หน้าแรก บทความสาระ
ปฏิรูปการเมืองไทย ฤาจะไปไม่ถึงจุดหมาย ?
ศาสตราจารย์ ดร. อมร จันทรสมบูรณ์
28 ธันวาคม 2547 11:39 น.
 
หน้าที่แล้ว
1 | 2 | 3 | 4

       

       

       เอกสารประกอบการอภิปราย

       รำลึก 1 ปี ผศ.ดร.พนม เอี่ยมประยูร

       
       "ปฏิรูปการเมืองไทย ฤาจะไปไม่ถึงจุดหมาย?"


       


       
       
เราจะปฏิรูปการเมือง II ได้อย่างไร


                   
        ต่อไปนี้เป็น "บทสุดท้าย" ของบทความขนาดยาว 70 หน้า เศษของ ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ที่เขียนขึ้นมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2539 ในเอกสารเรื่อง "การปฏิรูปการเมือง จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ?" จัดพิมพ์โดย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย และสมาคมนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2540)

                   
        กุมภาพันธ์ 2546
       



       
       บทสุดท้าย

                   
       ผู้เขียนคงต้องขอเรียนเป็นข้อสรุปว่า ตามความเห็นของผู้เขียน โครงสร้างและกลไกใน รัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2539 นี้ ไม่สามารถทำการปฏิรูปการเมืองได้ ทั้งนี้ ด้วย "เหตุผลหลัก" อย่างง่ายๆ ตามหลักกฎหมายมหาชนที่ได้เรียนให้ทราบมาตั้งแต่ต้นว่า ตราบใดที่การปฏิรูปการเมืองยังอยู่ในอำนาจของผู้ที่จะต้องเสียประโยชน์จากการปฏิรูปการเมืองแล้ว การปฏิรูปการเมืองย่อมเกิดขึ้นไม่ได้

                   
       ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏจากบทบัญญัติต่างๆที่เป็นโครงสร้างของรัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2539 นี้เอง เป็นการยืนยันในเหตุผลดังกล่าวข้างต้นได้

                   
       ลองพิจารณาดูว่า สมาชิกรัฐสภาของเรานี้เอง ที่เป็นผู้เขียนรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับที่ 6) จัดตั้งองค์กรและวิธีการเพื่อการปฏิรูปการเมือง และผลที่ปรากฏออกมา ก็คือ อำนาจทั้งหมดที่เกี่ยวกับการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังคงอยู่ที่สมาชิกรัฐสภา (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา) ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจเลือกตัวบุคคลที่จะเป็นสมาชิก "สภาร่างรัฐธรรมนูญ" อำนาจให้ความเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อำนาจในการตรากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ - organic law หรือแม้แต่อำนาจในการนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปให้ออกเสียงประชามติ ก็ยังขึ้นอยู่กับจำนวนคะแนนเสียงของกลุ่มนักการเมืองเอง (แทนที่จะเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์) และในประการสุดท้ายของการเขียนบทบัญญัติสงวนอำนาจไว้กับตนเอง ก็คือ การเขียนบทบัญญัติจำกัดมิให้มีการแก้ไข รัฐธรรมนูญเพื่อขอพระราชทาน "ผู้นำในการปฏิรูปการเมือง" จากพระมหากษัตริย์ (โดยมีนายกรัฐมนตรีรับสนองพระบรมราชโองการ) พร้อมทั้งดึงอำนาจการตีความเรื่องนี้ไว้ที่ตนเอง แทนที่จะให้เป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรที่เป็นกลาง เช่น ตุลาการรัฐธรรมนูญ (ศาลรัฐธรรมนูญ) เป็นผู้ตีความ

