มาเลเซีย และโครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย
56
                   
        2.3.3.1 ความเป็นมา
                   
        ก่อนปี พ.ศ. 2522 ประเทศไทยและประเทศมาเลเซียต่างอ้างสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ทำให้เกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกัน ภายหลังได้แก้ปัญหาดังกล่าวโดยรัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซียได้ตกลงร่วมกันแสวงประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวในสัดส่วนที่เท่ากัน และมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการพัฒนาพื้นที่เหลื่อมล้ำเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตั้งองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (Malaysia-Thailand Joint Development Area หรือ MTJD) เพื่อรวมสิทธิแทนรัฐบาลทั้งสองในการดูแลการสำรวจและแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วม
                   
        องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ได้เห็นชอบให้ผู้ประกอบการได้รับสิทธิเข้าทำสัญญากับองค์กรร่วมเพื่อสำรวจพื้นที่ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2537 ประกอบด้วย 1) แปลง A 18 พื้นที่ประมาณร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งหมด ผู้ถือหุ้นคือบริษัทไตรตันออยล์จากประเทศไทย (50%) กับบริษัทเปโตรนาส ชาริกาลี จากประเทศมาเลเซีย (50%) โดย 2 บริษัทดังกล่าวได้ตั้งบริษัทดำเนินงานในแปลงสำรวจคือ บริษัท Carigali - Triton Operating Company Sdn. Bhd. (CTOC) 2) แปลงสำรวจหมายเลข B-17 และ C-19 ผู้ถือหุ้นคือบริษัทการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) สำรวจและผลิตปิโตรเลียม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดจากประเทศไทย (50%) กับบริษัทเปโตรนาส คาริกาลี จากประเทศมาเลเซีย (50%) โดยบริษัททั้ง 2 ได้ตั้งบริษัทดำเนินงานในแปลงสำรวจคือ Carigali - PTTEPI Operating Company Sdn,. Bhd. (CPOC)
                   
        บริษัทผู้ดำเนินงานได้เจาะหลุมสำรวจทั้งสิ้น 16 หลุมพบแหล่งก๊าซธรรมชาติ 8 แหล่ง ปริมาณก๊าซไม่ต่ำกว่า 9.5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต จึงมีการเจรจาซื้อขายก๊าซกัน กระทั่งวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2541 คณะรัฐมนตรี เห็นชอบให้ ปตท. ร่วมซื้อก๊าซธรรมชาติกับเปโตรนาสจากพื้นที่พัฒนาร่วมบนหลักการ 50% : 50% โดยมีนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศเป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามใน Head of agreement - Gas Sale Agreement (GSA-HOA)
                   
        หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2542 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2542 เห็นชอบให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยร่วมทุนกับบริษัท PETROLIAM NASIONAL BERHAD หรือ "เปโตรนาส" เพื่อดำเนินโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย และโครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่ให้จัดทำประชาพิจารณ์โครงการดังกล่าว ภายใต้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539
       
                   
        2.3.3.2 การแต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์
                   
        กระทรวงอุตสาหกรรม (นายสุวัจน์ ลิมปตพัลลภ) ได้มีคำสั่งที่ 53/2543 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 แต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย และโครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย เพื่อทำหน้าที่รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย เสนอต่อรัฐบาลตามกระบวนการตัดสินใจต่อไป โดยคณะกรรมการประชาพิจารณ์โครงการดังกล่าวประกอบด้วย
                   
        (1) พลเอกจรัล กุลละวณิชย์ ประธานกรรมการ
                   
        (2) นายวิชช์ จีระแพทย์ กรรมการ
                   
        (3) นายไพโรจน์ อินทรศิริสวัสดิ์ กรรมการ
                   
        (4) นายอัมพร ด้วงปาน กรรมการ
                   
        (5) นายอาศีส พิทักษ์คุมพล กรรมการ
                   
        (6) นายอุดม ศุภกิจ กรรมการ
                   
        (7) นายวิทยา งานทวี กรรมการ
                   
        (8) นายมนัส สงวนดีกุล กรรมการ
                   
        (9) คุณหญิงทองทิพ รัตนะรัต กรรมการ
                   
        ทั้งนี้ให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการประชาพิจารณ์โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย และโครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ไทย-มาเลเซีย
       
                   
        2.3.3.3 การจัดทำประชาพิจารณ์
                   
        คณะกรรมการประชาพิจารณ์ได้จัดทำประชาพิจารณ์ทั้ง 2 โครงการเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 และวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2543
       
        2.4 ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดจากการจัดทำประชาพิจารณ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของ
       ประชาชนโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539

                   
       จากการศึกษากรณีศึกษาการจัดทำประชาพิจารณ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 ในหัวข้อที่ผ่านมาพบว่าการจัดทำประชาพิจารณ์ดังกล่าวประสบปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ซึ่งสามารถสรุปประเด็นปัญหาที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้ คือ
                   
        2.4.1 ปัญหาที่เกิดจากการตัดสินใจก่อนการจัดทำประชาพิจารณ์
                   
        ในทุก ๆ โครงการของรัฐที่จัดให้มีการจัดทำประชาพิจารณ์นั้น รัฐบาลได้ตัดสินใจอนุมัติโครงการดังกล่าวไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรณีร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน
       พ.ศ. …. คณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2539 ได้พิจารณาและรับหลักการร่างกฎหมายป่าชุมชน ซึ่งเสนอโดยคณะกรรมการนโยบายการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (กนภ.) แต่ได้จัดทำประชาพิจารณ์ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 - 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อนอก) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์ เจนเนอร์เรชั่น จำกัด เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2540 แต่ได้จัดทำประชาพิจารณ์เมื่อวันที่ 10-12 กันยายน พ.ศ. 2542 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (หินกรูด) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัทยูเนี่ยนเพาเวอร์ดีเวลลอปเมนท็ จำกัด เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2540 แต่ได้จัดประชาพิจารณ์เมื่อวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย และโรงแยกธรรมชาติก๊าซไทย-มาเลเซีย การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยได้ทำสัญญากับบริษัทเปโตรนาส โดยคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้มีการลงนามในสัญญาร่วม 4 ฉบับ อาทิ การร่วมทุนระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย สัญญาซื้อขายก๊าซแปลง A-18 เป็นต้น เมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2542 แต่ได้จัดประชาพิจารณ์ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 และ วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 254357
                   
        การที่รัฐบาลได้ตัดสินใจอนุมัติโครงการต่าง ๆ ไปก่อนแล้วจึงจัดให้มีการจัดทำประชาพิจารณ์นั้น ส่งผลให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับโครงการเห็นว่า การจัดทำประชาพิจารณ์เป็นการดำเนินการทางพิธีการและการจัดทำประชาพิจารณ์ก็เพื่อให้โครงการดังกล่าวสามารถดำเนินต่อไปได้โดยอ้างว่าได้จัดทำประชาพิจารณ์แล้ว ประชาชนตลอดจนผู้มีส่วนได้เสียจึงไม่ให้ความสำคัญการจัดทำประชาพิจารณ์โครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ
       
                   
       2.4.2 ปัญหาในเรื่องการให้ข้อมูลข่าวสารก่อนการจัดทำประชาพิจารณ์
                   
        ในการจัดทำประชาพิจารณ์ โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน
       (หินกรูด) โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อนอก) โครงการท่อก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย และโครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซียนั้น ประสบปัญหาหนึ่งทำนองเดียวกัน
       คือ เรื่องการให้ข้อมูลข่าวสารในเรื่องที่จะจัดประชาพิจารณ์ เนื่องจากหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดประชาทำพิจารณ์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่าจะจัดให้มีการประชาพิจารณ์เรื่องใด ประเด็นใด และจะจัดประชาพิจารณ์เรื่องดังกล่าวในวัน เวลา และสถานที่ใด นอกจากนี้ ก่อนการจัดทำประชาพิจารณ์ คณะกรรมการประชาพิจารณ์จะไม่เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการทั้งหมดรวมทั้งรายงานผลการศึกษา EIA ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียได้ทราบอย่างตรงไปตรงมา ข้อมูลที่เผยแพร่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการประชาสัมพันธ์โครงการซึ่งมีลักษณะตื้น ๆ และชี้ให้เห็นเฉพาะข้อดีของโครงการ อันทำให้ฝ่ายคัดค้านขาดข้อมูลสำหรับการพิจารณาตรวจสอบก่อนที่จะเข้าร่วมประชุมประชาพิจารณ์58
       
                   
       2.4.3 ปัญหาในเรื่องผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์และความเป็นกลางของคณะกรรมการประชาพิจารณ์
                   
