คำพิพากษาการขอตีความในคดีปราสาทพระวิหาร: ประเด็นสำคัญที่ควรรู้ |
|
|
|
ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม
สมาชิกสภาพัฒนาการเมือง
|
|
9 กุมภาพันธ์ 2557 19:10 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
1. ความเป็นมา
เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2554 กัมพูชาได้ยื่นขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) ซึ่งต่อไปเรียกว่า ศาลโลก ตีความคำพิพากษาของวันที่ 15 มิ.ย. 2505 ในคดีปราสาทพระวิหาร ตามธรรมนูญของศาลโลกข้อ 60 พร้อมกันนี้กัมพูชาได้ยื่นคำร้องเร่งด่วนขอให้ศาลโลกกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวตามธรรมนูญของศาลโลกข้อ 41 ให้ (1) ไทยถอนกำลังทหารออกจากส่วนของดินแดนกัมพูชาในพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารในทันทีและไม่มีเงื่อนไข (2) ห้ามไทยดำเนินกิจกรรมทางทหารใดๆ ในบริเวณดังกล่าว และ (3) ให้ไทยงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่อาจกระทบสิทธิของกัมพูชาหรือเพิ่มความขัดแย้ง
ในวันที่ 30-31 พ.ค. 2554 ศาลโลกได้รับฟังการให้ถ้อยคำของทั้งไทยและกัมพูชากรณีคำร้องขอของกัมพูชาให้ศาลโลกกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว โดยกัมพูชาสรุปขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวรวม 3 ข้อตามที่กล่าวข้างต้น ในขณะที่ไทยสรุปขอให้ศาลจำหน่ายคดีที่กัมพูชายื่นให้พิจารณาออกจากสารบบความของศาล
ต่อมาในวันที่ 18 ก.ค. 2554 ศาลโลกได้มีคำสั่งยกคำขอของไทยดังกล่าว และกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวให้ทั้งไทยและกัมพูชาถอนกำลังทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว (Provisional Demilitarized Zone: PDZ) ตามที่ศาลได้กำหนด รวมทั้งให้ไทยจะต้องไม่ขัดขวางการเข้าถึงอย่างอิสระของกัมพูชาไปยังปราสาทพระวิหาร ให้ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินความร่วมมือกันต่อไปตามในกรอบอาเซียนรวมทั้งต้องอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์เข้าไปยัง PDZ และให้ทั้งสองฝ่ายต้องงดเว้นจากการกระทำใดๆ ที่อาจทำให้ข้อพิพาทนั้นเกิดมากขึ้น
วันที่ 18 ต.ค. 2554 ครม. ได้มีมติเห็นชอบให้ปฏิบัติตามคำสั่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ และต่อมาวันที่ 18 ก.ค. 2555 ไทยและกัมพูชาได้ปรับกำลังทหารบางส่วนเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลกดังกล่าว
สำหรับกรณีคำขอของกัมพูชาให้ตีความคำพิพากษาของศาลโลก ไทยได้ยื่นข้อสังเกต และกัมพูชาได้ยื่นตอบข้อสังเกตของไทย รวมทั้งไทยได้ยื่นคำอธิบายเพิ่มเติม ทั้งหมดเป็นลายลักษณ์อักษรต่อศาลโลกแล้วเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2554 8 มี.ค. และ 21 มิ.ย. 2555 ตามลำดับ
ในวันที่ 15-19 เม.ย. 2556 ไทยและกัมพูชาได้ให้ถ้อยคำต่อศาลกรณีคำขอของกัมพูชาให้ตีความคำพิพากษาของศาลโลก โดยแต่ละฝ่ายได้มีโอกาสให้ถ้อยคำฝ่ายละ 2 รอบสลับกันโดยเริ่มจากฝ่ายกัมพูชาก่อน
ต่อมาในวันที่ 11 พ.ย. 2556 ศาลโลกได้อ่านคำพิพากษากรณีการขอตีความดังกล่าว
2. เขตอำนาจของศาลเหนือข้อพิพาทระหว่างรัฐ และเงื่อนไขกรณีการขอตีความคำพิพากษา
