|
 |
ปฏิรูปการเมืองไทย ฤาจะไปไม่ถึงจุดหมาย ? 28 ธันวาคม 2547 11:39 น.
|
คำอธิบายประกอบการศึกษาเอกสาร
เรื่อง "ปฏิรูปการเมืองไทย ฤาจะไปไม่ถึงจุดหมาย?"
เอกสารชุดนี้ เป็นเอกสารประกอบการอภิปรายเรื่อง "ปฏิรูปการเมืองไทย ฤาจะไปไม่ถึงจุดหมาย ?" โดยศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ การบรรยายหัวข้อดังกล่าวจัดขึ้นโดยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2546 ณ ห้องประชุมจิตติ ติงศภัทิย์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี ของการจากไปของ ผศ. ดร.พนม เอี่ยมประยูร
การอภิปรายดังกล่าวมีหนังสือพิมพ์หลายฉบับให้ความสนใจและ "ตัดตอน" คำอภิปรายไปลงเผยแพร่กันหลายฉบับซึ่งส่วนใหญ่ก็ให้ความสนใจและเห็นด้วยกับความเห็นของท่านอาจารย์อมรฯ pub-law.net เห็นว่า เพื่อให้การเผยแพร่ "ความรู้" และเพื่อเป็นการส่งเสริม "ความคิด" ในเรื่องการปฏิรูปการเมืองด้วย "กระบวนการและวิธีการ" จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ตามแนวความคิดของท่านอาจารย์อมรฯ แพร่ขยายออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ pub-law.net จึงขออนุญาตท่านอาจารย์อมรฯ นำเอกสารประกอบการอภิปรายที่ได้แจกในวันอภิปรายมาเผยแพร่ใน pub-law.net ครับ
ก่อนอื่นต้องขอชี้แจงก่อนว่า เอกสารทั้งหมดมิใช่ "เป็นคำบรรยาย" หรือเป็น "บทความ" ที่จะสามารถอ่าน "ผ่านตา" และเข้าใจได้ในเวลาอันสั้น แต่เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสาร "ประกอบ" คำบรรยายที่ผู้บรรยายทำขึ้นเพื่อให้ผู้ฟังได้ "คิดตาม" สิ่งที่ผู้บรรยายชี้ช่องทางไว้ การ "คิดตาม" จะเป็นอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับ "มุมมอง" "มาตรฐานทางความคิด" และ "มาตรฐานทางวิชาการ" ของแต่ละคนครับ
สองประเด็นสำคัญที่ท่านอาจารย์อมรฯ พยายามชี้ให้เห็นถึง "ข้อบกพร่อง" ของระบบการเมืองตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันคือการบังคับให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคการเมืองกับวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีที่สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งใหม่ได้อีก สองประเด็นดังกล่าวก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกกันว่า "เผด็จการทางรัฐสภา" เพราะเมื่อใดก็ตามที่นายกรัฐมนตรีสามารถคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ นายกรัฐมนตรีก็สามารถดำเนิน "กิจกรรม" ต่างๆได้อย่างเสรีโดยมิต้องพะวงถึงกระบวนการตรวจสอบใดๆทั้งสิ้น กฎหมายและมาตรการต่างๆที่เกิดขึ้นมาจึงอาจมีผลให้เป็นการสร้าง "คะแนนนิยม" ในตัวนายกรัฐมนตรีได้อย่างง่ายดายซึ่งก็ส่งผลทำให้นายก รัฐมนตรีสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งได้ต่อไปอย่างไม่รู้จบ
เอกสารทั้งหมดมีอยู่ 3 ชุด ในเอกสารหมายเลข 1 นั้น มีเอกสาร 3 เรื่องคือ เอกสารแนบ 1 ถึงเอกสารแนบ 3
ในเอกสารแนบ 1 นั้น ท่านอาจารย์อมรฯ ได้นำเสนอตัวบทบางมาตราของรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ ฉบับปี ค.ศ. 1948 (พ.ศ. 2491) ซึ่งใช้บังคับมาจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีบทบัญญัติให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและประธานาธิบดีซึ่งเป็นประมุขของฝ่ายบริหารต้องสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญของไทยฉบับปี พ.ศ. 2517 ที่เขียนขึ้นในช่วงเดียวกับที่รัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ฉบับปี ค.ศ. 1948 ใช้บังคับ ก็ได้มีบทบัญญัติให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคการเมืองเช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ จริงอยู่ที่แม้การบังคับให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคการเมืองเป็นสิ่งที่มีอยู่เฉพาะในประเทศที่มีการ ปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ก็ตาม แต่ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวภายหลังจากที่รัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ได้สร้างบทบัญญัติดังกล่าวขึ้นมา รัฐธรรมนูญไทยฉบับปี พ.ศ. 2517 ก็ได้นำเอากระบวนการดังกล่าวมาใช้ด้วยเช่นกัน
ในเอกสารแนบ 1 หน้าถัดมาคือหน้า 1/2 ท่านอาจารย์อมรฯ ได้นำเสนอตัวบทบางมาตราของรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ฉบับต่อมาคือฉบับปี ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) อันเป็นฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบัน บทบัญญัติหลายๆอย่างในรัฐธรรมนูญฉบับนี้แตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับแรกเพราะระยะเวลา 40 ปีที่ใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกได้ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางประการที่สร้างปัญหาให้กับประเทศและระบบการเมืองอย่างมาก รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จึงแก้ไขปัญหาทางการเมืองหลายๆประการที่เกิดขึ้นและได้ "ยกเลิก" การบังคับให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคการเมืองพร้อมทั้งกำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างสุจริตใจ (conscience) ซึ่งก็หมายความถึงการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้ ความเห็นของตน โดยบริสุทธิ์ใจเป็นหลัก มิใช่ให้มติพรรคมาควบคุมการตัดสินใจของตนเอง และนอกจากนี้แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ฉบับใหม่ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ มีการนำเอาระบบ semi - presidential system แบบประเทศฝรั่งเศสมาใช้ แต่ปรับปรุงให้ "ไกล" กว่าระบบของฝรั่งเศส คือ กำหนดให้ประธานาธิบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งที่ยาวคือ 5 ปี แต่สามารถดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว การกำหนดให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียวทำให้ประธานาธิบดีสามารถดำเนินการต่างๆได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงการที่จะกลับมาดำรงตำแหน่งใหม่ได้อีก ซึ่งก็จะส่งผลทำให้การทำงานของประธานาธิบดีเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาติมากกว่าเพื่อรักษาคะแนนนิยมของตนเอาไว้ ประเด็นเรื่องการดำรงตำแหน่งได้วาระเดียวของประธานาธิบดีนี้เป็นประเด็นที่นักวิชาการฝรั่งเศสได้พยายามเสนอเมื่อครั้งที่มีการลดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจาก 7 ปีลงมาเหลือ 5 ปีด้วย แต่แนวความคิดดังกล่าวก็ไม่ได้รับการขานรับในรับประเทศฝรั่งเศสเท่าที่ควร
ในเอกสารแนบ 2 หน้า 2/1 ท่านอาจารย์อมรฯ ได้ชี้ให้เห็นถึง "แนวความคิด" ทางวิชาการของนักวิชาการไทยที่มิได้ "มอง" ไปข้างหน้า หรือ "ศึกษา" จากประสบการณ์ของประเทศต่างๆ เพราะรัฐธรรมนูญไทยฉบับต่อๆมาจากฉบับปี พ.ศ. 2517 ยังคงยึดติดอยู่กับการบังคับให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคการเมือง รวมไปถึงในเวลาต่อมาก็ได้เพิ่มบทบัญญัติใน รัฐธรรมนูญบังคับให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย โดยในเอกสารแนบ 2 นี้เอง ท่านอาจารย์อมรฯ ได้นำเสนอตัวบทรัฐธรรมนูญไทยที่เกี่ยวกับสถานภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ที่ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกๆนั้นได้กำหนดให้ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นของตนโดยบริสุทธิ์ใจ แต่ในช่วงหลังๆภายหลังที่มีการบังคับให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคแล้ว รัฐธรรมนูญก็ได้กำหนดให้ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งท่านอาจารย์อมรฯ เห็นว่าขาดองค์ประกอบที่สำคัญคือความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นของตนไปด้วยเหตุแห่งการบังคับให้สังกัดพรรคการเมืองนั่นเอง
เอกสารหมายเลข 2 คือ เราจะปฏิรูปการเมือง II ได้อย่างไร นั้น เป็นเอกสารที่นำมาจากส่วนท้ายของเอกสารเรื่อง "การปฏิรูปการเมือง จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่" ที่จัดพิมพ์โดยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2540 เอกสารนี้เป็นการนำเสนอ "รูปแบบ" ที่ควรจะเป็นสำหรับการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 ที่จะต้องมีขึ้นในวันข้างหน้า เพื่อให้การปฏิรูปการเมืองสำเร็จลงอย่างสมบูรณ์และเกิดผลดี ซึ่งท่านอาจารย์อมรฯ ก็ได้นำมาสรุปเอาไว้ในเอกสารหมายเลข 3 คือ โครงสร้างของ "องค์กรเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ" ว่าการปฏิรูปการเมืองที่ดีและสมบูรณ์ในประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้จากผู้ที่เป็น "รัฐบุรุษ" (statesman) เท่านั้น ส่วนผู้ใดจะเป็น statesman ก็เป็นหน้าที่ของคนไทยและนักวิชาการทั้งหลายที่จะต้อง "คิดให้ออก" ต่อไปครับว่าควรจะเป็นผู้ใด
รศ. ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์
ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2546
|
เอกสารประกอบการอภิปราย
รำลึก 1 ปี ผศ.ดร.พนม เอี่ยมประยูร
"ปฏิรูปการเมืองไทย ฤาจะไปไม่ถึงจุดหมาย?"