        ประเด็นที่ถูกหยิบยกมาใช้ในการคัดค้านคณะกรรมการประชาพิจารณ์คือ
       ความไม่เป็นกลางของคณะกรรมการประชาพิจารณ์ เนื่องจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 ข้อ 12 กำหนดให้ หน่วยงานเจ้าของโครงการเป็นผู้เสนอเรื่องให้รัฐมนตรี หรือผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณี เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์ขึ้น ดังนั้น กลุ่มผู้คัดค้านจึงเกิดความไม่เชื่อมั่นว่าคณะกรรมการประชาพิจารณ์จะมีความเป็นกลางหรือไม่ ดังที่เกิดขึ้นกับโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ทั้ง 2 โครงการ คือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อนอก) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (หินกรูด) โดยหลังจากมีมติคณะ
       รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2541 มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
       รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หารือร่วมการจัดทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนนั้น รัฐมนตรีทั้ง 3 กระทรวง
       ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นร่วมกันให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) รับผิดชอบในการจัดทำประชาพิจารณ์ ซึ่งต่อมารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 19/2542 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 11 คน โดยมี ศาสตราจารย์
       ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต เป็นประธานกรรมการประชาพิจารณ์ และมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการประชาพิจารณ์59 หลังจากการแต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์กลุ่มผู้คัดค้านได้ทำหนังสือเรียกร้องให้ถอดถอนกรรมการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการออก คือ ศาสตราจารย์ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต ประธานกรรมการประชาพิจารณ์ เนื่องจากเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งมีส่วนผลักดันโครงการดังกล่าว60 เป็นต้น หรือกรณีโครงการท่อส่งก๊าซไทย-มาเลเซีย และ
       โครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย จังหวัดสงขลา การจัดทำประชาพิจารณ์โครงการนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำประชาพิจารณ์ โดยได้มีคำสั่งกระทรวงอุตสาหกรรมที่ 53/2543 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 แต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย และโครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย จำนวน 10 คน โดยมี พลเอกจรัล กุลละวณิชย์ เป็นประธานกรรมการประชาพิจารณ์ และให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประชาพิจารณ์61 แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้พลเอกจรัล กุลละวณิชย์ ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการได้เคยให้สัมภาษณ์โดยชี้ให้เห็นถึงข้อดีของโครงการนี้ จึงทำให้มีการคัดค้านการแต่งตั้งประธานกรรมการประชาพิจารณ์62
                   
       2.4.4 ปัญหาที่เกิดจากการคัดเลือกผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์
                   
        การคัดเลือกผู้เข้าร่วมประชุมประชาพิจารณ์เป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน ตลอดจนผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์ เนื่องจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 มิได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการคัดเลือกผู้เข้าร่วมในการประชุมประชาพิจารณ์ไว้ จึงเป็นอำนาจของคณะกรรมการประชาพิจารณ์ที่จะพิจารณาผู้ที่จะเข้าร่วมประชาพิจารณ์ เช่น กรณีโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อนอก) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (หินกรูด) คณะกรรมการประชาพิจารณ์กำหนดว่า ผู้ที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประชุมประชาพิจารณ์จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก คือกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย ประกอบด้วย บริษัทเจ้าของโครงการกับชาวบ้านที่คัดค้าน กับอีกกลุ่มคือ ผู้ไม่มีส่วนได้เสียได้แก่ ประชาชนทั่วประเทศ จากการกำหนดข้างต้นมีประชาชนจำนวนมากมาลงทะเบียนเพื่อขอเข้าร่วมประชุมประชาพิจารณ์ ดังนั้น คณะกรรมการประชาพิจารณ์จึงจำเป็นต้องคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมที่จะเข้าร่วมประชุมประชาพิจารณ์ หลังจากที่คณะกรรมการประชาพิจารณ์ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้มีสิทธิเข้าร่วมประชุมประชาพิจารณ์แล้ว ฝ่ายคัดค้านได้ทักท้วงว่ามีรายชื่อคนตายได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมประชุมประชาพิจารณ์ด้วย หรือในกรณีโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย และโครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซียนั้น มีผู้ประสงค์แจ้งความจำนงเข้าร่วมประชุมประชาพิจารณ์จำนวนไม่ต่ำกว่า 13,613 คน ฝ่ายเลขานุการจึงมีหนังสือแจ้งให้ผู้ประสงค์เข้าร่วมประชุมประชาพิจารณ์ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมประมาณ 1,800 คน การคัดเลือกผู้เข้าร่วมด้วยวิธีการคัดเลือกกันเองของผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 680 คน ส่วนที่เหลือใช้วิธีจับสลาก อย่างไรก็ตามฝ่ายคัดค้านได้ทักท้วงเช่นเดียวกันว่ามีรายชื่อคนตายได้คัดเลือกให้เข้าประชุมประชาพิจารณ์อีกเช่นกัน63
                   
       2.4.5 ปัญหาที่เกิดจากฝ่ายเลขานุการ
                   
        การจัดทำประชาพิจารณ์นั้น ฝ่ายเลขานุการก็ถือว่ามีความสำคัญเนื่องจากเป็นผู้บริหารจัดการการจัดทำประชาพิจารณ์ จากการจัดทำประชาพิจารณ์ที่ผ่าน ๆ มา ฝ่ายเลขานุการประชาพิจารณ์จะใช้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานเจ้าของโครงการมารับหน้าที่ดังกล่าว เช่น กรณีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อนอก) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (หินกรูด) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ หรือกรณีโครงการท่อก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย และโครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย สำนักงานกระทรวงเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ ทำให้การทำงานของฝ่ายเลขานุการประชาพิจารณ์เป็นไปอย่างไม่เต็มที่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องทำงาน 2 หน้าที่ คือ ทำงานประจำในหน่วยงานของตน และทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการประชาพิจารณ์โครงการนั้น ๆ ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการของโครงการจึงประสบปัญหาต้องแบ่งเวลาจากการทำงานประจำมาทำหน้าที่จัดประชาพิจารณ์ จึงทำให้การบริหารจัดการการจัดประชาพิจารณ์เป็นไปอย่างไม่เต็มที่ และไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะต้องรับผิดชอบทำงานทั้ง 2 หน้าที่ในเวลาเดียวกัน
                   
       2.4.6 ปัญหาในเรื่องงบประมาณ
                   
        ในการจัดทำประชาพิจารณ์แต่ละโครงการจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ตามประกาศคณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยประชาพิจารณ์ เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการในการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ ข้อ 5 กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเป็นผู้รับผิดชอบงบประมาณในการจัดทำประชาพิจารณ์ จึงเกิดภาระกับหน่วยงานเจ้าของโครงการในการจัดสรรงบประมาณมาใช้ในการจัดทำประชาพิจารณ์ เพราะการจัดทำประชาพิจารณ์แต่ละโครงการนั้นจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งในบางครั้งหน่วยงานเจ้าของโครงการมิได้ตั้งงบประมาณในส่วนนี้ไว้ จึงต้องของบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น เช่น กรณีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อนอก) และโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (หินกรูด) หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการไม่มีงบประมาณจึงต้องใช้งบประมาณจากหน่วยงานอื่น คือ งบประมาณสนับสนุนจากกองทุนกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค (กภจ.) เป็นต้น
       