                   
       [หมายเหตุ : - ทั้งนี้ โดยยังไม่คำนึงถึงการที่สมาชิกรัฐสภาของเรากำหนดให้ "สภาร่าง รัฐธรรมนูญ" มีจำนวนสมาชิกถึง 99 คน ประกอบด้วยบุคคลหลายประเภทรวมกันอยู่ในองค์กรเดียวกัน แต่ละคน นานาความคิด นานาการศึกษา นานาอาชีพ และนานาผลประโยชน์ ซึ่งไม่ว่าเจตนาของสมาชิกรัฐสภาผู้ร่างรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับที่ 6) จะมีประการใดก็ตาม แต่ผู้เขียนเห็นว่า องค์กรในลักษณะนี้ไม่อยู่ในสภาพที่จะเขียนกฎหมายที่ดีได้ แม้ว่ากฎหมายนั้นจะมิใช่รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดสำหรับประเทศ (ที่มีพลเมืองครบ 60 ล้านคนเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน) ก็ตาม]

                   
       ท่านเชื่อว่า สมาชิกรัฐสภา ชนชั้นนำที่ดีที่สุดของประเทศจำนวน 650 คนเศษ ที่เขียน รัฐธรรมนูญ (ฉบับที่ 6) นี้ขึ้น พร้อมที่จะเสียสละ (ประโยชน์ส่วนตัว) และทำการปฏิรูปการเมืองให้คนไทย หรือไม่ (?)

                   
       บทความนี้ เป็นบทความส่วนตัวของผู้เขียน เขียนขึ้นโดยความประสงค์ให้เป็นตัวอย่างของการวิเคราะห์ร่างกฎหมายตามหลักวิชาการของกฎหมายมหาชน ซึ่งเป็นกระบวนการร่างกฎหมายตามปกติของประเทศที่พัฒนาแล้ว

                   
       ผู้เขียนคิดว่า สังคมไทยอาจจะต้องรู้ถึงความสำคัญของการวิเคราะห์ร่างกฎหมาย (และร่างรัฐธรรมนูญ) ตามหลักกฎหมายมหาชน เพราะการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลางที่ทำเป็นลายลักษณ์อักษรในกระบวนการร่างกฎหมายของรัฐ จะทำให้สังคมไทยสามารถ "รู้จัก" ชนชั้นนำ (นักการเมืองและนักวิชาการ) ของเราได้ดีขึ้น

                   
       กฎหมายที่ดีมิใช่เกิดขึ้นด้วยการ มี "คณะกรรมการนานาอาชีพ" หรือมี "สภาร่างรัฐธรรมนูญ" ที่สมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ให้มาทำหน้าที่ยกร่าง (เพื่อความเป็นประชาธิปไตย) และมายุติลงด้วย การอภิปรายของนักการเมืองในรัฐสภา และรวมกลุ่มกันลงมติด้วยการยกมือ และกฎหมายที่ดีก็มิได้เกิดจากการที่นักการเมืองและนักวิชาการให้สัมภาษณ์ทางสื่อมวลชน การพูดออกรายการทางโทรทัศน์หรือรายการวิทยุกระจายเสียง หรือแม้แต่การอภิปรายในการสัมมนาทางวิชาการที่จัดขึ้น

                   
       ตราบใดที่ประเทศไทย ไม่สามารถมีกระบวนการ (process) ในการเขียนกฎหมาย (ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัติธรรมดาก็ตาม) ที่ทำให้สังคมไทยตรวจสอบความจริงใจของนักการเมือง (ผู้กุมอำนาจรัฐ) ได้ การเลือกตั้งเพื่อความเป็นประชาธิปไตย ก็ดูประหนึ่งว่า ชนชั้นนำของไทย (จำนวนหนึ่ง) ได้อาศัยความไม่รู้ของสังคมไทยในสภาพปัจจุบัน (ทั้งสภาพทางสังคมวิทยาการเมืองของชุมชนและสภาพพิการของระบบบริหาร) แสวงหาประโยชน์จากเงินงบประมาณแผ่นดินและทรัพยากรของชาติ และเขียนกฎหมายกำหนดกลไกของรัฐเพื่อผูกขาดอำนาจของรัฐไว้กับกลุ่มของตนเอง