สารบัญ
1. ความผิดพลาดในการออกแบบ (design) "ระบบสถาบันการเมือง" ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2540) พร้อมด้วยเอกสารแนบ 3 ฉบับ
โดย ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์
[หมายเหตุ: เอกสารนี้ได้ใช้เป็นเอกสารประกอบการปาฐกถาเรื่อง "ปฏิรูปการเมือง: นักนิติศาสตร์หลงทางหรือ?" เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2545 ณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ ศ. ดร.อมร ได้แก้ไขให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพื่อประกอบการอภิปรายในครั้งนี้]
2. เราจะปฏิรูปการเมือง II ได้อย่างไร
โดย ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์
[หมายเหตุ: เป็นบทสุดท้ายของบทความเรื่อง "การปฏิรูปการเมืองจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่?" ที่ ศ.ดร.อมร ได้เขียนขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2539]
3. ปฏิรูปการเมือง II โครงสร้างของ "องค์กรเพื่อยกร่าง ร.ธ.น.ทั้งฉบับ"
[หมายเหตุ: เอกสารของ ศ.ดร.อมร เผยแพร่ในการอภิปราย "รำลึก 1 ปี ผศ.ดร.พนม เอี่ยมประยูร" เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2546]
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2546 ณ ห้องประชุมจิตติ ติงศภัทิย์
โดย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2546
|
เอกสารประกอบการอภิปราย
รำลึก 1 ปี ผศ.ดร.พนม เอี่ยมประยูร
"ปฏิรูปการเมืองไทย ฤาจะไปไม่ถึงจุดหมาย?"
เอกสารหมายเลข 1
ความผิดพลาดในการออกแบบ (Design) "ระบบสถาบันการเมือง"
ในรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2540)
โดย ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์
แนวการบรรยาย
(1) บทนำ
1.1 ทำไม ข้าพเจ้าจึงเห็นควรแก้ไข ร.ธ.น.ฉบับปัจจุบัน ในขณะที่ชนชั้นนำ - elite ของสังคมไทย (เกือบ) ทั้งหมด เห็นว่า ยังไม่ควรแก้ไข ร.ธ.น.
1.2 ทำไม ข้าพเจ้าจึงเห็นควรแก้ไข ร.ธ.น.ในส่วนที่เกี่ยวกับ"ระบบสถาบันการเมือง" ก่อนการแก้ไขในประเด็นอื่นๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่อง การสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ - อำนาจของ ก.ก.ต. - อำนาจของ ป.ป.ช. - ฯลฯ
(2) ทำไม ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องใช้รูปแบบการปกครองใน "ระบบรัฐสภา - Parliamentary system" และจะต้องเป็นระบบรัฐสภาที่มี Strong Prime Minister
(3) ความผิดพลาดในการออกแบบ(design) "โครงสร้างของระบบสถาบันการเมือง ใน ร.ธ.น.2540" ได้แก่ การสร้าง ระบบรัฐสภาที่มี Strong Prime Minister พร้อมกับการสร้างการเผด็จการโดยรัฐสภา (ไม่ว่าจะโดยพรรคเดียวเสียงข้างมากหรือหลายพรรครวมกลุ่มกัน)
3.1 สาเหตุของความผิดพลาดในการเขียนรัฐธรรมนูญ 2540
(ก) สาเหตุพื้นฐาน ของความผิดพลาด (คุณภาพของชนชั้นนำในสังคม)
- ความเห็นแก่ตัวของนักการเมืองที่คุมอำนาจรัฐอยู่ในปัจจุบัน (ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล)
- ระดับวิชาการ (เชิงวิเคราะห์) ของวงการวิชาการไทย ยังสูงไม่พอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะต้องพิจารณาถึงสาเหตุที่มาจากระดับวิชาการของนักวิชา การของไทย ซึ่งมีหน้าที่ในการอธิบายและชี้นำความถูกต้องตามหลักวิชาการให้ แก่สังคมไทย(คนส่วนใหญ่) มากกว่าที่จะพิจารณาจากสาเหตุที่มาจากพฤติกรรม ของ "นักการเมือง"
(ข) สาเหตุโดยตรง ได้แก่ การจัดองค์กรที่มีอำนาจในการให้รัฐธรรมนูญ - pouvoir constituant (ความผิดพลาดของรูปแบบการจัดองค์กรเพื่อการจัดทำ ร.ธ.น.ฉบับใหม่ตาม ร.ธ.น. พ.ศ.2534 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2539
3.2 ทำไม ร.ธ.น.(พ.ศ.2540) จึงเกิดเผด็จการทางรัฐสภาโดยนักธุรกิจการเมือง
- การกำหนด "มาตรการ" ที่ผิดพลาดสำคัญ 2 ประการ คือ
(1) การบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง และ
(2) การกำหนดบังคับไว้ว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง (มาตรา 201)
(4) เราสามารถสร้าง "ระบบรัฐสภา - Parliamentary system" โดยมี Strong Prime Minister
โดยไม่เกิดเผด็จการทางรัฐสภา ได้อย่างไร (?)
4.1 การบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรค เป็น"มาตรการ"ที่ขัดกับหลักเสรีประชาธิปไตย และเป็นมาตรการของประเทศเผด็จการ
4.2 ความคิดเรื่อง"การบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรค"ของวงการวิชาการไทย มาจากที่ใด (?)