                   
       2.4.7 ปัญหาที่เกิดจากการไม่เข้าร่วมในการจัดทำประชาพิจารณ์
                   
        การไม่เข้าร่วมประชาพิจารณ์เป็นปัญหาที่ทำให้การจัดประชาพิจารณ์ไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เพราะทำให้ไม่ทราบถึงความเห็นของกลุ่มผู้ไม่เข้าร่วมประชาพิจารณ์ได้ ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มผู้คัดค้านจะเป็นกลุ่มที่จะไม่เข้าร่วมประชาพิจารณ์ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อนอก) กำหนดให้มีการจัดประชาพิจารณ์ในวันที่ 10-12 กันยายน พ.ศ. 2542 รวมระยะเวลา 3 วัน เมื่อถึงวันประชาพิจารณ์คือวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2542 ก่อนที่ถึงเวลาประชุมประชาพิจารณ์ กลุ่มผู้คัดค้านซึ่งประกอบด้วยชาวบ้านจากตำบลบ่อนอก ตำบลคลองงาน อำเภอเมือง และตำบลกุยเหนือ อำเภอกุยบุรี ได้มาชุมนุมกันที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากนั้นเดินไปตามถนนในเขตเทศบาลเมืองโดยถือแผ่นป้ายคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินและการจัดทำประชาพิจารณ์ และได้ใช้รถยนต์เปิดปรายศรัยโจมตีการจัดทำประชาพิจารณ์ นอกจากนี้ หลังจากที่ประธานคณะกรรมการประชาพิจารณ์ (ดร.สัปปนนท์ เกตุทัต) และคณะได้เปิดประชุมเพื่อจัดทำประชาพิจารณ์ ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงประมาณ 30 หน่วยงาน เช่น ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าเอกชน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมประมง กรมเจ้าท่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นต้น โดยในระหว่างการทำประชาพิจารณ์ นายสุชิน ช่อระหงษ์ ประธานคณะกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตำบลบ่อนอก พร้อมด้วยสมาชิกได้ขอเข้าพบประธานกรรมการประชาพิจารณ์ เพื่อยื่นหนังสือมติองค์การบริหารส่วนตำบลบ่อนอก ที่ได้มีการประชุมสมัยที่ 2/2542 เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2542 ไม่เห็นชอบการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อนนอก) ให้แก่ประธานคณะกรรมการประชาพิจารณ์ จากนั้น นายประเทือง สุขสม แกนนำกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอกได้ชี้แจงเจตนาในการยื่นมติว่า การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อนอก) เป็นสิ่งที่ชาวบ้านในท้องถิ่นและบริเวณใกล้เคียงไม่ต้องการ รวมทั้งการทำประชาพิจารณ์ผิดหลักการ ไม่โปร่งใสและผิดขั้นตอน ประธานคณะกรรมการประชาพิจารณ์ได้ชี้แจงว่า ได้ตรวจสอบกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำประชาพิจารณ์โครงการนี้แล้วไม่พบว่าดำเนินการผิดกฎหมายหรือขัดต่อหลักการใด ๆ และอนุญาตให้ชาวบ้านกลุ่มผู้คัดค้านเข้าร่วมประชาพิจารณ์เป็นกรณีพิเศษ แต่ชาวบ้านกลุ่มผู้คัดค้านก็ยังไม่เข้าร่วมประชุมประชาพิจารณ์ นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านกลุ่มผู้คัดค้านการจัดทำประชาพิจารณ์ นำโดยนายฉอย ตันติวรธรรม กำนันตำบลบ่อนอก ได้รวมตัวคัดค้านและเปิดเวทีปราศรัยบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับหอประชุมที่จัดทำประชาพิจารณ์64 การที่ประชาชนกลุ่มผู้คัดค้านไม่เข้าร่วมประชุมประชาพิจารณ์ ทำให้ไม่ทราบถึงรายละเอียดต่างๆ ของโครงการที่หน่วยราชการนำมาชี้แจงและทำให้กลุ่มผู้คัดค้านไม่สามารถแสดงความคิดเห็นของตนให้กรรมการประชาพิจารณ์และผู้เกี่ยวข้องในหน่วยงานต่าง ๆ ทราบ ตลอดจนกลุ่มผู้คัดค้านไม่สามารถซักถามข้อสงสัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการได้ ดังนั้นการไม่เข้าร่วมกระบวนการประชาพิจารณ์ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้การจัดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไม่บรรลุตามบรรจุประสงค์ของการจัดทำประชาพิจารณ์
                   
       2.4.8 ปัญหาที่เกิดจากผู้มีอำนาจตัดสินใจไม่ให้เหตุผลประกอบการ
       ตัดสินใจ

                   
        หลังจากจัดทำประชาพิจารณ์แล้ว คณะกรรมการประชาพิจารณ์จะทำรายงานเสนอต่อผู้มีอำนาจตัดสินใจเพื่อประกอบการพิจารณาของผู้มีอำนาจตัดสินใจ ซึ่งจากที่ผ่านๆ มาปรากฏว่าผู้มีอำนาจตัดสินใจมักจะไม่ให้ความสำคัญต่อรายงานดังกล่าว และไม่ให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ และตัดสินใจตรงข้ามกับรายงานผลการจัดทำประชาพิจารณ์ สำหรับกรณีโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อนอก) และโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน (บ่อกรูด) นั้น คณะกรรมการประชาพิจารณ์ไม่ได้มีการวินิจฉัยอย่างเด็ดขาดในรายงานผลการจัดประชาพิจารณ์ว่า โครงการดังกล่าวควรสร้างหรือไม่ควรสร้าง แต่เสนอแนวทางกว้าง ๆ ไว้ 3 ทางเลือก คือ ให้สร้างได้ สร้างไม่ได้ และจะรอไปก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าผู้มีอำนาจตัดสินใจ ตัดสินใจตามรายงานผลการประชาพิจารณ์หรือไม่65 กรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอีกกรณีหนึ่งคือ โครงการทางด่วนแยกอุรุพงษ์ - ราชดำริ เนื่องจากการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามโครงการนี้เป็นการนำรูปแบบการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยวิธีประชาพิจารณ์มาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยที่ในขณะนั้นยังไม่มีกฎหมายหรือระเบียบกำหนดรูปแบบและวิธีการในการรับฟังความคิดเห็นโดยวิธีประชาพิจารณ์ไว้เลย โครงการดังกล่าวได้มีการจัดประชาพิจารณ์ถึง 2 รอบ ซึ่งรายงานผลการจัดประชาพิจารณ์ของคณะกรรมการประชาพิจารณ์ในรอบแรกนั้น คณะกรรมการประชาพิจารณ์มีมติชี้ขาดว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวไม่เป็นประโยชน์กับการจราจรและไม่เป็นประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ ขณะที่จะสร้างผลกระทบรุนแรงต่อชุมชน และภารกิจจะตกแก่ชุมชนหันครัวมากจนไม่เป็นธรรม หลังจากที่รัฐบาลได้รับรายงานดังกล่าวแล้วมิได้ตัดสินใจใด ๆ ทั้งสิ้น จนต้องมีการจัดประชาพิจารณ์ในรอบที่สอง ซึ่งคณะกรรมการประชาพิจารณ์ก็ยังยืนยันในมติเดิมว่าการยกเลิกโครงการดังกล่าว แต่ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2538 ให้ก่อสร้างต่อไปได้ โดยเลือกลงไปในคลองเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด66 จากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้มีอำนาจตัดสินใจไม่ให้ความสำคัญต่อรายงานประชาพิจารณ์โดยการตัดสินใจตรงกันข้ามกับรายงานผลการจัดทำประชาพิจารณ์และไม่ได้ให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจดังกล่าว
       
                   
       การศึกษาที่ผ่านมาทั้งหมดทำให้ทราบว่า แม้ว่าจะได้มีการบัญญัติเรื่องการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไว้ในกฎหมายและมีการบัญญัติเรื่องการจัดทำประชาพิจารณ์ไว้ในระเบียบก่อนที่จะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2540) ก็ตามได้แก่ การจัดทำประชาพิจารณ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 ก็ประสบปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ทำให้การจัดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) ใช้บังคับและมีบทบัญญัติรับรองสิทธิในการเข้าร่วมกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไว้เป็นครั้งแรกในมาตรา 59 ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเรื่องการจัดทำประชาพิจารณ์ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2540) ในบทต่อไปจะได้ทำการศึกษาถึงการจัดทำประชาพิจารณ์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2540)
       
       
       เชิงอรรถ
       
                   
       54. สรุปจาก จรัล ดิษฐาอภิชัย และคณะ, รายงานการวิจัย แนวทางการจัดทำประชาพิจารณ์ในสังคมไทย, เสนอต่อมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา (TDRI) กรุงเทพมหานคร : กรมวิเทศสหการ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ, 2544, หน้า 46-51. ประกอบกับ โภคิน พลกุล, การรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ : การมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารราชการแผ่นดิน, (กรุงเทพมหานคร : บริษัทกราฟฟิคฟอร์แมท, 2540), หน้า 28-32.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       55. สรุปจาก จรัล ดิษฐาอภิชัย และคณะ, รายงานการวิจัย แนวทางการจัดทำประชาพิจารณ์ในสังคมไทย, หน้า 77-81. ประกอบกับ เฉลิมชัย หิรัญญะสิริ “การประชาพิจารณ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539”,หน้า 104-106.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       56. สรุปจาก จรัญ ดิษฐาอภิชัย และคณะ, รายงานการวิจัย แนวทางการจัดทำประชาพิจารณ์ในสังคมไทย, หน้า 110. เฉลิมชัย หิรัญญะศิริ “การประชาพิจารณ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539” หน้า 112. และสาระสำคัญการจัดทำประชาพิจารณ์ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย และโครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย, หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2543), หน้า 5.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       57. จรัญ ดิษฐาอภิชัย และคณะ, รายงานการวิจัย แนวทางการจัดประชาพิจารณ์ในสังคมไทย, หน้า 131.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       58. สมศักดิ์ สามัคคีธรรม, “ประชาพิจารณ์ : เครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับกระบวนการสะสมทุนของรัฐไทย” วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่ 19-20 ฉบับที่ 3 (2543) : หน้า 65.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       59. เฉลิมชัย หิรัญญะสิริ, “การประชาพิจารณ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539”, หน้า 105-106.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       60. สุกรานต์ โรจนไพรวงศ์, “ประชาพิจารณ์ : บน “เวที” หรือ “ท้องถนน” วารสารโลกสีเขียว, หน้า 30.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       61. เฉลิมชัย หิรัญญะสิริ, “การประชาพิจารณ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539”, หน้า 113.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       62. จรัญ ดิษฐาอภิชัย และคณะ, รายการการวิจัย แนวทางการจัดทำประชาพิจารณ์ในสังคมไทย, 140.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       63. เรื่องเดียวกัน, หน้า 137-138.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       64. “หวั่นมือที่สามก่อกวนประชาพิจารณ์โรงไฟฟ้า”, (หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน วันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2542). อ้างใน จรัล ดิษฐาอภิชัย และคณะ, รายงานการวิจัย แนวทางการจัดประชาพิจารณ์ในสังคมไทย, หน้า 87-89.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       65. จรัล ดิษฐาอภิชัย และคณะ, รายงานการวิจัย แนวทางการจัดประชาพิจารณ์ในสังคมไทย, หน้า 143.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       66. สุกรานต์ โรจนไพรวงศ์, ประชาพิจารณ์ : บน “เวที” หรือ “ท้องถนน”, วารสารโลกสีเขียว : หน้า22-23.
       [กลับไปที่บทความ]
       
