หน้าแรก บทความสาระ
ภาวะผู้นำกับการยกเลิกโทษประหารชีวิต
คุณชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ
23 มีนาคม 2557 18:25 น.
 
ติมอร์-เลสเต้ 
       อดีตประธานาธิบดีรามอส-ฮอร์ตาได้กล่าวถึงมูลเหตุจูงใจที่ตนสนับสนุนแนวทางการยกเลิกโทษประหารชีวิตไว้ในบทความที่ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์บางกอกโพสท์ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2555 ว่า “ข้าพเจ้าภูมิใจที่จะพูดว่าสิทธิอันละเมิดมิได้ของการมีชีวิตได้ถูกบัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญของประเทศติมอร์-เลสเตของข้าพเจ้า การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพของประเทศเราไม่ใช่ไม่มีการเสียสละ ในการแสวงหาศักดิ์ศรีและการตัดสินใจด้วยตนเอง บุคคลอันเป็นที่รักของเราหลาย ๆ คนต้องเสียชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งเตือนใจตลอดเวลาถึงคุณค่าศักดิ์สิทธิ์ของการมีชีวิต ดังนั้น สิ่งแรก ๆ สิ่งหนึ่งที่เราทำหลังจากได้รับอิสรภาพเมื่อ10 ปีมาแล้วคือการรับรองว่าจะไม่มีใครได้รับโทษประหารชีวิต”  ปัจจุบันประเทศติมอร์-เลสเตไม่มีโทษประหารชีวิตและบทลงโทษสูงสุดที่ใช้แทน คือ การจำคุก 25 ปี ไม่มีการใช้โทษจำคุกตลอดชีวิต
        
       ฟิลิปปินส์ 
       รัฐสภาประเทศฟิลิปปินส์ผ่านกฎหมายที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตเมื่อเดือนมิถุนายน 2549 โดยนางกลอเรีย มาคาปากัล อาโรโย ประธานาธิบดีในขณะนั้นเป็นผู้ลงนามรับรอง อดีตประธานานาธิบดีอาโรโยกล่าวว่า “เราขอเฉลิมฉลองให้แก่ชัยชนะของฝ่ายที่สนับสนุนคุณค่าของชีวิต ขอบคุณรัฐสภาที่ผ่านกฎหมายฉบับนี้อย่างรวดเร็ว แต่โปรดเข้าใจว่าการยกเลิกโทษประหารชีวิตนั้นจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด”  การยกเลิกโทษประหารชีวิตในฟิลิปปินส์เป็นผลจากความร่วมมือระหว่างองค์กรเอกชน เช่น Free Legal Assistance Group (FLAG) คริสต์จักรโรมันคาธอลิก และสมาชิกรัฐสภา บทลงโทษสูงสุดที่นำมาใช้แทนโทษประหารชีวิต คือ โทษจำคุกตั้งแต่ 20 ปี 1 วัน จนถึง โทษจำคุก 40 ปี ขึ้นอยู่กับฐานความผิด
        
       แอฟริกาใต้ 
       ประเทศแอฟริกาใต้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางกฎหมายสำหรับอาชญากรรมทั่วไปในปี 2538 และสำหรับอาชญากรรมทุกประเภทในปี 2540 หลังจากศาลรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้มีคำวินิจฉัยในปี 2538 ว่าการลงโทษประหารชีวิตนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นบทลงโทษที่ทารุณโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แม้ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในขณะนั้นปรากฎว่า ร้อยละ 62-78 ยังคงสนับสนุนโทษประหารชีวิตอยู่ แต่นายอาเธอร์ ชาสคาร์ลสัน ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า “ แม้ความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่มีข้อกังขาต่อคำวินิจฉัยของศาล แต่เป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องตีความรัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิของประชากรส่วนน้อยที่ไม่สามารถปกป้องสิทธิของตนเองได้ผ่านกระบวนการประชาธิปไตย”
       สาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การผลักดันเพื่อยกเลิกโทษประหารชีวิตในแอฟริกาใต้ คือ ประสบการณ์ในระหว่างการปกครองโดยรัฐบาลที่เหยียดสีผิว มักมีรายงานว่าศาลที่ประกอบด้วยผู้พิพากษาผิวขาวมักจะเลือกปฏิบัติต่อจำเลยผิวสีและใช้บทลงโทษร้ายแรงแก่พวกเขามากกว่าที่ลงโทษจำเลยผิวขาว มีการลงโทษประหารชีวิตต่อประชากรผิวสีทั้งในคดีอาญาทั่วไปและคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดเสียงคัดค้านจากกลุ่มการเมือง ผู้นำศาสนา สหภาพแรงงาน และนักกฎหมาย จนนำไปสู่การเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิกโทษประหารชีวิตในที่สุด หลังจากที่รัฐสภาแอฟริกาใต้แก้ไขกฎหมายอาญาเพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและตราบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิในการมีชีวิตในฐานะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานแล้ว
        