4.3 ความสับสนในความคิดของนักวิชาการเกี่ยวกับบทบาทของพรรคการเมือง ที่ปรากฏอยู่ในบทบัญญัติ ร.ธ.น.2540 (มาตรา 47, มาตรา 107(4), มาตรา 118 (4) (8) (9) และบทเฉพาะกาลมาตรา 328 (1) (2) (5) )
4.4 "มาตรการ"ที่สำคัญๆ ในการสร้างระบบรัฐสภา ที่มี Strong Prime Minister โดยไม่เกิดเผด็จการทางรัฐสภา มีอย่างไรบ้าง
- มาตรการที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับ "Strong Prime Minister" โดยไม่มีการบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรค
- มาตรการที่เกี่ยวกับการป้องกันการ abuse of power และการผูกขาดอำนาจโดย "Strong Prime Minister"
- มาตรการเกี่ยวกับการตรากฎหมายของประเทศ เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมในระยะยาว (มิใช่การตรากฎหมายตาม populist policy เพื่อสร้างความนิยมเฉพาะตัวในระยะสั้น และเป็นผลเสียในระยะยาว)
- มาตรการอื่น ในการพัฒนาระบบพรรคการเมืองตามแนวทางเสรีประชาธิปไตย ฯลฯ
(5) บทสุดท้าย
- ความเข้าใจในวิชา"กฎหมายมหาชน" ในฐานะที่เป็นวิชาที่ว่าด้วยเทคโนโลยีในการออกแบบ - design การเขียนกฎหมาย (ร.ธ.น.และ พ.ร.บ.)
- สภาพสังคมวิทยาการเมืองของสังคมและของ elite เป็น"เงื่อนไข - element" สำคัญ ในการออกแบบ-design "ระบบสถาบันการเมืองของไทย" และนักกฎหมายมหาชนในระดับผู้เชี่ยวชาญ เปรียบเสมือน "สถาปนิก"ของสังคม
- ความโปร่งใส - transparency ในการบริหาร เกิดจากกระบวนการ(process) ที่ดีที่กำหนดไว้ในตัวบทกฎหมาย มิใช่เกิดจาก"คำพูดและคำรับรอง"ของนักการเมือง
- คำว่า"การเมืองภาคประชาชน" เป็นคำพูดทางการเมือง มิใช่เป็นเทคโนโลยีในการเขียนกฎหมาย
- ความเข้าใจบทบัญญัติมาตรา 107(4) (ที่ขัดกับหลักเสรีประชาธิปไตย) ของ elite ไทย
- "สาเหตุ" ที่ทำให้ elite ไทย ไม่ประสงค์จะแก้ ร.ธ.น.2540
- สภาพการบริหารประเทศภายใต้ "ระบบสถาบันการเมือง(การเผด็จการทางรัฐสภา) ตาม ร.ธ.น.2540" ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
คำถามสุดท้าย: ในสภาพปัจจุบัน เราจะแก้ไขความผิดพลาดในการออกแบบ (design) ระบบสถาบันการเมืองตาม ร.ธ.น. 2540 (การปฏิรูปการเมืองครั้งที่สอง) ได้อย่างไร (!) (!)
22 พฤศจิกายน 2545
[หมายเหตุ:- คำบรรยายนี้ พิจารณาเฉพาะ"ประเด็นการเผด็จการในระบบรัฐสภาตาม ร.ธ.น.2540" โดยยังมิได้กล่าวถึงประเด็นการจัดองค์กรของสถาบันอื่นใน ร.ธ.น.หรือตามกฎหมายอื่น ไม่ว่าจะเป็น รัฐสภา / ศาลรัฐธรรมนูญ / ก.ก.ต./ ป.ป.ช./ กฎหมายว่าด้วยการปฏิรูประบบราชการ / กฎหมายที่เรียกกันว่า"กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ" / ฯลฯ ซึ่งแต่ละประเด็นเหล่านี้ ต้องการการอธิบายเชิงวิเคราะห์ตามหลักกฎหมายมหาชนในแต่ละเรื่อง]
11 กุมภาพันธ์ 2546
เอกสารแนบ 1
(1/1)
รัฐธรรมนูญเกาหลีใต้
(1) รัฐธรรมนูญของเกาหลีใต้ ฉบับแรก ค.ศ.1948 (พ.ศ.2491) ซึ่งได้ใช้บังคับมาจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 1988 (พ.ศ.2531) มี 121 มาตรา
[(หมายเหตุ:- ร.ธ.น.ฉบับนี้มีการแก้ไขมา 5 ครั้ง: 1952 (พ.ศ.2495), 1954 (พ.ศ.2492), 1960 (พ.ศ.2503) 2 ครั้ง, และ1962 (พ.ศ.2505)]
Article 36:-
(1) The National Assembly shall be composed of members elected by universal, equal, direct, and secret elections of the citizens.
(2) The number of the members of the National Assembly shall be determined by law within the range of no less than one hundred and fifty and no more than two hundred persons.
(3) Any person desiring to become a candidate for the National Assembly shall be recommended by the political party to which he belongs.
(4) Matters pertaining to the election of the members of the National Assembly shall be determined by law.
Article 38:-
A person shall lose his membership in the National Assembly during his tenure when he leaves or changes his party, or when his party is dissolved. However, the provisions of this article shall not apply in cases of changes in party membership caused by amalgamation of parties or in case a person has been expelled from his party.
(หมายเหตุ:
- มีสภาเดียว (เรียกว่า National Assembly)
- วาระ 4 ปี
- สภามีอำนาจไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี (มาตรา 59)
- สภามีอำนาจริเริ่ม impeachment (ส.ส. 30 คน เสนอและมีมติด้วยเสียงเกิน กว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด)
- องค์กรชี้ขาด อิมพีชเม้นท์ (Impeachment Council) ประกอบด้วย ผู้ พิพากษา 4 คนและ ส.ส. 5 คน รวม 9 คน; มติลงโทษต้องได้คะแนนเสียง 6 เสียง คือ สองในสาม
(1/2)
- โดยหลักการ ประธานาธิบดี(เลือกตั้งโดยตรง) เป็นประมุขของฝ่ายบริหาร และต้องสังกัดพรรค (มาตรา 63(3)) และมีวาระ 4 ปี
- คณะรัฐมนตรีมีได้ไม่เกิน 20 คน และไม่น้อยกว่า 10 คน
- ประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจแต่งตั้งรัฐมนตรีตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี (มาตรา 84)
(2) รัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ฉบับที่สอง ค.ศ.1988 (พ.ศ.2531 จนถึงปัจจุบัน)
รัฐธรรมนูญปี 1945 ถือกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการและไม่เป็นประชาธิปไตย authoritarian and undemocratic constitution) และได้ถูกวิจารณ์อย่างมากในปี 1983(พ.ศ.2526) แต่ยังมิได้มีการเสนอให้มีการปฏิรูปการเมือง
การปฏิรูปการเมืองได้มีการพิจารณาอย่างจริงจังในระหว่างปี 1984-1988(พ.ศ.2527-2531) ; และรัฐธรรมนูญ ค.ศ.1988 ฉบับปัจจุบันของเกาหลีใต้มีความเป็นประชาธิปไตยด้วยการยกเลิกการสังกัดพรรค และเน้นความเป็นผู้นำของประธานาธิบดี
Article 46:- (ยกเลิกสังกัดพรรค)
(1) Members of the National Assembly shall have the duty to maintain high standards of integrity.
(2) Members of the National Assembly shall give preference to national interests and shall perform their duties in accordance with conscience.
(3) Members of the National Assembly shall not acquire, through abuse of their positions, or assist other persons to acquire the same, by means of contracts with or dispositions by the State, public organizations or industries.
Article 42:- (วาระของสภา)
The term of office of members of the National Assembly shall be four years.
Article 70:- (วาระของประธานาธิบดี)
The term of office of the President shall be five years, and the President shall not be reelected.
Article 72:- (อำนาจของประธานาธิบดี)
The President may submit important policies relating to diplomacy, national defense, unification and other matters relating to the national destiny to a national referendum if the deems it necessary.
(1/3)
Article 86:- (ฐานะของประธานาธิบดี / นายกรัฐมนตรี)
(1) The Prime Minister shall be appointed by the President with the consent of the National Assembly.
(2) The Prime Minister shall assist the President and shall direct the Executive Ministries under order of the President.
(3) No member of the military shall be appointed Prime Minister unless he is retired form activity duty.
Article 87:- (ฐานะของประธานาธิบดี / นายกรัฐมนตรี / รัฐมนตรี)
(1) The members of the State Council shall be appointed by the President on the President on the recommendation of the Prime Minister.