       
       
       
       
       
       
       ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2546

       
       


       บทที่ 3
       รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540)
       กับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
       
                   
       รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2540) ได้บัญญัติเรื่องการเข้าร่วมกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไว้ในมาตรา 59 ซึ่งจากบทบัญญัติของมาตราดังกล่าวได้กำหนดให้ "กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ" แต่ในปัจจุบันยังมิได้มีการตรากฎหมายมารองรับบทบัญญัติดังกล่าว การจัดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนจึงยังคงต้องนำระเบียบส่วนนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 มาใช้เป็นแนวทางในการจัดทำประชาพิจารณ์ แต่อย่างไรก็ดี เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ได้มีการดำเนินการจัดทำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. ขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยในที่นี้จะขอนำเสนอสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
       
       3.1 แนวความคิดในการบัญญัติเรื่องการจัดทำประชาพิจารณ์ไว้ใน
       รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2540)
                   
       รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) นับได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ได้มีการบัญญัติเรื่อง "ประชาพิจารณ์" ไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยในขั้นตอนของการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนั้น เลขานุการคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้เสนอร่างของคณะกรรมาธิการในเรื่องประชาพิจารณ์ดังนี้67
       
       
                   
       "มาตรา 3/3/9 บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะได้รับคำชี้แจงข้อมูลและเหตุผลจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ก่อนการอนุญาต หรือการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจที่มีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม และสุขภาพอนามัยหรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับตนหรือชุมชนท้องถิ่น และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ"
       
                   
       คณะทำงานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชี้แจงว่า ร่างมาตรานี้เป็นเรื่อง "ประชาพิจารณ์" ซึ่งจะเป็นกรณีที่รัฐกำลังจะดำเนินการใด หรือจะอนุญาตให้บุคคลใดกระทำการใด และการนั้นอาจกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม ฯลฯ บุคคลที่จะถูกผลกระทบมีสิทธิได้รับการชี้แจงจากหน่วยงานของรัฐ และมีสิทธิเสนอความเห็น นอกจากนั้น ที่มีคำว่า "ส่วนได้เสียสำคัญอื่นใด" ก็เพื่อให้ขยายถึงกรณีอื่นนอกจากสิ่งแวดล้อม เช่น การที่จะมีการออกกฎกระทรวงกำหนดพิกัดศุลกากร shipping ก็น่าจะมีสิทธิแสดงความเห็นได้ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมาธิการเห็นชอบตามที่เลขานุการคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเสนอ และต่อมาการประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นชอบให้ย้ายคำว่า "คำชี้แจง" ไว้หลังคำว่า "ข้อมูล" และเพิ่มเติมคำว่า "หรือราชการส่วนท้องถิ่น" ดังนี้
       
                   
       "มาตรา 59 บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ก่อนการอนุญาตหรือการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับตนหรือชุมชนท้องถิ่น และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ตามกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่กฎหมายบัญญัติ"
       
                   
       จากที่กล่าวมาข้างต้น จึงเป็นที่มาของมาตรา 59 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2540)
       
       3.2 ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ….
                   
       ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. มีสาระสำคัญดังต่อไปนี้ คือ
                   
       3.2.1 ความเป็นมาในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ….
                   
        เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2540) ได้บัญญัติเรื่องประชาพิจารณ์ไว้ในมาตรา 59 ซึ่งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวได้กำหนดให้ "กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ" ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) มาตรา 59 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์) จึงได้ขอให้ทบวงมหาวิทยาลัยเป็นผู้ดำเนินการยกร่างกฎหมายว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งหลังจากที่ทบวงมหาวิทยาลัยได้ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. เรียบร้อยแล้ว รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย รัตตกุล) ได้มีคำสั่งให้นำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเสนอคณะกรรมการนโยบายและประสานงานการดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและประสานงานการดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2542 คณะกรรมการ ฯ ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2543 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. ตามที่ทบวงมหาวิทยาลัยเสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณา แล้วเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง68 ซึ่ง ในปัจจุบันร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. จึงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
                   
       3.2.2 เหตุที่ต้องมีการจัดทำประชาพิจารณ์
                   
       ร่างกฎหมายว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนกำหนดไว้ว่า
       การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกิดขึ้นได้ ในกรณีที่ ก่อนที่ หน่วยงานของรัฐ69 จะมีคำสั่งทาง
       ปกครองให้มีการดำเนินงานตามโครงการของรัฐ70 ในเรื่องใดที่มีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม
       สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิตหรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับประชาชนหรือชุมชนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐอาจจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์71 โครงการของรัฐนั้นก่อนได้ แต่ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐเห็นว่าโครงการของรัฐในเรื่องดังกล่าวไม่จำเป็นต้องจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ หน่วยงานของรัฐต้องประกาศรายละเอียดต่าง ๆ ของโครงการให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบ ซึ่งอย่างน้อยต้องระบุแนวนโยบายของรัฐ สภาพปัญหา ผลกระทบที่เล็งเห็น การเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น ก่อนที่หน่วยงานของรัฐจะมีคำสั่งทางปกครองไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน72
                   
       แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ก็ได้เปิดโอกาสให้ ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็น73 สามารถใช้สิทธิในการ เรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งการใช้สิทธิดังกล่าวสามารถกระทำได้ 2 วิธี คือ
                   
        3.2.2.1 ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งพันคนเข้าชื่อร้องขอต่อหน่วยงานของรัฐ ให้จัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ก่อนที่หน่วยงานของรัฐจะมีคำสั่งทางปกครองไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวัน หน่วยงานของรัฐต้องจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ในโครงการของรัฐนั้น74
                   
        3.2.2.2 ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อวินิจฉัย ก่อนที่หน่วยงานของรัฐจะมีคำสั่งทางปกครองไม่น้อยกว่าหกสิบวัน และเมื่อคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ได้วินิจฉัยแล้ว ให้แจ้งมติให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการเพื่อดำเนินการตามมติของคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ต่อไป มติของคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ให้เป็นที่สุด75
                   
       3.2.3 คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการรับฟังความคิดเห็นของ
       ประชาชน

                   
        ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด ชุดแรกคือ คณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และชุดที่สองคือ คณะกรรมการประชาพิจารณ์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
       
                   
        3.2.3.1 คณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของ
       ประชาชน

                   
        ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ กำหนดให้คณะกรรมการที่ปรึกษาฯประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี (ประธานกรรมการ) ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอื่นอีกไม่เกินเจ็ดคน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐหรือเอกชนและจากผู้ที่มิได้เป็นข้าราชการ สมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกหรือเจ้าหน้าที่หรือที่ปรึกษาของพรรคการเมือง ซึ่งในจำนวนนี้ต้องมาจากผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐหรือเอกชนไม่น้อยกว่าสามคน โดยมีเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการที่ปรึกษาฯ มีอำนาจและหน้าที่ดังต่อไปนี้ คือ 76
                   
        (ก) ดูแลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนให้เป็นไปโดยความ
       เรียบร้อย ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้
                   
        (ข) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการทำประชาพิจารณ์
                   
        (ค) ให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม
       พระราชบัญญัตินี้
                   
        (ง) วินิจฉัย หรือตอบข้อหารือเกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นของ
       ประชาชน
                   
        (จ) วินิจฉัยคำร้องขอให้มีการทำประชาพิจารณ์
                   
        (ฉ) วินิจฉัยข้ออุทธรณ์ ผลการตัดสินการทำประชาพิจารณ์
                   
        (ช) มีหนังสือเรียกให้เจ้าหน้าที่หรือบุคคลอื่นใด มาชี้แจงหรือแสดง
       ความคิดเห็นหรือให้ส่งวัตถุ เอกสาร หรือพยานหลักฐานมาเพื่อประกอบการพิจารณาได้
                   
        (ซ) จัดทำรายงานประจำปี สรุปผลการรับฟังความคิดเห็นของ
       ประชาชน เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี
                   