                   
       สิ่งที่เราพูดกันอยู่ทุกๆวันเกี่ยวกับการปฏิรูปการเมือง เช่น เร่งรัดให้พรรคการเมืองกำหนดเป็นนโยบายและบอกให้ชัดเจนว่าจะทำการปฏิรูปการเมืองอย่างไรสิ่งเหล่านี้ อาจเป็นสิ่งไม่มีคุณค่าและไม่เกิดประโยชน์ ในการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด เพราะมาตรการและกลไกในการปฏิรูปการเมืองนั้นมีหลากหลายและมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งต้องการความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่จะต้องเขียนวิเคราะห์ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรให้สังคมไทยได้ตรวจสอบ
       

                   
       ตัวอย่างเช่น หลายท่านบอกว่า ขอให้เขียนรัฐธรรมนูญแยกฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้ที่เป็นรัฐมนตรีแล้วจะเป็น ส.ส. ในขณะเดียวกันไม่ได้ ขอให้ท่านผู้อ่านลองหยุดคิดดู โดยตั้งปัญหาถามตัวเองว่า การแยกตัวบุคคล (ในการดำรงตำแหน่ง) เช่นนี้ จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ได้หรือไม่ ปัจจุบันนี้เรายังใช้ระบบรัฐสภาและยังมีระบบพรรคการเมืองที่บังคับให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรค ดังนั้น แม้ว่าหัวหน้าพรรคหรือหัวหน้ากลุ่ม (มุ้ง) จะดำรงตำแหน่งเพียงตำแหน่งเดียว คือเป็นรัฐมนตรีโดยไม่เป็น ส.ส. แต่หัวหน้าพรรคหรือหัวหน้ากลุ่ม (มุ้ง) ก็ยังมีสายสัมพันธ์กับลูกพรรคซึ่งอยู่ในองค์กรเดียวกัน (พรรคการเมือง) และยังต้องพึ่งพาอาศัยกันระหว่างการเป็นรัฐบาลกับการสนับสนุนด้วยเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอยู่นั่นเอง ดังนั้น การห้ามไม่ให้รัฐมนตรีเป็น ส.ส. ในขณะเดียวกันจึงมิได้แก้ปัญหาแต่อย่างใด

                   
       ตัวอย่างเช่น บางท่านอาจบอกว่า ขอให้เขียนรัฐธรรมนูญให้มีการเลือกตั้งผู้บริหารเป็นคณะ ขอให้ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่า ปัญหาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็เพราะเรามีผู้บริหารเป็นคณะอยู่แล้วตามความเป็นจริง (de facto) ใช่หรือไม่ การมีรัฐมนตรีตามโควต้า (ของจำนวน ส.ส. ในสังกัด) นั้น แสดงว่าประเทศไทยเรามีผู้บริหารเป็นคณะอยู่แล้ว นายกรัฐมนตรีจะให้รัฐมนตรีคนใดพ้นจากตำแหน่งก็จะต้องทบทวนอย่างรอบคอบ คิดแล้วคิดอีก เพราะจะทำให้คณะรัฐบาลขาดเสียงสนับสนุนจากกลุ่ม (มุ้ง) ของบุคคลดังกล่าวในสภาผู้แทนราษฎร สมมุติว่าถ้ารัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการเลือกฝ่ายบริหารเป็นคณะ บุคคลเหล่านี้ก็จะรวมตัวกันเลือกตั้งเพื่อผลในการเข้ามาเป็น "คณะรัฐบาล" และเมื่อได้เข้ามาเป็นคณะรัฐบาลแล้ว ต่างคนต่างก็อ้าง mandate ของตนที่มาจากการเลือกตั้ง และไม่สามารถให้ออกจากตำแหน่งได้ ท่านคิดว่า อะไรจะเกิดขึ้น [หมายเหตุ : - เหตุผลเช่นนี้ ใช้ได้เช่นเดียวกันสำหรับท่านผู้เสนอให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี เพราะการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีเป็นการเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งในทางปฏิบัติจะต้องมีการรวมตัวกันเพื่อหาเสียง ดังนั้น ในทางความเป็นจริง (ที่ไม่ปรากฏใบเสร็จ) ผู้ที่สมัครรับเลือกตั้งเป็น "นายกรัฐมนตรี" ย่อมจะมีข้อผูกพันเกี่ยวกับตำแหน่งรัฐมนตรีของตนในอนาคตอยู่ด้วยแล้ว ใช่หรือไม่ ฯลฯ ]