(2) The members of the State Council shall assist the President in the conduct of State affairs and, as constituents of the State Council, shall deliberate on State affairs.
(3) The Prime Minister may recommend to the President the removal of a member of the State Council from office.
(4) No member of the military shall be appointed a member of the State Council unless he is retired from active duty.
Article 88:- (ประธานาธิบดีเป็นผู้บริหารโดยตรง)
(1) The State Council shall deliberate on important policies that fall within the power of the Executive.
(2) The State Council shall be composed of the President, the Prime Minister, and other members whose number shall be no more than thirty and no less than fifteen.
(3) The President shall be the Chairman of the State Council, and the Prime Minister shall be the Vice-Chairman.
Article 89:- (อำนาจของ ครม.)
The following matters shall be referred to the State Council for deliberation:
1. Basic plans for state affairs, and general polices of the Executive ;
2. Declaration of war, conclusion of peace and other important matters pertaining to foreign policy ;
3. Draft amendments to the Constitution, proposals for national referendums, proposed treaties, legislative bills, and proposed presidential decrees;
(1/4)
4. Budgets, closing of accounts, basic plans for disposal of state properties, contracts incurring financial obligation on the State, and other important financial matters;
etc. etc. etc.
Article 90:- ("ที่ปรึกษา"ของประธานาธิบดี)
(1) An Advisory Council of Elder Statesmen, composed of elder statesmen, may be established to advise the President on important affairs of state.
(2) The immediate former President shall become the Chairman of the Advisory Council of Elder Statesmen: except that, if there is no immediate former President, the President shall appoint the Chairman.
(3) The organization, function and other necessary matters pertaining to the Advisory Council of Elder Statesmen shall be determined by law.
etc. etc. etc.
11 กุมภาพันธ์ 2546
เอกสารแนบ 2
(2/1)
"แนวความคิด"เกี่ยวกับการบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรค
[ร.ธ.น.(พ.ศ.2517) ฉบับที่ 10 ถึง ร.ธ.น.ปัจจุบัน (2540) ฉบับที่ 16]
***********************************
วงการวิชาการไทย มีแนวความคิด เกี่ยวกับการบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรค มาตั้งแต่ ร.ธ.น.พ.ศ.2517 จนถึงรัฐธรรมนูญปัจจุบัน พ.ศ.2540 เป็นเวลาเกือบ 30 ปี
และนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 (กันยายน) หลังพฤษภาทมิฬ ได้มีการแก้ไข ร.ธ.น.(พ.ศ.2534) กำหนดบังคับให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.(มาตรา 159) จนถึงขณะนี้เป็นเวลา 10 ปีเศษ
(1) ร.ธ.น.(พ.ศ.2517) ฉบับที่ 10
- มาตรา 117 (คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง)
- เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแค่พรรคเดียว (มาตร 117 (3))
- มาตรา 124 (การขาดจากสมาชิกภาพของ ส.ส)
- ลาออกจากการสมาชิกของพรรคการเมือง (มาตรา 124(7))
- พรรคการเมืองที่ ส.ส.เป็นสมาชิกยุบเลิก (มาตรา 124(7))
- พรรคการเมืองมีมติให้พ้นจากการเป็นสมาชิก ส.ส.เป็นสมาชิก (หรือศาลมีคำสั่งให้ ยุบเลิกพรรคการเมือง) ต้องเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่นภายใน 60 วัน (มาตรา 124(9))
(2) (รัฐ)ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(พ.ศ.2519) ฉบับที่ 11 : ไม่มีบทบัญญัติ
(3) ธรรมนูญการปกครอง (พ.ศ.2520) ฉบับที่ 12 : ไม่มีบทบัญญัติ
(4) ร.ธ.น.(พ.ศ.2521) ฉบับที่ 13
- มาตรา 94 (คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง)
เป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 95 (หรือ พรรคการเมืองตามมาตรา 104 วรรคสอง) พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่ พรรคเดียว (มาตรา 94(3))
(2/2)
- มาตรา 95 (จำนวนผู้สมัครฯ ที่พรรคการเมืองต้องส่งเข้ารับเลือกตั้ง)
- พรรคการเมืองต้องส่งสมาชิกพรรคการเมืองเข้าสมัครฯ รวมกัน ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง
ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมดที่จะพึงมีในการเลือกตั้งครั้งนั้น
- มาตรา 103 (การขาดจากสมาชิกภาพของ ส.ส.)
- ลาออกจากพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชก(มาตรา 103(7))
- พรรคการเมืองมีมติให้พ้นจากการเป็นสมาชิก(ด้วยคะแนนเสียงของที่ประชุมร่วม ของ"คณะกรรมการบริหารพรรค" และ "ส.ส.ที่สังกัดพรรคการเมือง" ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4) (มาตรา 103(7))
-ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งเลิกพรรคการเมือง ส.ส.ในสังกัดพรรคที่ถูกยุบต้องเข้าเป็น
สมาชิกพรรคการเมืองอื่น(ที่มี ส.ส.อยู่แล้ว) ภายใน 60 วัน (มาตรา 103(9))
[- มาตรา 104 วรรคสอง (การเลือกตั้งซ่อม)
- ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ต้องเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกในสังกัดเป็น ส.ส. อยู่แล้วจากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งก่อน]
[หมายเหตุ:- ร.ธ.น.(พ.ศ.2521) ได้ยกร่างขึ้นโดย"คณะกรรมาธิการ"ที่แต่งตั้งโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่"ประธานสภานโยบายแห่งชาติ" นำความกราบบังคมทูล(มาตรา 7 ของธรรมนูญการปกครอง(พ.ศ.2520);
"ประธานสภานโยบายแห่งชาติ" ได้แก่ หัวหน้าคณะปฏิวัติ(มาตรา 17)], พลเรือเอก สงัด ชลออยู่]
(5) ธรรมนูญการปกครองฯ (พ.ศ.2534) ฉบับที่ 14 : ไม่มีบทบัญญัติ
(6) ร.ธ.น.(พ.ศ.2534) ฉบับที่ 15 - Version I
- มาตรา 105 (คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง)
- เป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 106 (หรือ พรรคการ
เมืองตามมาตรา 115 วรรคสอง)
- มาตรา 106 (จำนวนผู้สมัครฯ ที่พรรคการเมืองต้องส่งเข้ารับเลือกตั้ง)
- พรรคการเมืองต้องส่งสมาชิกพรรคการเมืองเข้าสมัครรวมกันไม่น้อยกว่า 120 คน (หรือ 1 ใน 3 ของจำนวน ส.ส. 360 คนที่กำหนดไว้ในมาตรา 99)
- มาตรา 114 (การขาดจากสมาชิกภาพของ ส.ส.)
- ลาออกจากพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิก (มาตรา 114(7))
(2/3)
- พรรคการเมืองมีมติให้พ้นจากการเป็นสมาชิก(ด้วยคะแนนเสียงของที่ประชุมร่วมของ
"คณะกรรมการบริหารพรรค" กับ "ส.ส.ที่สังกัดพรรคการเมือง"ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4)
(มาตรา 114 (7) และวรรคสุดท้าย)
- ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งยุบพรรคการเมือง ส.ส.ในสังกัดพรรคการเมืองที่ถูกยุบต้องเข้า เป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่นที่มี ส.ส.อยู่แล้วภายใน 60 วัน(มาตรา 114(7))
- มาตรา 115 วรรคสอง (การเลือกตั้งซ่อม)
- ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกในสังกัดเป็น ส.ส. อยู่แล้วจากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งก่อน]
[หมายเหตุ:- ร.ธ.น.พ.ศ.2534 ได้ยกร่างขึ้นโดย"คณะกรรมาธิการ" (จำนวนไม่เกิน 20 คน)ซึ่งแต่งตั้งโดย"สภานิติบัญญัติแห่งชาติ" ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภา(จำนวน 200 ถึง 300 คน) ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่"ประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ"นำความกราบบังคมทูล(มาตรา 7 ของธรรมนูญการปกครองฯ พ.ศ.2534) ; "ประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ" ได้แก่ หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (มาตรา 18 วรรค 3 ของธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2534)-พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ; ร.ธ.น. พ.ศ.2534 ใช้บังคับวันที่ 9 ธันวาคม 2534 ก่อนพฤษภาทมิฬ พ.ศ.2535]
(7) ร.ธ.น.(พ.ศ.2534 / 2538) -Version II แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 5 พ.ศ.2538
- มาตรา 111 (คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง)
- เป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 106 (หรือ พรรคการ
เมืองตามมาตรา 115 วรรคสอง)
- มาตรา 112 (จำนวนผู้สมัครฯ ที่พรรคการเมืองต้องส่งเข้ารับเลือกตั้ง)
- พรรคการเมืองต้องส่งสมาชิกพรรคการเมืองเข้ารับสมัครรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 (1 ใน 4) ของจำนวน ส.ส. ที่จะพึงมี (ตาม ร.ธ.น.Version II นี้) จำนวน ส.ส.ที่จะพึงมี ตามมาตรา 105 ไม่ได้กำหนดจำนวนตายตัว แต่ได้กำหนดให้ถือเกณฑ์จำนวน ราษฎร 150,000 คนต่อ ส.ส. 1 คน)
- มาตรา 120 (การขาดจากสมาชิกภาพของ ส.ส.)
- ลาออกจากพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิก (มาตรา 114(7))
- พรรคการเมืองมีมติให้พ้นจากการเป็นสมาชิก(ด้วยคะแนนเสียงของที่ประชุมร่วมของ
"คณะกรรมการบริหารพรรค" กับ "ส.ส.ที่สังกัดพรรคการเมือง"ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4) (มาตรา 114(7)) และวรรคสุดท้าย)
- ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งยุบพรรคการเมือง ส.ส.ในสังกัดพรรคการเมืองที่ถูกยุบต้องเข้า
เป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่น(ที่มี ส.ส.อยู่แล้ว) ภายใน 60 วัน(มาตรา 114(7))
(2/4)
(8) ร.ธ.น.(พ.ศ.2540) ฉบับปัจจุบัน ฉบับที่ 16
- มาตรา 107 (คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง)
- เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียวนับถึงวันสมัครรับ เลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วัน (มาตรา 107(4))
[หมายเหตุ:- ร.ธ.น.ปัจจุบันไม่ได้กำหนดจำนวนขั้นต่ำของสมาชิกพรรคการเมืองที่พรรคการเมืองจะต้องส่งเข้าสมัครไว้]
- มาตรา 118 (การขาดจากสมาชิกภาพของ ส.ส.)
- ลาออกจากพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิก(ม.118 (8))
- พรรคการเมืองมีมติให้พ้นจากการเป็นสมาชิก(ด้วยคะแนนเสียงของที่ประชุมร่วมของ
"คณะกรรมาธิการบริหารพรรค" และ "ส.ส.สังกัดพรรคการเมือง" ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4)
- ในกรณีที่ศาล(รัฐธรรมนูญ)มีคำสั่งยุบพรรคการเมือง ส.ส.ในสังกัดพรรคที่ถูกยุบต้องเข้าเป็น
สมาชิกพรรคการเมืองอื่น (ร.ธ.น.ไม่ได้กำหนดให้ต้องเป็นพรรคการเมืองที่มี ส.ส.อยู่แล้ว)
ภายใน 60 วัน(มาตรา 118(9))
11 กุมภาพันธ์ 2546
เอกสารแนบ 3
(3/1)
รัฐธรรมนูญไทยเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้
(บทบัญญัติที่เกี่ยวกับ "สถานภาพ"ของสมาชิกสภา)
รัฐธรรมนูญของไทย มีทั้งหมด 16 ฉบับ แบ่งได้เป็น 3 ช่วง
[ หมายเหตุ :- ยกเว้น ร.ธ.น.(พ.ศ.2475) ฉบับที่ 1 พ.ร.บ.ธรรมนูญการปกครอง
แผ่นดินสยามชั่วคราว ซึ่งใช้บังคับอยูเพียง 6 เดือน (มิถุนายน - ธันวาคม 2475)]
มาตรา 11 คุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกเป็นผู้แทนประเภทที่ 1 คือ
(1) สอบไล่วิชาชีพการเมืองได้ตามหลักสูตรซึ่งสภาจะได้ตั้งไว้
(2) มีอายุ 20 ปี บริบูรณ์
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
(6) เฉพาะผู้เลือกตั้งเป็นผู้แทนประเภทที่ 1 ในสมัยที่ 2 จะต้อง;
ได้รับความเห็นชอบของสมาชิกในสมัยที่ 1 เสียก่อนว่าเป็น
ผู้ที่ไม่ควรสงสัยว่าจะนำมาซึ่งความไม่เรียบร้อย
(หมายเหตุ:- "สมาชิกในสมัยที่ 1" ได้แก่ ผู้ที่คณะราษฎรที่มี
คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจแทน แต่งตั้งขึ้นมีจำนวน 70 นายเป็นสมาชิกในสภา)]
[1] ช่วงที่หนึ่ง (ส.ส.ใช้ความเห็นโดยอิสระของตนเองในการทำหน้าที่ในรัฐสภา)
ฉบับที่ 2 ถึงฉบับที่ 9
- ร.ธ.น.(พ.ศ.2475) ฉบับที่ 2
มาตรา 20 (สถานภาพ) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรย่อมเป็นผู้แทน
ปวงชนชาวสยาม มิใช่แทนแต่เฉพาะผู้ที่เลือกตั้งตนขึ้นมา ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นของตนโดยบริสุทธิ์ใจมิใช่;อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใดๆ
มาตรา 20
มาตรา 19 (คำปฏิญาณ) ก่อนเข้ารับหน้าที่ ส.ส.ต้องปฏิญาณในที่ประชุม
แห่งสภาว่า จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้
มาตรา 19
- ร.ธ.น.(พ.ศ.2489) ฉบับที่ 3
มาตรา 34 (สถานภาพ) สมาชิกพฤฒสภาและ ส.ส.ย่อมเป็นผู้แทนราษฎรของปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใดๆและต้องปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นของตนโดยบริสุทธิ์ใจ
มาตรา 34
มาตรา 35 (คำปฏิญาณ เหมือน ร.ธ.น.ฉบับที่ 2) ก่อนเข้ารับหน้าที่ ส.ส. ต้องปฏิญาณในที่ประชุมแห่งสภาว่า จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้
มาตรา 35
(3/2)
- ร.ธ.น. (พ.ศ.2490) ฉบับที่ 4 (เหมือนกับ ร.ธ.น.ฉบับที่ 3)
มาตรา 44 (สถานภาพ) สมาชิกวุฒิสภาและ ส.ส.ย่อมเป็นผู้แทนราษฎร
ของปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใดๆ
และต้องปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นของตนโดยบริสุทธิ์ใจ เพื่อเป็น
ประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย
มาตรา 44
มาตรา 43 (คำปฏิญาณ) ก่อนเข้ารับหน้าที่ ส.ส.ต้องปฏิญาณในที่ประชุม
แห่งสภาว่า จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญนี้
มาตรา 43
- ร.ธ.น. (พ.ศ.2492) ฉบับที่ 5
มาตรา 101 (สถานภาพ) สมาชิกวุฒิสภาและ ส.ส.ย่อมเป็นผู้แทนราษฎรของปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นของตนโดยบริสุทธิ์ใจ เพื่อเป็นประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย
มาตรา 101
มาตรา 102 (คำปฏิญาณ) "ข้าพเจ้า(ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่าจะปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นของข้าพเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ"
มาตรา 102
- ร.ธ.น. (พ.ศ.2495 แก้ ร.ธ.น.2475) ฉบับที่ 6 (เหมือน ร.ธ.น.ฉบับที่ 2)
มาตรา 79 (สถานภาพ) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวสยาม มิใช่แทนแต่เฉพาะผู้ที่เลือกตั้งตนขึ้นมา / ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นของตนโดยบริสุทธิ์ใจมิใช่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใดๆ
มาตรา 79
มาตรา 78 (คำปฏิญาณ) ก่อนเข้ารับหน้าที่ ส.ส.ต้องปฏิญาณในที่ประชุมแห่งสภาว่า จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้
- ธรรมนูญการปกครอง (พ.ศ.2502) ฉบับที่ 7
(ไม่มี)
(3/3)
- ร.ธ.น. (พ.ศ.2511) ฉบับที่ 8
มาตรา 97 (สถานภาพ) สมาชิกพฤฒสภาและ ส.ส.ย่อมเป็นผู้แทนราษฎร
ของปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใดๆ ;
และต้องปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นของตนโดยบริสุทธิ์ใจ เพื่อเป็น
ประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย
มาตรา 97
มาตรา 98 (คำปฏิญาณ) "ข้าพเจ้า(ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่าจะปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นของข้าพเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจเพื่อประโยชน์ของปวงชนชาวไทย ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ"
มาตรา 98
- ธรรมนูญการปกครอง (พ.ศ.2515) ฉบับที่ 9
(ไม่มี)
[2] ช่วงที่สอง (เป็นระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญเริ่มกำหนดมาตรการบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรคโดยบทมาตราเกี่ยวกับ"สถานภาพของ ส.ส."จะเปลี่ยนแปลงไป คือ ถูกตัดให้สั้นลง, แต่มาตราเกี่ยวกับคำปฏิญาณคงเดิม)
ฉบับที่ 10 ถึงฉบับที่ 12
- ร.ธ.น.(พ.ศ.2517) ฉบับที่ 10 -เริ่มแนวความคิดเกี่ยวกับการบังคับสังกัดพรรค
มาตรา 127 (สถานภาพ) ส.ว.และ ส.ส.ย่อมเป็นผู้แทนผู้แทนปวงชนชาวไทย มาตรา 127
มาตรา 128 (คำปฏิญาณ) "ข้าพเจ้า(ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่าข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นของข้าพเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ"
มาตรา 128
- (รัฐ)ธรรมนูญการปกครอง (พ.ศ.2519) ฉบับที่ 11
(คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน - พล.ร.เอก สงัด ชลออยู่)
(ไม่มี)
ธรรมนูญการปกครอง (พ.ศ.2520) ฉบับที่ 12
(คณะปฏิวัติ, พล.ร.เอก สงัด ชลออยู่)
(ไม่มี)
(3/4)
[3] ช่วงที่สาม (เป็นระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญบังคับ ส.ส.ให้สังกัดพรรคอย่างเข้ม ; โดยได้มีการเปลี่ยนแปลง มาตราเกี่ยวกับ"สถานภาพของ ส.ส."และมาตราเกี่ยวกับคำปฏิญาณ)
ฉบับที่ 13 ถึงฉบับที่ 16
- ร.ธ.น.(พ.ศ.2521) ฉบับที่ 13 - บังคับสังกัดพรรค
มาตรา 106 (สถานภาพ) ส.ว.และ ส.ส.ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย
มาตรา 107 (คำปฏิญาณ) "ข้าพเจ้า(ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า
ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ"
มาตรา 106
- ธรรมนูญการปกครอง (พ.ศ.2543) ฉบับที่ 14
(คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ: พลเอกสุนทร คงสมพงษ์)
(ไม่มี)
- ร.ธ.น.(พ.ศ.2534) ฉบับที่ 15 (Version I) - บังคับสังกัดพรรค
มาตรา 117 (สถานภาพ) ส.ว.และ ส.ส.ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย
และต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย
มาตรา 117
มาตรา 118 (คำปฏิญาณ) "ข้าพเจ้า(ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า
ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ของปวงชนชาวไทย ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ"
มาตรา 118
- ร.ธ.น.(พ.ศ.2534 / 2538) [มาตรา 123 และมาตรา 124 เหมือนกับมาตรา 117 และมาตรา 118 ของ ร.ธ.น.(พ.ศ.2534) ; แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 5 พ.ศ.2538
Version I]ฉบับที่ 15 (Version II) บังคับสังกัดพรรค
มาตรา 123
- ร.ธ.น.(พ.ศ.2540) ฉบับปัจจุบันเป็นฉบับที่ 16 บังคับสังกัดพรรค
มาตรา 149 (สถานภาพ) ส.ว.และ ส.ส.ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย
มาตรา 149
มาตรา 150 (คำปฏิญาณ) "ข้าพเจ้า(ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า;ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ"
มาตรา 150
11 กุมภาพันธ์ 2546
ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2546
|
เอกสารประกอบการอภิปราย
รำลึก 1 ปี ผศ.ดร.พนม เอี่ยมประยูร
"ปฏิรูปการเมืองไทย ฤาจะไปไม่ถึงจุดหมาย?"
เราจะปฏิรูปการเมือง II ได้อย่างไร
ต่อไปนี้เป็น "บทสุดท้าย" ของบทความขนาดยาว 70 หน้า เศษของ ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ที่เขียนขึ้นมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2539 ในเอกสารเรื่อง "การปฏิรูปการเมือง จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ?" จัดพิมพ์โดย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย และสมาคมนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2540)
กุมภาพันธ์ 2546
บทสุดท้าย
ผู้เขียนคงต้องขอเรียนเป็นข้อสรุปว่า ตามความเห็นของผู้เขียน โครงสร้างและกลไกใน รัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2539 นี้ ไม่สามารถทำการปฏิรูปการเมืองได้ ทั้งนี้ ด้วย "เหตุผลหลัก" อย่างง่ายๆ ตามหลักกฎหมายมหาชนที่ได้เรียนให้ทราบมาตั้งแต่ต้นว่า ตราบใดที่การปฏิรูปการเมืองยังอยู่ในอำนาจของผู้ที่จะต้องเสียประโยชน์จากการปฏิรูปการเมืองแล้ว การปฏิรูปการเมืองย่อมเกิดขึ้นไม่ได้
ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏจากบทบัญญัติต่างๆที่เป็นโครงสร้างของรัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2539 นี้เอง เป็นการยืนยันในเหตุผลดังกล่าวข้างต้นได้
ลองพิจารณาดูว่า สมาชิกรัฐสภาของเรานี้เอง ที่เป็นผู้เขียนรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับที่ 6) จัดตั้งองค์กรและวิธีการเพื่อการปฏิรูปการเมือง และผลที่ปรากฏออกมา ก็คือ อำนาจทั้งหมดที่เกี่ยวกับการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังคงอยู่ที่สมาชิกรัฐสภา (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา) ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจเลือกตัวบุคคลที่จะเป็นสมาชิก "สภาร่างรัฐธรรมนูญ" อำนาจให้ความเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อำนาจในการตรากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ - organic law หรือแม้แต่อำนาจในการนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปให้ออกเสียงประชามติ ก็ยังขึ้นอยู่กับจำนวนคะแนนเสียงของกลุ่มนักการเมืองเอง (แทนที่จะเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์) และในประการสุดท้ายของการเขียนบทบัญญัติสงวนอำนาจไว้กับตนเอง ก็คือ การเขียนบทบัญญัติจำกัดมิให้มีการแก้ไข รัฐธรรมนูญเพื่อขอพระราชทาน "ผู้นำในการปฏิรูปการเมือง" จากพระมหากษัตริย์ (โดยมีนายกรัฐมนตรีรับสนองพระบรมราชโองการ) พร้อมทั้งดึงอำนาจการตีความเรื่องนี้ไว้ที่ตนเอง แทนที่จะให้เป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรที่เป็นกลาง เช่น ตุลาการรัฐธรรมนูญ (ศาลรัฐธรรมนูญ) เป็นผู้ตีความ
[หมายเหตุ : - ทั้งนี้ โดยยังไม่คำนึงถึงการที่สมาชิกรัฐสภาของเรากำหนดให้ "สภาร่าง รัฐธรรมนูญ" มีจำนวนสมาชิกถึง 99 คน ประกอบด้วยบุคคลหลายประเภทรวมกันอยู่ในองค์กรเดียวกัน แต่ละคน นานาความคิด นานาการศึกษา นานาอาชีพ และนานาผลประโยชน์ ซึ่งไม่ว่าเจตนาของสมาชิกรัฐสภาผู้ร่างรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับที่ 6) จะมีประการใดก็ตาม แต่ผู้เขียนเห็นว่า องค์กรในลักษณะนี้ไม่อยู่ในสภาพที่จะเขียนกฎหมายที่ดีได้ แม้ว่ากฎหมายนั้นจะมิใช่รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดสำหรับประเทศ (ที่มีพลเมืองครบ 60 ล้านคนเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน) ก็ตาม]
ท่านเชื่อว่า สมาชิกรัฐสภา ชนชั้นนำที่ดีที่สุดของประเทศจำนวน 650 คนเศษ ที่เขียน รัฐธรรมนูญ (ฉบับที่ 6) นี้ขึ้น พร้อมที่จะเสียสละ (ประโยชน์ส่วนตัว) และทำการปฏิรูปการเมืองให้คนไทย หรือไม่ (?)