        (ฌ) เรื่องอื่น ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
       
                   
        3.2.3.2 คณะกรรมการประชาพิจารณ์77
                   
        เมื่อหน่วยงานของรัฐกำหนดให้มีการจัดทำประชาพิจารณ์โครงการของรัฐโครงการใดแล้ว หน่วยงานของรัฐจะต้องแต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์ในเรื่องนั้น ประกอบด้วย ประธานกรรมการคนหนึ่ง และกรรมการอีกไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบคน ซึ่งในจำนวนนี้อย่างน้อยสามคนต้องไม่เป็นบุคลากรของหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการนั้น คณะกรรมการประชาพิจารณ์นับว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการจัดทำประชาพิจารณ์ เนื่องจากมาตรา 15 ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ กำหนดให้คณะกรรมการประชาพิจารณ์มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนให้เป็นไปโดยความเรียบร้อยตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการที่ปรึกษาฯ กำหนด
       
                   
       3.2.4 ผู้มีสิทธิเข้าร่วมกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
                   
        ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
       พ.ศ. …. มาตรา 3 ได้ให้นิยามของ "ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็น" ไว้ว่า "ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็น หมายความว่า บุคคล กลุ่มบุคคล นิติบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานตามโครงการของรัฐ หรือผู้สนใจทั่วไป" ดังนั้น บุคคลข้างต้นจึงเป็นผู้มีสิทธิเข้าร่วมกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
       
                   
       3.2.5 กระบวนการจัดทำประชาพิจารณ์
                   
        เมื่อมีการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นโครงการใดของรัฐแล้ว คณะกรรมการประชาพิจารณ์จะเป็นผู้มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งในการจัดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน คณะกรรมการประชาพิจารณ์จะต้องดำเนินการดังต่อไปนี้ คือ
                   
        3.2.5.1 การจัดทำประชาพิจารณ์ต้องกระทำโดยเปิดเผย และอย่างน้อยต้องแจ้งรายละเอียดของโครงการ กำหนดสถานที่และเวลาในการจัดทำประชาพิจารณ์ให้ผู้มีสิทธิแสดงความเห็นหรือผู้แทนทราบไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อนถึงวันทำประชาพิจารณ์ โดยติดประกาศไว้ที่หน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการนั้น78
                   
        3.2.5.2 การดำเนินการในวันจัดทำประชาพิจารณ์ ให้ ผู้แทนหน่วยงานของรัฐแถลงข้อเท็จจริง และความเห็นเกี่ยวกับโครงการของรัฐก่อน แล้วจึงให้ ผู้ชำนาญการหรือที่ปรึกษา79แถลง ต่อจากนั้นจึงให้ ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นแถลง เมื่อเสร็จสิ้นแล้วคณะกรรมการประชาพิจารณ์จะกำหนดให้ฝ่ายใดแถลงชี้แจงหรือซักถามก่อนหลังก็ได้ รวมทั้งอาจเรียกให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย เสนอพยานบุคคล พยานวัตถุ พยานเอกสารเพิ่มเติมก็ได้ โดยให้คณะกรรมการการประชาพิจารณ์คำนึงถึงข้อโต้แย้งของทุกฝ่าย ตลอดจนผลกระทบในด้านต่างๆ และให้ดำเนินการด้วยความยืดหยุ่น สุจริตและเป็นธรรม เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลประกอบการตัดสินในของรัฐที่ชัดเจนและถูกต้องตามหลักวิชาการและสภาพความเป็นจริงมากที่สุด80
                   
        3.2.5.3 เมื่อคณะกรรมการประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายเสร็จแล้ว จะต้องจัดทำรายงานการประชาพิจารณ์ ซึ่งรายงานฉบับดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดดังนี้ คือ81
                   
        (ก) รายชื่อกรรมการประชาพิจารณ์ ผู้แทนหน่วยงานของรัฐ ผู้ชำนาญการ ที่ปรึกษา และผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นหรือผู้แทน
                   
        (ข) ข้อเท็จจริงโดยสรุปเกี่ยวกับวัน เวลา สถานที่ และการประชุม
                   
        (ค) ความเป็นมาและรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการของรัฐ
                   
        (ง) ข้อโต้แย้งของทุกฝ่าย
                   
        (จ) ข้อสรุปหรือผลที่ได้จากการทำประชาพิจารณ์ในด้านความ
       เหมาะสม ผลกระทบ ทางเลือกอื่น ถ้าหากมีและข้อสังเกตในการดำเนินงานตามโครงการของรัฐ โดยอ้างอิงจากสำนวนหลักฐานเท่านั้น
                   
        หลังจากคณะกรรมการประชาพิจารณ์ทำรายงานข้างต้นเสร็จสิ้นแล้ว ให้คณะกรรมการประชาพิจารณ์เสนอรายงานดังกล่าวต่อหน่วยงานของรัฐที่จัดให้มีการทำประชาพิจารณ์เพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินความเป็นไปได้ของโครงการนั้น
                   
        3.2.5.4 เมื่อหน่วยงานของรัฐได้พิจารณารายงานของคณะกรรมการประชาพิจารณ์แล้ว ให้ประกาศผลการตัดสินใจพร้อมด้วยเหตุผลเกี่ยวกับโครงการของรัฐให้ประชาชนทราบโดยเปิดเผยไว้ที่หน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการนั้น และส่งรายงานให้คณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ทราบด้วย
                   
        3.2.5.5 ในกรณีที่ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นไม่เห็นด้วยกับผลการตัดสินใจของหน่วยงานของรัฐ ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งพันคน อาจเข้าชื่อยื่นอุทธรณ์ผลการตัดสินของหน่วยงานของรัฐ ต่อคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ได้ ภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐประกาศผลการตัดสิน และให้คณะกรรมการที่ปรึกษาดำเนินการพิจารณาข้ออุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ในการนี้ อาจมีมติให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการนั้นชะลอการออกคำสั่งทางปกครองนั้นไว้ก่อนก็ได้ โดยให้ถือว่ามติของคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ เป็นที่สุด82
                   
       3.2.6 ผลของการจัดทำประชาพิจารณ์
                   
        ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
       พ.ศ. …. มาตรา 21 วรรคท้าย กำหนดว่า ผลที่ได้จากการทำประชาพิจารณ์ให้ใช้เป็นแนวทางหรือข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินงานตามโครงการของรัฐ แต่ทั้งนี้ไม่ว่ารัฐจะตัดสินใจดำเนินการตามผลที่ได้จากการจัดทำประชาพิจารณ์หรือไม่ก็ตาม ให้หน่วยงานของรัฐรับข้อสรุปและข้อเสนอแนะที่ได้จากการจัดทำประชาพิจารณ์ไปพิจารณาด้วย
       
                   
       จากการศึกษาข้างต้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นแนวทางในการจัดทำประชาพิจารณ์ ตลอดจนเห็นความแตกต่างของการจัดทำประชาพิจารณ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 กับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. โดยจะได้ทำการเปรียบเทียบระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 กับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. … ดังนี้
       
       
       เชิงอรรถ
       
                   
       67. มนตรี รูปสุวรรณ และคณะ, เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 , (กรุงเทพมหานคร : วิญญูชน, 2542), หน้า 141-142.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       68.หนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ นร.0204/3379 ลงวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2543.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       69.ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. มาตรา 3 ได้ให้นิยามไว้ว่า
                   
       "หน่วยงานของรัฐ หมายความว่า ส่วนราชการที่เป็นกระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเทียบเท่ากรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายและหมายความรวมถึงรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนองค์การอื่น ๆ ของรัฐ".
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       70. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. มาตรา 3 ได้ให้นิยามไว้ว่า
                   
       "โครงการของรัฐ หมายความว่า การดำเนินงานไม่ว่าในลักษณะใดๆ ตามนโยบายหรือโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือการบริหารราชการ หรือโครงการที่จะต้องได้รับสัมปทาน การอนุญาต อนุมัติ หรือความเห็นชอบจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น".
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       71. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. มาตรา 3 ได้ให้นิยามไว้ว่า
                   
       "ประชาพิจารณ์ หมายความว่า การที่หน่วยงานของรัฐจัดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการของรัฐก่อนการอนุญาต หรือการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับประชาชน หรือชุมชนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัตินี้".
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       72. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. มาตรา 10.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       73. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. มาตรา 3 ได้ให้นิยามไว้ว่า
                   
       "ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็น หมายความว่า บุคคล กลุ่มบุคคล นิติบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานตามโครงการของรัฐ หรือผู้สนใจทั่วไป".
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       74. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. มาตรา 11.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       75. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. มาตรา 12.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       76. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. มาตรา 6.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       77. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. มาตรา 14.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       78. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. … มาตรา 18.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       79. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ….             
       มาตรา 3 ได้ให้นิยามของคำว่า ผู้ชำนาญการและที่ปรึกษาไว้ว่า
                   
       "ผู้ชำนาญการ หมายความว่า ผู้ทรงคุณวุฒิในโครงการของรัฐ ไม่ว่าจะมีส่วนได้เสียหรือไม่ ตามที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นได้แต่งตั้งให้ชี้แจ้งข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน"
                   
       "ที่ปรึกษา หมายความว่า ผู้ทรงคุณวุฒิในโครงการของรัฐไม่ว่าจะมีส่วนได้เสียหรือไม่ ตามที่คณะกรรมการประชาพิจารณ์แต่งตั้งให้ชี้แจงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน".
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       80.ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. มาตรา 18.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       81. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. มาตรา 20 และมาตรา 21.
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       82. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. มาตรา 20 และมาตรา 23.
       [กลับไปที่บทความ]
       
       
       
       
       
       
       ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2546

       
       


       ตารางเปรียบเทียบระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 กับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟัง
       ความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ….