ตามกฎบัตรสหประชาชาติข้อ 93 สมาชิกทั้งหมดของสหประชาชาติย่อมเป็นภาคีแห่งธรรมนูญศาลโลก แต่ศาลโลกมิได้มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาทของรัฐที่มีลักษณะของการสู้ความ (Contentious jurisdiction) โดยอัตโนมัติเหมือนกับระบบศาลตามกฎหมายภายในของรัฐ ตามธรรมนูญศาลโลกข้อ 36 ศาลโลกจะมีเขตอำนาจในการวินิจฉัยข้อพิพาทก็ต่อเมื่อรัฐคู่พิพาทตกลงยินยอมที่จะเสนอข้อพิพาทดังกล่าวให้ศาลโลกพิจารณา หรือเมื่อรัฐมีคำประกาศ (Declaration) ยอมรับเขตอำนาจของศาลโลกในลักษณะบังคับโดยไม่ต้องมีความตกลงพิเศษกับรัฐอื่นใดซึ่งยอมรับพันธกรณีในลักษณะเดียวกัน ปัจจุบันมี 67 ประเทศที่มีคำประกาศยอมรับเขตอำนาจของศาลโลกในลักษณะดังกล่าวซึ่งมีกัมพูชารวมอยู่ด้วย ในขณะที่ไทยเคยมีคำประกาศดังกล่าวเมื่อปี 2493 แต่ได้ปล่อยให้คำประกาศสิ้นสุดลงโดยไม่ต่อใหม่เมื่อปี 2503
อย่างไรก็ตาม การขอของกัมพูชาให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาของวันที่ 15 มิ.ย. 2505 ในคดีปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นคดีเก่าที่ไทยได้เคยยอมรับเขตอำนาจของศาลโลกและมีคำพิพากษาไปแล้ว จึงสามารถกระทำได้ตามธรรมนูญศาลโลกข้อ 60 ที่ได้บัญญัติว่า คำพิพากษาถือเป็นที่สุดและไม่สามารถอุทธรณ์ได้ แต่ในกรณีของการพิพาทเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตของคำพิพากษา ศาลโลกจะตีความตามที่รัฐคู่พิพาทใดๆ ร้องขอได้ ซึ่งแม้ไทยนิ่งเฉยไม่ให้การต่อศาลโลก ศาลโลกก็สามารถมีคำตัดสินการตีความได้ตามธรรมนูญศาลโลกข้อ 53 ที่ได้บัญญัติว่า เมื่อใดก็ตาม หนึ่งในคู่ความไม่มาปรากฏต่อหน้าศาล หรือไม่มาสู้คดี คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอาจขอให้ศาลตัดสินเป็นคุณแก่ข้อเรียกร้องของตนได้ นอกจากนี้ธรรมนูญศาลโลกยังมิได้กำหนดระยะเวลานับแต่วันที่มีคำพิพากษาที่ต้องยื่นคำขอให้มีการตีความคำพิพากษา
สำหรับคดีต่างๆ ที่มีการขอตีความคำพิพากษาในอดีต ศาลโลกได้เคยวินิจฉัยเงื่อนไขสำคัญของการที่ศาลจะมีเขตอำนาจ (jurisdiction) ภายใต้ธรรมนูญศาลโลกข้อ 60 ที่รับพิจารณาคำขอตีความคำพิพากษา และคำขอตีความคำพิพากษารับฟังได้ (admissible) ไว้ดังนี้
1) เงื่อนไขของการที่ศาลจะมีเขตอำนาจที่รับพิจารณาคำขอตีความคำพิพากษา: จะต้องมีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตของคำพิพากษา ข้อพิพาทต้องมีความแตกต่างกันของความเห็นระหว่างคู่ความในประเด็นที่แน่นอน นอกจากนี้ข้อพิพาทดังกล่าวต้องเกี่ยวกับส่วนที่มีผลผูกพันให้ปฏิบัติ (Operative clause) หรือที่เรียกว่า บทปฏิบัติการของคำพิพากษา และไม่เกี่ยวกับส่วนเหตุผลของคำพิพากษา ยกเว้นกรณีที่ไม่สามารถแยกออกได้จากส่วนที่มีผลผูกพันให้ปฏิบัติ
2) เงื่อนไขของคำขอตีความคำพิพากษารับฟังได้: จุดประสงค์ที่แท้จริงของการขอต้องเพื่อให้มีการตีความคำพิพากษา ซึ่งมีความหมายว่าต้องเป็นเรื่องที่จะขอความชัดเจนของความหมายและขอบเขตของสิ่งที่ศาลได้ตัดสินให้มีผลผูกพัน และมิใช่ขอคำตอบต่อประเด็นที่มิได้มีการตัดสิน อื่นๆ นอกเหนือจากนี้จะทำให้สิ้นผลต่อบทบัญญัติที่ว่า คำพิพากษาถือเป็นที่สุดและไม่สามารถอุทธรณ์ได้
3. คำขอของกัมพูชาให้ศาลโลกตีความคำพิพากษา และข้อต่อสู้ของไทย
ในคดีปราสาทพระวิหารที่กัมพูชายื่นฟ้องไทยต่อศาลโลกเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2502 กัมพูชาได้มีคำแถลงสรุปสุดท้ายเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2505 โดยขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยทั้งหมด 5 ข้อ ต่อมาศาลโลกได้มีคำพิพากษาในวันที่ 15 มิ.ย. 2505 ซึ่งมีข้อความส่วนท้ายดังนี้
ในประการสุดท้าย เมื่อพิจารณาถึงคำแถลงสรุปที่คู่ความได้ยื่นต่อศาลเมื่อตอนจบกระบวนพิจารณาภาควาจา ศาลมีความเห็นดังเหตุผลที่ได้บ่งไว้ในตอนต้นของคำพิพากษานี้ ว่าคำแถลงสรุปข้อที่หนึ่งและข้อที่สองของกัมพูชาที่ขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดในเรื่องสภาพทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1 และในเรื่องเส้นเขตแดนในอาณาบริเวณที่พิพาท จะรับฟังได้ก็แต่เพียงในฐานที่เป็นการแสดงเหตุผล และมิใช่เป็นข้อเรียกร้องที่จะต้องกล่าวถึงในบทปฏิบัติการของคำพิพากษา และมีคำพิพากษาในส่วนของบทปฏิบัติการจำนวนสามวรรคเรียงลำดับตามคำแถลงสรุปข้อที่สามถึงห้าของกัมพูชาดังนี้
