หน้าแรก บทความสาระ
กำหนดเวลาในกฎหมายนั้น สำคัญไฉน
คุณปกรณ์ นิลประพันธ์ รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
12 พฤศจิกายน 2560 19:39 น.
 

       
การที่มาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ บัญญัติไว้ตอนหนึ่งว่ารัฐพึงกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายให้ชัดเจนนั้น ถ้าอ่านแบบผ่าน ๆ โดยไม่คิดอะไรก็จะเข้าใจไปว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ แถมไม่มันส์เท่าบทบัญญัติในหมวดอื่น ๆ ที่ทำให้คนช่างฝันสามารถ “จินตนาการ” ไปได้ต่าง ๆ นา ๆ ว่าเมื่อเลือกตั้งแล้ว พรรคไหนจะได้เข้ามาเท่าไร ใครจะรวมกับใคร ใครจะเป็นนายก ฯลฯ

       
       
แต่จริง ๆ แล้วบทบัญญัตินี้มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของพี่น้องประชาชนมากนะครับ ว่าง่าย ๆ คือถ้ากฎหมายกำหนดแต่ขั้นตอนต่าง ๆ ไว้ แต่ไม่กำหนดว่าใครต้องทำอะไรภายในเวลาเท่าไร การทำงานตามขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะมีลักษณะเป็นการทำงานแบบ “ลมโชย” คือทำไปเรื่อย ๆ คนเดือดร้อนก็คือพี่น้องประชาชนนะครับ เพราะเป็นผู้ที่ต้องทำตามกฎหมาย

       
       
ถ้าเป็นเรื่องที่มีการร้องเรียนหรือฟ้องร้องกัน การไม่กำหนดเวลาดำเนินการก็ทำให้คนถูกกล่าวหาตกนรกทั้งเป็นได้ง่าย ๆ เพราะเมื่อไรเรื่องหรือคดีจะจบจะสิ้นกันเสียทีก็ไม่รู้ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการต่อสู้ความกันไม่รู้เท่าไร บางทีสู้กันเป็นหนี้หัวโตเพื่อรักษาเกียรติยศ บ้างผู้ถูกกล่าวหาตายไปแล้วเรื่องยังไม่ไปถึงไหนก็มี ทิ้งเรื่องที่ถูกร้องเรียนหรือฟ้องร้องให้เป็นประวัติเสียติดค้างคาไปถึงลูกหลานเพราะความจริงยังไม่ปรากฏกันเยอะแยะไป สร้างบาปสร้างกรรมนะครับนี่

       
       
ดังนั้น ยิ่งบ้านเราให้น้ำหนักกับความสะดวกในการกล่าวหา จึงยิ่งต้องใส่ใจในการกำหนดเวลาในการพิสูจน์ทราบว่าใครถูกใครผิดไว้ให้ชัดเจนเป็นของคู่กันด้วย ไม่งั้นสังคมคงอลเวงกันไปหมด งานการไม่ต้องทำกันพอดี กลัวถูกกล่าวหา กลัวเป็นคดี กลัวเสียชื่อเสียง ทำงานไปวัน ๆ ดีกว่า ชั่วไม่มี ดีไม่ปรากฏ ถ้าเช่นนี้ประเทศไม่ต้องไปไหนกัน

       
       
ถ้าเป็นเรื่องการขออนุมัติอนุญาตจากทางราชการแล้วไม่มีกำหนดเวลาดำเนินการแล้วเสร็จไว้ คนขออนุญาตเขาก็จะไม่รู้ว่าเขาจะรู้ผลเมื่อไร เขาก็เสียหาย ยิ่งถ้าเป็นการขออนุมัติอนุญาตที่เกี่ยวกับการทำสัมมาอาชีวะหรือประกอบธุรกิจนี่ชัดเจนมาก เพราะการจะทำมาหากินอะไรนี่ต้องมีการลงทุน ต้องมีการวางแผน ถ้ามันไม่เป็นไปตามแผนหรือผิดแผนมาก ๆ นี่ต้นทุนดำเนินการมันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นะครับ ไหนจะเสียโอกาสในทางธุรกิจอีก เพราะเวลาที่เดินไปเรื่อย ๆ นี่เขาอาสเสียเปรียบคู่แข่งทางการค้าได้ โบราณว่ากว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้เสียแล้ว

       
       
ดังนั้น ทิศทางการร่างกฎหมายของโลกปัจจุบันจึงให้ความสำคัญกับ “ข้อมูลที่เป็นจริง”(Evidence based) เพื่อ “สร้างขั้นตอนเพียงเท่าที่จำเป็น” และ “กำหนดเวลาในการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน” ครับ 