                   
       ตัวอย่างเช่น บางท่านกล่าวว่า ขอให้นำวิธี recall มาใช้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือให้ประชาชนจำนวนหนึ่งมีสิทธิเข้าชื่อปลด ส.ส. ได้ ถ้า ส.ส. ทำไม่ดี ขอให้ท่านผู้อ่านลองคิดว่า ขณะนี้มีการซื้อสิทธิขายเสียงเพื่อให้ได้รับเลือกตั้ง ต่อไปถ้ามีวิธี recall จะมีการซื้อสิทธิขายเสียงเพื่อให้ปลดจากตำแหน่ง ได้หรือไม่

                   
       การปฏิรูปการเมือง จึงเป็นเรื่องของการจัดองค์กรและระบบกฎหมายที่ซับซ้อน และต้องมองปัญหาจากหลายด้าน ทั้งทางสภาพสังคมวิทยาการเมืองของชุมชน และระบบและกลไกกฎหมายของประเทศโดยรวม ด้วยเหตุนี้ การจะปฏิรูปการเมืองให้สำเร็จ จึงต้องการการจัด "องค์กรเพื่อการปฏิรูปการเมือง" (มาตรา 211) ที่ดี ซึ่งจะต้องมีทั้งความเชี่ยวชาญ และมีทั้งความเป็นผู้นำของผู้นำที่เสียสละและมี vision ซึ่งคงจะมิใช่ "องค์กรปฏิรูปการเมือง" ที่อยู่ภายใต้นักการเมือง ซึ่งเป็นผู้ที่จะต้องเสียประโยชน์จากการปฏิรูปการเมือง

                   
       สุดท้ายนี้ ผู้เขียนมีความเชื่อว่า การปฏิรูปการเมืองจะเกิดได้จาก "ผู้แทนปวงชนชาวไทย" ตามความเป็นจริง (reality) ที่อยู่ในความรู้สึกของคนไทยทุกคน มิใช่เกิดจากนักการเมืองที่กำลังโฆษณาหาเสียงเพื่อการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะซื้อเสียงหรือไม่ซื้อเสียง และเป็น "ผู้แทนปวงชนชาวไทย" เพียงตามถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

                   
       เมื่อใดที่เรา (คนไทย) เริ่มรู้ว่า รัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2539 ไม่สามารถปฏิรูปการเมืองไทยได้ ก็ขอให้ระลึกว่า ร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 211 ของคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.) ยังคงอยู่ และถ้ารัฐสภาชุดต่อไปเห็นสมควรที่จะถวายพระราชอำนาจเพื่อให้ทรงพระราชทานผู้นำเพื่อการปฏิรูปการเมืองแล้ว คนไทยเราก็อาจมีรัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 7) …. (?) และเริ่มปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริงเสียที ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่า รัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2539 จะมีบทบัญญัติไว้อย่างไร จะมีมาตรา 211 เตรส วรรคสี่และวรรคห้า หรือไม่ เพราะรัฐสภาแต่ละชุดย่อมเป็นรัฎฐาธิปัตย์และมีความเป็นอิสระของตนเอง ดังคำกล่าวที่ว่า Parliament is not bound by its predecessors


                   
        พฤศจิกายน 2539


                   
       ป.ล. ในการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่จะมาถึงนี้ เมื่อผู้เขียนนึกย้อนเหตุการณ์ไป 2 -3 รัฐบาล นึกถึงการกระทำและคำพูดของนักการเมืองแต่ละคน เปรียบเทียบกับคำโฆษณาและคำขวัญขายความดี (ที่จะทำ) ของตนเอง พร้อมทั้งให้สัญญาผูกพันกับกลุ่มผลประโยชน์ (ประชาชนบางกลุ่ม) ซึ่งอาจไม่ตรงกับประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม (public) ผู้เขียน (ในฐานะประชาชนหนึ่งคน) รู้สึกเบื่อการเลือกตั้ง เพราะไม่ทราบจะเลือกพรรคใด ดังนั้น ในวันที่ 17 พฤศจิกายนนี้ ผู้เขียนคงจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งและคงกาบัตรเลือกตั้งว่า ไม่ขอใช้สิทธิเลือกตั้ง (!)
       