       
       ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์
       พ.ศ. 2539 ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ….
       
       
       
       1. หลักการเหตุผล
                   
       เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการรับฟังความคิดเห็นในปัญหาสำคัญของชาติ ที่มีข้อโต้เถียงหลายฝ่าย สำหรับเป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจของรัฐในการดำเนินงานอันมีผลกระทบต่อประชาชน
       1. หลักการเหตุผล
                   
       รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กำหนดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
       
       
       2. นิยาม
                   
       (1) โครงการของรัฐ หมายความว่า การดำเนินงานไม่ว่าในลักษณะใด ๆ ตามนโยบายหรือโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือการบริหารราชการในกิจการของรัฐ หรือโครงการที่จะต้องได้รับสัมปทาน การอนุญาต อนุมัติ หรือความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐ
                   
       (2) ผู้มีส่วนได้เสีย หมายความว่า บุคคล กลุ่มบุคคล นิติบุคคล ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบโดยตรงจากการดำเนินงานตามโครงการของรัฐ
       2. นิยาม
                   
       (1) โครงการของรัฐ หมายความว่า การดำเนินงานไม่ว่าในลักษณะใด ๆ ตามนโยบายหรือโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือการบริหารราชการ หรือโครงการที่จะต้องได้รับสัมปทาน การอนุญาต อนุมัติ หรือความเห็นชอบจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
                   
       (2) ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็น หมายความว่า บุคคล กลุ่มบุคคล นิติบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานตามโครงการของรัฐ หรือผู้สนใจทั่วไป
                   
       (3) ประชาพิจารณ์ หมายความว่า การที่หน่วยงานของรัฐจัดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการของรัฐก่อนการอนุญาต หรือการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับประชาชน หรือชุมชนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัตินี้
       
       
       3. องค์ประกอบ ที่มาของคณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยประชาพิจารณ์
                   
       คณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยประชาพิจารณ์ ประกอบด้วย
                   
       (1) ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
       ประธานกรรมการ
                   
       (2) ปลัดกระทรวงมหาดไทย
                   
       (3) เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
                   
       (4) เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการ
       เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
                   
       (5) เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
                   
       (6) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสี่คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยสองคน และผู้ที่ไม่เป็นข้าราชการ สมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกหรือเจ้าหน้าที่หรือที่ปรึกษาพรรคการเมืองสองคน
                   
       (7) รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร
       กรรมการและเลขานุการ
       
       3. องค์ประกอบ ที่มาของคณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
                   
       คณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ประกอบด้วย
                   
       (1) นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
                   
       (2) ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
                   
       (3) ปลัดกระทรวงมหาดไทย
                   
       (2) เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
                   
       (5) เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการ
       เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
                   
       (6) เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
                   
       (7) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินเจ็ดคน
       ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐหรือเอกชน (ไม่น้อยกว่าสามคน) และจากผู้ที่มิได้เป็นข้าราชการ สมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกหรือเจ้าหน้าที่หรือที่ปรึกษาของพรรคการเมือง
                   
       (8) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กรรมการและเลขานุการ
       
       
       4. อำนาจหน้าที่คณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยประชาพิจารณ์
                   
       (1) กำกับดูแลการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย
                   
       (2) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการทำประชา
       พิจารณ์
                   
       (3) วินิจฉัยหรือตอบข้อหารือตามที่กำหนดในระเบียบ
                   
       (4) จัดทำรายงานประจำปีสรุปผลการทำประชาพิจารณ์ตามที่ได้รับรายงานจากคณะกรรมการ
       
       
       4. อำนาจหน้าที่คณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
                   
       (1) ดูแลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนให้เป็นไปโดยความเรียบร้อย ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติ
                   
       (2) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
                   
       (3) ให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ
                   
       (4) วินิจฉัยหรือตอบข้อหารือเรื่องการรับฟังความเห็นของประชาชน
                   
       ประชาพิจารณ์ พร้อมข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะ เสนอคณะรัฐมนตรีปีละครั้ง
                   
       (5) วินิจฉัยคำร้องขอให้มีการทำประชาพิจารณ์
                   
       (6) วินิจฉัยข้ออุทธรณ์ ผลการตัดสินการประชาพิจารณ์
                   
       (7) มีหนังสือเรียกให้เจ้าหน้าที่หรือบุคคลอื่นใดมาชี้แจงหรือแสดงความคิดเห็น หรือให้ส่งวัตถุ เอกสาร หรือพยานหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณา
                   
       (8) จัดทำรายงานประจำปีสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี
                   
       (9) เรื่องอื่น ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
       
       5. การจัดทำประชาพิจารณ์
                   
       การจัดทำประชาพิจารณ์จะเกิดขึ้นได้จาก 3 กรณี คือ
                   
       (1) กรณีที่ผู้มีอำนาจซึ่งได้แก่ รัฐมนตรีสำหรับราชการส่วนกลาง ผู้ว่าราชการจังหวัดสำหรับราชการส่วนภูมิภาคหรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสำหรับราชการของกรุงเทพหานคร เห็นว่า การดำเนินงานตามโครงการของรัฐเรื่องใด ซึ่งหน่วยงานของรัฐในสังกัดจัดให้มีขึ้น อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม อาชีพ ความปลอดภัย วิถีชีวิต หรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชุมชนหรือสังคม และอาจนำไปสู่ข้อโต้เถียงหลายฝ่าย สมควรรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย หน่วยงานรัฐและบุคคลอื่นเพื่อเป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจของรัฐ ผู้มีอำนาจข้างต้นสั่งให้มีการทำประชาพิจารณ์ได้
                   
       (2) กรณีที่ผู้มีส่วนได้เสียเห็นว่า โครงการของรัฐเรื่องใดอาจมีผลกระทบเช่นเดียวกับ (1) ประสงค์จะให้มีการประชาพิจารณ์เกี่ยวกับโครงการ และมีหนังสือไปยังหน่วยงานของรัฐเพื่อสอบถามหรือขอคำชี้แจง หากหน่วยงานของรัฐมิได้ตอบหรือชี้แจงเป็นหนังสือภายใน 30 วัน หรือตอบชี้แจงแล้วแต่ผู้มีส่วนได้เสียยังไม่พอใจ ผู้มีส่วนได้เสียสามารถยื่นคำร้องเป็นหนังสือ
                   
       (3) กรณีที่หน่วยงานรัฐพิจารณาเห็นว่าการจัดประชาพิจารณ์จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานตามโครงการรัฐจึงเสนอความเห็นต่อผู้มีอำนาจ เมื่อผู้มีอำนาจเห็นสมควรอาจสั่งให้มีประชาพิจารณ์ก็ได้
                   
       การจัดประชาพิจารณ์อาจให้มีขึ้นในระหว่างขั้นตอนใดก็ได้ก่อนที่รัฐจะตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการ โดยต้องไม่กระทบกระเทือนต่อการที่หน่วยงานของรัฐจะดำเนินการอื่นไปพลางเท่าที่จำเป็น
       
       
       5. การจัดทำประชาพิจารณ์
                   
       การจัดทำประชาพิจารณ์จะเกิดขึ้นได้จาก 3 กรณี คือ
                   
       (1) กรณีที่หน่วยงานของรัฐเห็นว่าการดำเนินงานตามโครงการของรัฐเรื่องใดมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิตหรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับประชาชนหรือชุมชนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐอาจจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ในโครงการของรัฐนั้นได้ก่อนที่หน่วยงานของรัฐจะมีคำสั่งทางปกครองให้มีการดำเนินงานตามโครงการของรัฐในเรื่องนั้น ๆ แต่หากหน่วยงานของรัฐเห็นว่าโครงการใดไม่จำเป็นต้องจัดทำประชาพิจารณ์ หน่วยงานของรัฐต้องประกาศให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบโครงการของรัฐนั้น ซึ่งอย่างน้อยต้องระบุแนวนโยบายของรัฐ สภาพปัญหา ผลกระทบเล็งเห็น การเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น ก่อนที่หน่วยงานของรัฐจะมีคำสั่งทางปกครองไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน
                   
       (2) กรณีที่ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งพันคน เข้าชื่อร้องขอต่อหน่วยงานของรัฐ ก่อนที่หน่วยงานของรัฐจะมีคำสั่งทางปกครองไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวัน หน่วยงานของรัฐต้องจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ในโครงการของรัฐนั้นต่อผู้มีอำนาจข้างต้น เพื่อขอให้มีการทำประชาพิจารณ์ได้
                   