บทความนี้ เป็นบทความส่วนตัวของผู้เขียน เขียนขึ้นโดยความประสงค์ให้เป็นตัวอย่างของการวิเคราะห์ร่างกฎหมายตามหลักวิชาการของกฎหมายมหาชน ซึ่งเป็นกระบวนการร่างกฎหมายตามปกติของประเทศที่พัฒนาแล้ว
ผู้เขียนคิดว่า สังคมไทยอาจจะต้องรู้ถึงความสำคัญของการวิเคราะห์ร่างกฎหมาย (และร่างรัฐธรรมนูญ) ตามหลักกฎหมายมหาชน เพราะการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลางที่ทำเป็นลายลักษณ์อักษรในกระบวนการร่างกฎหมายของรัฐ จะทำให้สังคมไทยสามารถ "รู้จัก" ชนชั้นนำ (นักการเมืองและนักวิชาการ) ของเราได้ดีขึ้น
กฎหมายที่ดีมิใช่เกิดขึ้นด้วยการ มี "คณะกรรมการนานาอาชีพ" หรือมี "สภาร่างรัฐธรรมนูญ" ที่สมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ให้มาทำหน้าที่ยกร่าง (เพื่อความเป็นประชาธิปไตย) และมายุติลงด้วย การอภิปรายของนักการเมืองในรัฐสภา และรวมกลุ่มกันลงมติด้วยการยกมือ และกฎหมายที่ดีก็มิได้เกิดจากการที่นักการเมืองและนักวิชาการให้สัมภาษณ์ทางสื่อมวลชน การพูดออกรายการทางโทรทัศน์หรือรายการวิทยุกระจายเสียง หรือแม้แต่การอภิปรายในการสัมมนาทางวิชาการที่จัดขึ้น
ตราบใดที่ประเทศไทย ไม่สามารถมีกระบวนการ (process) ในการเขียนกฎหมาย (ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัติธรรมดาก็ตาม) ที่ทำให้สังคมไทยตรวจสอบความจริงใจของนักการเมือง (ผู้กุมอำนาจรัฐ) ได้ การเลือกตั้งเพื่อความเป็นประชาธิปไตย ก็ดูประหนึ่งว่า ชนชั้นนำของไทย (จำนวนหนึ่ง) ได้อาศัยความไม่รู้ของสังคมไทยในสภาพปัจจุบัน (ทั้งสภาพทางสังคมวิทยาการเมืองของชุมชนและสภาพพิการของระบบบริหาร) แสวงหาประโยชน์จากเงินงบประมาณแผ่นดินและทรัพยากรของชาติ และเขียนกฎหมายกำหนดกลไกของรัฐเพื่อผูกขาดอำนาจของรัฐไว้กับกลุ่มของตนเอง
สิ่งที่เราพูดกันอยู่ทุกๆวันเกี่ยวกับการปฏิรูปการเมือง เช่น เร่งรัดให้พรรคการเมืองกำหนดเป็นนโยบายและบอกให้ชัดเจนว่าจะทำการปฏิรูปการเมืองอย่างไรสิ่งเหล่านี้ อาจเป็นสิ่งไม่มีคุณค่าและไม่เกิดประโยชน์ ในการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด เพราะมาตรการและกลไกในการปฏิรูปการเมืองนั้นมีหลากหลายและมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งต้องการความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่จะต้องเขียนวิเคราะห์ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรให้สังคมไทยได้ตรวจสอบ
ตัวอย่างเช่น หลายท่านบอกว่า ขอให้เขียนรัฐธรรมนูญแยกฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้ที่เป็นรัฐมนตรีแล้วจะเป็น ส.ส. ในขณะเดียวกันไม่ได้ ขอให้ท่านผู้อ่านลองหยุดคิดดู โดยตั้งปัญหาถามตัวเองว่า การแยกตัวบุคคล (ในการดำรงตำแหน่ง) เช่นนี้ จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ได้หรือไม่ ปัจจุบันนี้เรายังใช้ระบบรัฐสภาและยังมีระบบพรรคการเมืองที่บังคับให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรค ดังนั้น แม้ว่าหัวหน้าพรรคหรือหัวหน้ากลุ่ม (มุ้ง) จะดำรงตำแหน่งเพียงตำแหน่งเดียว คือเป็นรัฐมนตรีโดยไม่เป็น ส.ส. แต่หัวหน้าพรรคหรือหัวหน้ากลุ่ม (มุ้ง) ก็ยังมีสายสัมพันธ์กับลูกพรรคซึ่งอยู่ในองค์กรเดียวกัน (พรรคการเมือง) และยังต้องพึ่งพาอาศัยกันระหว่างการเป็นรัฐบาลกับการสนับสนุนด้วยเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอยู่นั่นเอง ดังนั้น การห้ามไม่ให้รัฐมนตรีเป็น ส.ส. ในขณะเดียวกันจึงมิได้แก้ปัญหาแต่อย่างใด
ตัวอย่างเช่น บางท่านอาจบอกว่า ขอให้เขียนรัฐธรรมนูญให้มีการเลือกตั้งผู้บริหารเป็นคณะ ขอให้ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่า ปัญหาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็เพราะเรามีผู้บริหารเป็นคณะอยู่แล้วตามความเป็นจริง (de facto) ใช่หรือไม่ การมีรัฐมนตรีตามโควต้า (ของจำนวน ส.ส. ในสังกัด) นั้น แสดงว่าประเทศไทยเรามีผู้บริหารเป็นคณะอยู่แล้ว นายกรัฐมนตรีจะให้รัฐมนตรีคนใดพ้นจากตำแหน่งก็จะต้องทบทวนอย่างรอบคอบ คิดแล้วคิดอีก เพราะจะทำให้คณะรัฐบาลขาดเสียงสนับสนุนจากกลุ่ม (มุ้ง) ของบุคคลดังกล่าวในสภาผู้แทนราษฎร สมมุติว่าถ้ารัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการเลือกฝ่ายบริหารเป็นคณะ บุคคลเหล่านี้ก็จะรวมตัวกันเลือกตั้งเพื่อผลในการเข้ามาเป็น "คณะรัฐบาล" และเมื่อได้เข้ามาเป็นคณะรัฐบาลแล้ว ต่างคนต่างก็อ้าง mandate ของตนที่มาจากการเลือกตั้ง และไม่สามารถให้ออกจากตำแหน่งได้ ท่านคิดว่า อะไรจะเกิดขึ้น [หมายเหตุ : - เหตุผลเช่นนี้ ใช้ได้เช่นเดียวกันสำหรับท่านผู้เสนอให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี เพราะการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีเป็นการเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งในทางปฏิบัติจะต้องมีการรวมตัวกันเพื่อหาเสียง ดังนั้น ในทางความเป็นจริง (ที่ไม่ปรากฏใบเสร็จ) ผู้ที่สมัครรับเลือกตั้งเป็น "นายกรัฐมนตรี" ย่อมจะมีข้อผูกพันเกี่ยวกับตำแหน่งรัฐมนตรีของตนในอนาคตอยู่ด้วยแล้ว ใช่หรือไม่ ฯลฯ ]
ตัวอย่างเช่น บางท่านกล่าวว่า ขอให้นำวิธี recall มาใช้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือให้ประชาชนจำนวนหนึ่งมีสิทธิเข้าชื่อปลด ส.ส. ได้ ถ้า ส.ส. ทำไม่ดี ขอให้ท่านผู้อ่านลองคิดว่า ขณะนี้มีการซื้อสิทธิขายเสียงเพื่อให้ได้รับเลือกตั้ง ต่อไปถ้ามีวิธี recall จะมีการซื้อสิทธิขายเสียงเพื่อให้ปลดจากตำแหน่ง ได้หรือไม่