       เซเนกัล 
       ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศเซเนกัลนับถือศาสนาอิสลาม โดยมีเครือข่ายองค์กรอิสลามเป็นกลุ่มสำคัญที่สนับสนุนการคงไว้ซึ่งโทษประหารชีวิต  แม้ศาลจะมีคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิตหลายครั้งในปี 2546-2547 แต่รัฐสภาก็มีความพยายามผ่านกฎหมายเพื่อยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยบุคคลสำคัญที่สนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว คือ นาย Sergine Diop รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้นและเครือข่ายองค์กรเอกชน รวมถึงอดีตประธานาธิบดี Abdoulaye Wade ร่างกฎหมายดังกล่าวจึงผ่านสภาได้สำเร็จในเดือนกรกฎาคม ปี 2547 ประเทศเซเนกัลยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับอาชญากรรมทุกประเภทในเดือนธันวาคม 2547 ส่วนผู้ต้องโทษประหารชีวิตในขณะนั้นก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงโทษเป็นโทษจำคุก
       นอกจากประเทศข้างต้นแล้วยังมีตัวอย่างจากการผลักดันร่างกฎหมายยกเลิกโทษประหารชีวิตในประเทศฝรั่งเศสโดยมีนายโรแบร์ แบดองแต (Robert Badinter) อดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้นเป็นผู้นำคนสำคัญ แม้ว่าในยุค 1980 ประชาชนฝรั่งเศสกว่าร้อยละ 60-65 จะสนับสนุนโทษประหารชีวิตก็ตาม ซึ่งรวมถึงการตัดสินใจของประธานาธิบดีมองโกเลีย และผู้ว่าการรัฐคอนเน็กติคัต รัฐแมรีแลนด์ รัฐนิวเม็กซิโกในสหรัฐอเมริกา
       นอกจากนี้ประสบการณ์ส่วนบุคคลของผู้นำประเทศก็มีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการยกเลิกโทษประหารชีวิต เช่น อดีตประธานาธิบดีเนลสัน เมนเดลาแห่งแอฟริกาใต้ และอดีตประธานาธิบดีคิมแดจุงแห่งเกาหลีใต้ต่างเคยถูกศาลตัดสินลงโทษประหารชีวิตจากคดีที่มูลเหตุจูงใจทางการเมือง เมื่อทั้งสองคนได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจึงสนับสนุนแนวทางการยกเลิกโทษประหารชีวิต
        
       จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้การยกเลิกโทษประหารชีวิตสัมฤทธิผล คือ ภาวะผู้นำทางการเมืองนั่นเอง แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ในแต่ละประเทศในขณะนั้นมักจะคัดค้านการตัดสินใจยกเลิกโทษประหารชีวิตเสมอ แต่ความตระหนักของผู้มีอำนาจตัดสินใจเชิงนโยบายและการยืนหยัดในสิทธิในการมีชีวิตซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนที่มีอย่างเท่าเทียมกัน ประเทศส่วนใหญ่ในปัจจุบันถึง 140ประเทศทั่วโลกจึงต่างมุ่งหน้าสู่การยกเลิกโทษประหารชีวิตเหลือเพียง 58 ประเทศเท่านั้นที่ยังคงมีการบังคับใช้โทษประหารชีวิตอยู่ และแน่นอนว่าไม่ช้าก็เร็วประเทศไทยก็ต้องไปถึงจุดนั้นอย่างแน่นอน ถ้าเรามีผู้นำดังเช่นประเทศที่ได้ยกตัวอย่างมาแล้วข้างต้น
       -------------


 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ผลในทางปฏิบัติ เมื่อครบรอบหกปีของการปฏิรูปการเมือง
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544