       เมื่อผู้มีอำนาจได้รับคำร้องอาจสั่งให้มีประชาพิจารณ์ก็ได้ ทั้งนี้คำสั่งที่ดังกล่าวถือเป็นที่สุด และให้แจ้งผู้มีส่วนได้เสียโดยเร็ว
                   
       (3) กรณีผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ เพื่อวินิจฉัยก่อนที่หน่วยงานของรัฐจะมีคำสั่งทางปกครองไม่น้อยกว่าหกสิบวัน เมื่อคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ แจ้งมติให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการดำเนินการตามมติของคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ มติของคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ เป็นที่สุด
                   
       อนึ่ง การดำเนินการข้างต้นไม่ใช้บังคับต่อกรณีที่ต้องเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือหากล่าช้าจะเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ
       
       
       6. คณะกรรมการประชาพิจารณ์
                   
       คณะกรรมการประชาพิจารณ์ประกอบด้วย ประธานกรรมการคนหนึ่ง และกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่าสามคน ประธานกรรมการและกรรมการต้องไม่มีส่วนได้เสียกับโครงการของรัฐในเรื่องนั้น กรรมการอย่างน้อยหนึ่งในสามให้ตั้งจากผู้ที่มิได้เป็นข้าราชการ สมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น
       
       
       6. คณะกรรมการประชาพิจารณ์
                   
       คณะกรรมการประชาพิจารณ์ประกอบด้วย ประธานกรรมการคนหนึ่ง และกรรมการอีกไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบคน ในจำนวนนี้อย่างน้อยสามคนต้องไม่เป็นบุคคลากรของหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการนั้น
       
       
       
       7. อำนาจหน้าที่คณะกรรมการประชาพิจารณ์

                   
       (1) กำหนดสถานที่ และเวลาในการทำประชาพิจารณ์
                   
       (2) ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ
                   
       (3) จัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ตามสถานที่
       และเวลาที่ได้กำหนดไว้
                   
       (4) ทำรายงานประชาพิจารณ์เสนอต่อผู้สั่งให้
       มีการประชาพิจารณ์
       
       
       7. อำนาจหน้าที่คณะกรรมการประชาพิจารณ์

                   
       (1) จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนให้เป็นไปโดยเรียบร้อย ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการที่ปรึกษาฯ กำหนด
                   
       (2) ทำรายงานการประชาพิจารณ์เสนอต่อหน่วยงานของรัฐที่จัดให้มีการประชาพิจารณ์
       
       
       8. การดำเนินการประชาพิจารณ์
                   
       (1) ต้องกระทำโดยเปิดเผย
                   
       (2) ประกาศให้ผู้มีส่วนได้เสีย ผู้แทนหน่วยงานของรัฐ ตลอดจนผู้ชำนาญการลงทะเบียนภายในเวลาที่กำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน ในกรณีจำเป็น ให้แต่งตั้งที่ปรึกษาได้
                   
       (3) นัดวันประชุมครั้งแรกโดยแจ้งบรรดาผู้ลงทะเบียนทราบ
                   
       (4) ในวันประชุมครั้งแรกให้กำหนดประเด็นประชาพิจารณ์และปิดประกาศประเด็นดังกล่าว พร้อมทั้งเวลาที่จะประชุมครั้งต่อ ๆ ไปให้ประชาชนทราบ
                   
       (5) ให้ผู้แทนหน่วยงานของรัฐแถลงข้อเท็จจริงและความเห็นเกี่ยวกับโครงการของรัฐก่อนแล้วจึงให้ผู้ชำนาญการหรือที่ปรึกษาแถลงต่อด้วยผู้มีส่วนได้เสีย เมื่อเสร็จสิ้นแล้วคณะกรรมการประชาพิจารณ์จะ
       กำหนดให้ฝ่ายใดแถลงชี้แจงหรือซักถามก่อนหลังก็ได้ และจะเปิดให้ผู้เข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นด้วยก็ได้
                   
       (6) หลักเกณฑ์และวิธีการรับฟัง การประชุมปรึกษา การลงมติ และการทำรายงานนอกเหนือจากที่กำหนดในระเบียบให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการที่ปรึกษากำหนด
       
       
       8. การดำเนินการประชาพิจารณ์
                   
       (1) ต้องกระทำโดยเปิดเผย
                   
       (2) แจ้งรายละเอียดของโครงการ กำหนดสถานที่และเวลาให้ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นหรือผู้แทนทราบไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อนถึงวันทำประชาพิจารณ์ โดยติดประกาศไว้ที่หน่วย
       งานของรัฐเจ้าของโครงการนั้น
                   
       (3) ขั้นตอนในการทำประชาพิจารณ์ ให้ผู้แทนหน่วยงานของรัฐแถลงข้อเท็จจริงและความเห็นเกี่ยวกับโครงการของรัฐก่อน แล้วจึงให้ผู้ชำนาญการหรือที่ปรึกษาแถลง ต่อจากนั้นจึงให้ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นแถลง เมื่อเสร็จสิ้นแล้วคณะกรรมการประชาพิจารณ์จะกำหนดให้ฝ่ายใดแถลงชี้แจงหรือซักถามก่อนหลังก็ได้ รวมทั้งอาจเรียกให้ฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสอง
       ฝ่ายเสนอพยานบุคคล พยานวัตถุ พยานเอกสารเพิ่มเติมก็ได้
       
       
       9. ผลการประชาพิจารณ์
                   
       ผลที่ได้จากการทำประชาพิจารณ์ย่อมใช้เป็นแนวทางหรือข้อมูลประกอบการตัดสินใจของรัฐ มิใช่การตัดสินเด็ดขาดที่จะต้องดำเนินการตามนั้น ฝ่ายเสนอพยานบุคคล พยานวัตถุ พยานเอกสารเพิ่มเติมก็ได้
       
       9. ผลการประชาพิจารณ์
                   
       ผลที่ได้จากการทำประชาพิจารณ์ ย่อมใช้เป็นแนวทางหรือข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินงานตามโครงการของรัฐ
                   
       ในกรณีเห็นสมควร ผู้สั่งทำการประชาพิจารณ์จะเปิดเผยรายงานของคณะกรรมการให้ประชาชนทราบก็ได้
                   
       ให้หน่วยงานของรัฐประกาศผลการตัดสินใจพร้อมด้วยเหตุผล โดยเปิดเผยไว้ที่หน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการ และส่งรายงานให้คณะกรรมการที่ปรึกษาทราบด้วย
                   
       
       10. การอุทธรณ์ผลการตัดสินของหน่วยงานของรัฐ
                   
       ผู้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งพันคนอาจเข้าชื่อยื่นอุทธรณ์ผลการตัดสินของหน่วยงานของรัฐต่อคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ภายในสิบห้าวัน นับแต่หน่วยงานของรัฐประกาศผลการ
       ตัดสินเพื่อให้คณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ดำเนินการ
        พิจารณาอุทธรณ์ให้เสร็จโดยเร็ว และอาจมีมติให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการชะลอการออกคำสั่งทางปกครองไว้ก่อน มติของคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ที่ออกมาให้เป็นที่สุด
                   
       
       11. บทเฉพาะกาล
                   
       ให้พระราชบัญญัติว่าด้วยการผังเมือง พ.ศ. 2518 ในส่วนที่เกี่ยวกับการเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียร้องขอให้แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินของผังเมือง ยังคงใช้บังคับต่อไปได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อพระราชบัญญัตินี้
       
       
       
       ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2546

       
       


       บทที่ 4
       แนวทางที่เหมาะสมสำหรับการรับฟังความคิดเห็น
       ของประชาชนในประเทศไทย
       
                   
       การศึกษาถึง การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในบทที่ 2 และบทที่ 3 ย่อมแสดงให้เห็นถึงปัญหา อุปสรรค และข้อบกพร่องของกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในประเทศไทยว่า ยังไม่อยู่ในระดับที่เทียบเท่าได้กับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในต่างประเทศ มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการไปได้อย่างดีเท่าที่ควร เช่น การขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน ทั้งฝ่ายหน่วยงานของรัฐที่พยายาม "หลีกเลี่ยง" ไม่ใช้กระบวนการประชาพิจารณ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 เนื่องจากเกรงว่าจะถูกคัดค้านจนไม่สามารถดำเนินการจัดให้มีหรือจัดทำ
       โครงการของตนได้ หรือแม้กระทั่งฝ่ายประชาชนที่ไม่ค่อยได้ให้ความสนใจในการเสนอความเห็นของตนเท่าที่ควร คงมีเพียง "บางกลุ่ม" เท่านั้น ที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการประชาพิจารณ์ เป็นต้น เหตุผลทั้งหลายเหล่านี้เป็นเหตุผลที่เกิดขึ้นจาก "การปฏิบัติ" ซึ่งคงไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับ "พฤติกรรม" ของมนุษย์ซึ่งอยู่นอกเหนือการบังคับของกฎหมาย
                   
       แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาสาระของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. …. แล้ว จะเห็นได้ว่า "หลักการ" และ "สาระสำคัญ" จะค่อนข้างคล้ายคลึงกัน จะมีแตกต่างกันในส่วนสำคัญอยู่บ้างในบางประเด็น
                   
       ข้อดี ที่ทำให้สาระสำคัญของร่างกฎหมายว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมีความแตกต่างจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 คือ
                   
       1. จุดเริ่มต้นของการจัดทำประชาพิจารณ์ ร่างกฎหมายกำหนดไว้ในร่างมาตรา 10 ให้หน่วยงานของรัฐอาจจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ในโครงการของรัฐ ก่อน ที่จะมีคำสั่งทางปกครองให้มีการดำเนินงานตามโครงการของรัฐ การกำหนดไว้ในลักษณะดังกล่าว ย่อมก่อให้เกิดผลดีต่อ "ภาพพจน์" ของการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพราะในอดีตที่ผ่านมานั้น ประชาพิจารณ์มักมีขึ้น หลัง จากที่หน่วยงานของรัฐได้ตัดสินใจหรือตกลงดำเนินโครงการนั้นไปแล้ว จึงค่อยนำมาประชาพิจารณ์ ซึ่งก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ ๆ ว่า การทำประชาพิจารณ์นั้นไม่ได้มีผลอะไรต่อโครงการเพราะทุกอย่างได้รับการอนุมัติและในบางครั้งก็เริ่มดำเนินการไปแล้ว การกำหนดให้หน่วยงานจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ก่อนมีคำสั่งทางปกครองจึงเป็นสิ่งที่ดีต่อ "ภาพพจน์" ของการทำประชาพิจารณ์และต่อ "ผล" ของการทำประชาพิจารณ์ด้วยที่หน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการสามารถนำผลของการทำประชาพิจารณ์ไปประกอบการตัดสินใจที่จะดำเนินการหรือไม่ดำเนินการในโครงการของตนได้
                   
       2. การให้สิทธิแก่ประชาชนที่จะร้องขอให้มีการจัดทำประชาพิจารณ์ แม้ร่างกฎหมายมาตรา 10 จะให้ "อิสระ" ต่อหน่วยงานของรัฐที่จะจัดหรือไม่จัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ แต่ร่างมาตรา 11 ก็ให้สิทธิแก่ประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 คน เข้าชื่อร้องขอต่อหน่วยงานของรัฐให้จัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ได้ ซึ่งในกรณีดังกล่าวหน่วยงานของรัฐต้อง "เคารพ" ความประสงค์ของประชาชนและต้องจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ในโครงการของรัฐนั้น
                   
       ข้อดีของร่างกฎหมายว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั้ง 2 ข้อที่กล่าวไปนั้น ถือเป็นการ "แก้ปัญหา" ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการที่หน่วยงานของรัฐบางแห่งพยายาม "เลี่ยง" การทำประชาพิจารณ์หรือการทำประชาพิจารณ์เมื่อโครงการเริ่มดำเนินการไปแล้ว ทำให้สถานะของการทำประชาพิจารณ์ที่ผ่านมาเป็นเพียง "รูปแบบ" ที่นำมาปฏิบัติแต่ไม่ก่อให้เกิดผลใด ๆ ในทางปฏิบัติ
                   
       ข้อเสีย ของร่างกฎหมายว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก็มีอยู่บ้างในหลาย ๆ ส่วน แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสีย 2 ประการดังต่อไปนี้เป็นสิ่งสำคัญที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
                   
       1. ความไม่อิสระของหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ร่างกฎหมายว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน กำหนดให้มีคณะกรรมการ 2 คณะ เช่นเดียวกับที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539
                   
       คณะกรรมการชุดแรก คือ คณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนนั้น ประกอบด้วยกรรมการไม่เกิน 14 คน โดยในจำนวนนี้เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ซึ่งเป็นข้าราชการการเมืองและข้าราชการระดับสูงเสีย 7 คน ส่วนกรรมการอีกไม่เกิน 7 คนนั้น เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของนายกรัฐมนตรี จริงอยู่ที่แม้ในร่างมาตรา 5 จะกำหนดถึง "คุณสมบัติ" ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไว้ แต่คุณสมบัติดังกล่าวก็ยังมีข้อกังขา เพราะการที่นายกรัฐมนตรีจะแต่งตั้งบุคคลที่ตนไม่รู้จักดูเป็นสิ่งที่ยาก เนื่องจากการแต่งตั้งผู้ได้เข้ามาทำงานย่อมต้อง "รู้ฝีมือ" และ "รู้ใจ" บุคคลดังกล่าวด้วย ดังนั้น องค์ประกอบของคณะกรรมการชุดแรกนี้จึงไม่มีความเป็นอิสระเท่าใด เพราะเมื่อร่างกฎหมายกำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการประจำนั่งเป็นประธานคณะกรรมการที่ประกอบด้วยข้าราชการประจำส่วนหนึ่ง จึงน่าจะเป็น "ตัวชี้วัด" ความเป็นอิสระของคณะกรรมการชุดแรกนี้ได้
                   
       ส่วนคณะกรรมการชุดที่สอง คือ คณะกรรมการพิจารณ์นั้น ร่างมาตรา 14 กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเป็นผู้แต่งตั้งมีจำนวนไม่เกิน 11 คน โดยกำหนดไว้ว่าในจำนวนดังกล่าวอย่างน้อย 3 คน ต้องไม่เป็นบุคลากรของหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการนั้น เนื่องจากคณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่สำคัญ คือ ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ดังนั้น ด้วยองค์ประกอบดังกล่าวรวมทั้งการไม่ระบุคุณสมบัติของกรรมการที่มาจากการแต่งตั้งโดยหน่วยงานเจ้าของโครงการ ย่อมทำให้ระดับ "ความน่าเชื่อถือ" ของคณะกรรมการลดลงไปอย่างมาก ทั้งนี้ เนื่องจากไม่มีหลักประกันว่า หน่วยงานเจ้าของโครงการจะแต่งตั้งบุคคลประเภทใดมาเป็นกรรมการประชาพิจารณ์
                   
       2. สภาพบังคับ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วในข้อดีของร่างกฎหมายว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนว่า แม้หน่วยงานของรัฐจะไม่เสนอจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ แต่ประชาชนก็สามารถเข้าชื่อกันร้องขอให้มีการทำประชาพิจารณ์ได้ ข้อดีดังกล่าวได้กลายมาเป็นข้อเสียด้วยเช่นกัน เพราะอาจทำให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการอาจ "เสี่ยง" ไม่จัดทำประชาพิจารณ์ในโครงการของตน และเลือกใช้วิธี "รอ" ว่าหากมีประชาชนร้องขอ จึงค่อยจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์ก็ได้ การ "เสี่ยง" ดังกล่าวจะทำให้กระบวนการต่าง ๆ ยุ่งยากมากขึ้น เพราะประชาชนจะไม่พอใจกับการที่หน่วยงานของรัฐไม่เสนอให้มีการจัดทำประชาพิจารณ์ และอาจส่งผลกระทบต่อการทำประชาพิจารณ์ที่จะเกิดขึ้นได้
                   
       เมื่อพิจารณาข้อดีและข้อเสีย "บางประการ" ของร่างกฎหมายว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนแล้ว จะเห็นว่า หากจะแก้ปัญหา "บางประการ" ของร่างกฎหมายดังกล่าว สมควรจะต้องปรับปรุงร่างกฎหมายในประเด็นดังต่อไปนี้ คือ
                   
       1. แก้ไขปรับปรุง องค์ประกอบและวิธีการได้มาซึ่งคณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และคณะกรรมการประชาพิจารณ์ให้มีความเป็นอิสระ ปลอดจากการเมือง และไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะให้นายกรัฐมนตรีมานั่งเป็นประธานกรรมการชุดนี้ เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่มีอิทธิพลต่อทั้งข้าราชการประจำและบุคคลทั่วไป
                   
       2. สมควรกำหนดประเภทของโครงการของรัฐที่ ต้อง นำมาให้ประชาชนให้ความเห็นด้วยวิธีประชาพิจารณ์ เช่น โครงการสร้างถนน สร้างเขื่อน สร้างโรงไฟฟ้า ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้หน่วยงานรัฐเจ้าของโครงการใช้วิธีอื่นที่ไม่สมควร การกำหนดประเภทของโครงการอาจกำหนดจากวัตถุประสงค์ของโครงการ เช่น เป็นสาธารณูปโภค หรืออาจกำหนดจากขนาดของโครงการ เช่น พิจารณาจากจำนวนเงินที่ใช้ในการดำเนินการ เป็นต้น
                   
       ข้อเสนอแนะ 2 ประการนี้ จะช่วยให้การจัดทำประชาพิจารณ์ตามร่างกฎหมายว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นไปอย่างโปร่งใสขึ้น
       
       
       
       ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2546

       
       


พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=562
เวลา 23 พฤศจิกายน 2567 01:30 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)