การปฏิรูปการเมือง จึงเป็นเรื่องของการจัดองค์กรและระบบกฎหมายที่ซับซ้อน และต้องมองปัญหาจากหลายด้าน ทั้งทางสภาพสังคมวิทยาการเมืองของชุมชน และระบบและกลไกกฎหมายของประเทศโดยรวม ด้วยเหตุนี้ การจะปฏิรูปการเมืองให้สำเร็จ จึงต้องการการจัด "องค์กรเพื่อการปฏิรูปการเมือง" (มาตรา 211) ที่ดี ซึ่งจะต้องมีทั้งความเชี่ยวชาญ และมีทั้งความเป็นผู้นำของผู้นำที่เสียสละและมี vision ซึ่งคงจะมิใช่ "องค์กรปฏิรูปการเมือง" ที่อยู่ภายใต้นักการเมือง ซึ่งเป็นผู้ที่จะต้องเสียประโยชน์จากการปฏิรูปการเมือง
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนมีความเชื่อว่า การปฏิรูปการเมืองจะเกิดได้จาก "ผู้แทนปวงชนชาวไทย" ตามความเป็นจริง (reality) ที่อยู่ในความรู้สึกของคนไทยทุกคน มิใช่เกิดจากนักการเมืองที่กำลังโฆษณาหาเสียงเพื่อการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะซื้อเสียงหรือไม่ซื้อเสียง และเป็น "ผู้แทนปวงชนชาวไทย" เพียงตามถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
เมื่อใดที่เรา (คนไทย) เริ่มรู้ว่า รัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2539 ไม่สามารถปฏิรูปการเมืองไทยได้ ก็ขอให้ระลึกว่า ร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 211 ของคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.) ยังคงอยู่ และถ้ารัฐสภาชุดต่อไปเห็นสมควรที่จะถวายพระราชอำนาจเพื่อให้ทรงพระราชทานผู้นำเพื่อการปฏิรูปการเมืองแล้ว คนไทยเราก็อาจมีรัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 7)
. (?) และเริ่มปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริงเสียที ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่า รัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2539 จะมีบทบัญญัติไว้อย่างไร จะมีมาตรา 211 เตรส วรรคสี่และวรรคห้า หรือไม่ เพราะรัฐสภาแต่ละชุดย่อมเป็นรัฎฐาธิปัตย์และมีความเป็นอิสระของตนเอง ดังคำกล่าวที่ว่า Parliament is not bound by its predecessors
พฤศจิกายน 2539
ป.ล. ในการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่จะมาถึงนี้ เมื่อผู้เขียนนึกย้อนเหตุการณ์ไป 2 -3 รัฐบาล นึกถึงการกระทำและคำพูดของนักการเมืองแต่ละคน เปรียบเทียบกับคำโฆษณาและคำขวัญขายความดี (ที่จะทำ) ของตนเอง พร้อมทั้งให้สัญญาผูกพันกับกลุ่มผลประโยชน์ (ประชาชนบางกลุ่ม) ซึ่งอาจไม่ตรงกับประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม (public) ผู้เขียน (ในฐานะประชาชนหนึ่งคน) รู้สึกเบื่อการเลือกตั้ง เพราะไม่ทราบจะเลือกพรรคใด ดังนั้น ในวันที่ 17 พฤศจิกายนนี้ ผู้เขียนคงจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งและคงกาบัตรเลือกตั้งว่า ไม่ขอใช้สิทธิเลือกตั้ง (!)
ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2546
|
เอกสารประกอบการอภิปราย
รำลึก 1 ปี ผศ.ดร.พนม เอี่ยมประยูร
"ปฏิรูปการเมืองไทย ฤาจะไปไม่ถึงจุดหมาย?"
การปฏิรูปการเมือง II
โครงสร้างของ "องค์กรเพื่อยกร่าง ร.ธ.น.ทั้งฉบับ"
(1) คนไทยต้องแสวงหา "statesman" ให้พบ ถ้าหาไม่พบ ก็อย่าเพิ่งคิดปฏิรูปการเมืองเพราะนักวิชาการไม่สามารถทำอะไรได้ ทะเลาะกันเองบ้าง แสวงหาประโยชน์ส่วนตัวบ้าง ฯลฯ
(2) แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 313 ของ ร.ธ.น.ปัจจุบัน (เป็นหมวดใหม่) ทำนองเดียวกันการแก้ไขฯ มาตรา 211 ของ ร.ธ.น.พ.ศ.2534 เพื่อให้มี "องค์กรเพื่อยกร่าง ร.ธ.น."
(3) จัดตั้ง "องค์กรเพื่อยกร่าง ร.ธ.น.ใหม่ทั้งฉบับ" โดยให้องค์กรดังกล่าว มีโครงสร้างที่เหมาะสมกับสภาพสังคมวิทยาการเมืองของสังคมไทย (คือ เหมาะสมกับพฤติกรรมของชุมชน พฤติกรรมของนักการเมือง และพฤติกรรมของ elite ที่มิใช่นักการเมือง)
การออกแบบ(design)"โครงสร้าง" ขององค์กรเพื่อยกร่าง ร.ธ.น.ทั้งฉบับ ที่เคยประสพความสำเร็จมาแล้วในประเทศที่มีปัญหา(พฤติกรรมของนักการเมือง)เหมือนกับประเทศไทย จะอยู่ใน "แนวทาง"ดังนี้
(1) เสนอทางเลือกและยกร่างโดย "คณะกรรมการทางวิชาการ"
(2) ตรวจสอบแนวความคิดโดย "statesman" หรือโดย "องค์กรตัวแทน statesman" ที่เหมาะสมกับสถานภาพทางกฎหมายของ statesman
(3) นำร่าง ร.ธ.น.เสนอต่อรัฐสภา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นและเสนอข้อแก้ไขเพิ่มเติม
(4) ปรับร่าง ร.ธ.น.โดยคณะกรรมการทางวิชาการภายใต้การกำกับของ statesman หรือองค์กรตัวแทนของ statesman
(5) เสนอร่าง ร.ธ.น. ต่อประชาชนทั้งประเทศเพื่อออกเสียง referendum
(6)
ทั้งนี้ โดยตลอดกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้นจนเสร็จสิ้น จะต้องมีการรับฟังข้อคิดเห็นจากประชาชนทั่วไป และจะต้องมีการชี้แจงและอธิบายเหตุผลในเชิงตรรกทางวิชาการให้ประชาชนและผู้ที่สนใจทราบในทุกประเด็นและทุกมาตรการที่สำคัญในการยกร่าง ร.ธ.น.
"องค์กรเพื่อยกร่าง ร.ธ.น." ในลักษณะนี้ จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพื้นฐานทางวิชาการ/อัจฉริยะของ statesman/และประชาชนทั้งประเทศ(ที่มิใช่กลุ่มผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม)
18 กุมภาพันธ์ 2546
ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2546
|
|
 |
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=413
เวลา 21 เมษายน 2568 18:55 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|
|