       
       
OECD นี่ถึงขนาดออก Standard Cost Model (SCM) ขึ้นเป็นแนวทางการคำนวณต้นทุนในการปฏิบัติตามกฎหมายของประชาชน (Compliance Cost) ไว้เป็นคู่มือประกอบการกำหนดขั้นตอนต่าง ๆ ของผู้เสนอกฎหมายทางธุรกิจไว้เป็นเรื่องเป็นราว โดยเขาเอาเวลาในแต่ละขั้นตอนเป็นตัวคำนวณด้วยตามสูตรนี้ครับ

       
       
Compliance Cost = Price X Times X Quantity (population x frequency) หรือ

       
ต้นทุนต่อกิจกรรม = ค่าใช้จ่าย X ระยะเวลา X ปริมาณ (ผู้เกี่ยวข้อง X ความถี่)

       
เช่น การที่ผู้ร่างกฎหมายเสนอว่าสมควรกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องได้รับใบอนุญาตทำกิจกรรม ก. ไม่ใช่สักแต่เขียนในกฎหมายว่าต้องทำอย่างไรเพราะมันเป็น “แบบ” แต่ผู้เสนอร่างกฎหมายต้องคิดว่าคนมาขอใบอนุญาตเขาต้องใช้เอกสารใดบ้าง ค่าใช้จ่ายในการทำเอกสารคิดเป็นเงินเท่าใด ต้องใช้แรงงานคนกี่คนในการทำเอกสาร ทำกี่วัน และต้องคิดว่าจะใช้เวลาในการออกใบอนุญาตกี่วัน รวมทั้งต้องคิดว่ามีผู้ประกอบการอย่างน้อยที่สุดกี่รายที่จะต้องมาขอใบอนุญาต กับต้องขอใบอนุญาตครั้งเดียวจบหรือหลายครั้ง แล้วนำมาคำนวณให้เห็นว่ามันเป็นภาระขนาดไหน จะได้รู้ว่ามันคุ้มค่าหรือจำเป็นแค่ไหนในการสร้างขั้นตอนนั้นขึ้นมา

       
       
ตามตัวอย่างข้างต้น ถ้าต้องใช้คนหนึ่งคน ต้องใช้เวลากรอกคำขอและเอกสารประกอบรวม ๓ วัน ค่าใช้จ่ายก็เท่ากับ ๓๐๐ X ๓ = ๙๐๐ บาท รวมกับค่าใช้จ่ายในการถ่ายเอกสารอีกสมมุติว่า ๑๐๐ บาทก็จะเท่ากับ ๑,๐๐๐ บาท ต้องใช้เวลารอจนกว่าจะได้รับใบอนุญาตอีกสมมุติว่า ๖๐ วัน มีผู้ประกอบกิจการนั้นอย่างน้อย ๕,๐๐๐ ราย และขออนุญาตปีละ ๑ ครั้ง ต้นทุนต่อกิจกรรมขอใบอนุญาตนี้จะเท่ากับ ๑,๐๐๐ X ๖๐ X ๕,๐๐๐ X ๑ = ๓๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท!!!

       
       
โอว์ แม่เจ้า!!!!!!! เขียนกฎหมายง่าย ๆ ตามแบบและใช้ระยะเวลาที่ (ผู้เสนอร่างกฎหมายคิดเอาเองว่า) ไม่ยาวนักนี่สร้างต้นทุนถึงสามร้อยสิบล้านบาทต่อปีเป็นอย่างน้อยเจียวหรือ ยังไม่นับค่าเสียโอกาสในช่วงรอ ๖๐ วัน หรือต่อขยายเวลาต่อไปอีกด้วยนะจอร์ช ... นี่ยังไม่ได้คิดอย่างละเอียดลอออย่างฝรั่งมังค่านะครับ แค่คิดแบบดิบ ๆ นี่ก็แย่แล้วละ ...

       
       
เห็นไหมครับว่าเรื่องการกำหนดเวลาในกฎหมายนี่กระทบต่อประชาชนจัง ๆ เลย แถมตีชิ่งไปที่ความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย จึงต้องคิดให้รอบคอบ มโนเอาแบบเดิม ๆ ไม่ได้แล้ว

       
       เรามาสนใจเรื่องพรรค์นี้บ้างดีกว่าไหมครับ?

       
       http://lawdrafter.blogspot.com/2017/11/blog-post.html


 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ผลในทางปฏิบัติ เมื่อครบรอบหกปีของการปฏิรูปการเมือง
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544