       


       



       
       ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2546


       




       เอกสารประกอบการอภิปราย

       รำลึก 1 ปี ผศ.ดร.พนม เอี่ยมประยูร

       
       "ปฏิรูปการเมืองไทย ฤาจะไปไม่ถึงจุดหมาย?"


       


       
       

การปฏิรูปการเมือง II

       โครงสร้างของ "องค์กรเพื่อยกร่าง ร.ธ.น.ทั้งฉบับ"
       


                   
       (1) คนไทยต้องแสวงหา "statesman" ให้พบ ถ้าหาไม่พบ ก็อย่าเพิ่งคิดปฏิรูปการเมืองเพราะนักวิชาการไม่สามารถทำอะไรได้ ทะเลาะกันเองบ้าง แสวงหาประโยชน์ส่วนตัวบ้าง ฯลฯ


                   
       (2) แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 313 ของ ร.ธ.น.ปัจจุบัน (เป็นหมวดใหม่) ทำนองเดียวกันการแก้ไขฯ มาตรา 211 ของ ร.ธ.น.พ.ศ.2534 เพื่อให้มี "องค์กรเพื่อยกร่าง ร.ธ.น."


                   
       (3) จัดตั้ง "องค์กรเพื่อยกร่าง ร.ธ.น.ใหม่ทั้งฉบับ" โดยให้องค์กรดังกล่าว มีโครงสร้างที่เหมาะสมกับสภาพสังคมวิทยาการเมืองของสังคมไทย (คือ เหมาะสมกับพฤติกรรมของชุมชน พฤติกรรมของนักการเมือง และพฤติกรรมของ elite ที่มิใช่นักการเมือง)
       

                   
       การออกแบบ(design)"โครงสร้าง" ขององค์กรเพื่อยกร่าง ร.ธ.น.ทั้งฉบับ ที่เคยประสพความสำเร็จมาแล้วในประเทศที่มีปัญหา(พฤติกรรมของนักการเมือง)เหมือนกับประเทศไทย จะอยู่ใน "แนวทาง"ดังนี้

                   
       (1) เสนอทางเลือกและยกร่างโดย "คณะกรรมการทางวิชาการ"

                   
       (2) ตรวจสอบแนวความคิดโดย "statesman" หรือโดย "องค์กรตัวแทน statesman" ที่เหมาะสมกับสถานภาพทางกฎหมายของ statesman

                   
       (3) นำร่าง ร.ธ.น.เสนอต่อรัฐสภา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นและเสนอข้อแก้ไขเพิ่มเติม

                   
       (4) ปรับร่าง ร.ธ.น.โดยคณะกรรมการทางวิชาการภายใต้การกำกับของ statesman หรือองค์กรตัวแทนของ statesman

                   
       (5) เสนอร่าง ร.ธ.น. ต่อประชาชนทั้งประเทศเพื่อออกเสียง referendum

       (6)             
       ทั้งนี้ โดยตลอดกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้นจนเสร็จสิ้น จะต้องมีการรับฟังข้อคิดเห็นจากประชาชนทั่วไป และจะต้องมีการชี้แจงและอธิบายเหตุผลในเชิงตรรกทางวิชาการให้ประชาชนและผู้ที่สนใจทราบในทุกประเด็นและทุกมาตรการที่สำคัญในการยกร่าง ร.ธ.น.
       


                   
        "องค์กรเพื่อยกร่าง ร.ธ.น." ในลักษณะนี้ จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพื้นฐานทางวิชาการ/อัจฉริยะของ statesman/และประชาชนทั้งประเทศ(ที่มิใช่กลุ่มผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม)


                   
        18 กุมภาพันธ์ 2546
       
       


       
       



       
       ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2546


       



หน้าที่แล้ว
1 | 2 | 3 | 4

 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสมาคมศาลปกครองสูงสุดระหว่างประเทศ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544