โดยคะแนนเสียงเก้าต่อสาม ลงความเห็นว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา
โดยเหตุนี้ จึงพิพากษาโดยคะแนนเสียงเก้าต่อสาม ว่าประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทยส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา
โดยคะแนนเสียงเจ็ดต่อห้า ว่าประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องคืนให้แก่กัมพูชา บรรดาวัตถุชนิดที่ได้ระบุไว้ในคำแถลงสรุปข้อห้าของกัมพูชาซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยอาจจะได้โยกย้ายออกจากปราสาทหรือบริเวณพระวิหาร นับแต่วันที่ประเทศไทยเข้าครอบครองพระวิหารเมื่อ ค.ศ. 1954
แผนที่ภาคผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชาซึ่งต่อไปเรียกว่า แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ฝรั่งเศสทำขึ้นฝ่ายเดียว ตอนเขาดงรัก
ต่อมากัมพูชาได้ยื่นคำขอในวันที่ 28 เม.ย. 2554 ให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาของวันที่ 15 มิ.ย. 2505 โดยนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาในฐานะผู้แทน (Agent) ฝ่ายกัมพูชา ได้แถลงสรุปต่อศาลโลกในวันที่ 18 เม.ย. 2556 ซึ่งมีส่วนที่สำคัญดังนี้
1) การให้การต่อศาลของแต่ละฝ่ายได้แสดงว่าทั้งสองฝ่ายมีข้อพิพาทในความหมายและขอบเขตของคำพิพากษา
2) ข้อพิพาทนั้นเกี่ยวกับการตีความของบทปฏิบัติการของคำพิพากษาทั้งวรรคที่หนึ่งและวรรคที่สอง รวมทั้งการเชื่อมโยงที่แยกไม่ได้ระหว่างทั้งสองวรรคดังกล่าว
3) ข้อพิพาทแต่ละข้อเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ถูกตัดสินโดยศาลให้มีผลผูกพัน ซึ่งรวมถึงความแตกต่างของความเห็นว่าประเด็นเฉพาะประเด็นหนึ่งประเด็นใดได้ถูกตัดสินให้มีผลผูกพันหรือไม่
4) การวินิจฉัยในคำพิพากษาของวันที่ 15 มิ.ย. 2505 เกี่ยวกับสภาพที่มีผลผูกพันของเส้นในแผนที่ภาคผนวก 1 ไม่สามารถแยกออกจากบทปฏิบัติการได้ และขาดไม่ได้สำหรับการตีความคำพิพากษาดังกล่าว
5) เนื่องจากการตัดสินของศาลเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งแสดงถึงพรมแดนระหว่างทั้งสองฝ่าย การแสดงด้วยถ้อยคำ ตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา (วรรคที่หนึ่งของบทปฏิบัติการ) และ อาณาเขตของกัมพูชา (วรรคที่สองของบทปฏิบัติการ) ต้องเป็นที่เข้าใจในการพิจารณาพรมแดนในพื้นที่ของปราสาทพระวิหาร
6) พันธะในการถอนทหารที่ถูกกำหนดในวรรคที่สองของบทปฏิบัติการต้องเป็นที่เข้าใจว่าเป็นพันธะต่อเนื่องขยายไปยังอาณาเขตใดๆ ที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาดังที่ถูกกำหนดในพื้นที่ที่พิพาท
บนพื้นฐานของสิ่งที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น กัมพูชาขอให้ศาลยกคำขอของไทยที่เสนอต่อศาล และขอให้ศาลได้ตีความคำพิพากษาของวันที่ 15 มิ.ย. 2505 ตามธรรมนูญศาลโลกข้อ 60 โดยตามความเห็นของกัมพูชา ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา (วรรคที่หนึ่งของบทปฏิบัติการ) ซึ่งเป็นผลทางกฎหมายของข้อเท็จจริงที่ว่าปราสาทตั้งอยู่ในพรมแดนฝั่งของกัมพูชาโดยที่พรมแดนนั้นได้ยอมรับโดยศาลในคำพิพากษา ดังนั้นพันธะที่ผูกพันไทยให้ ถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแล ที่ประจำการอยู่ที่ปราสาทพระวิหาร หรือในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา (ตามวรรคที่สองของบทปฏิบัติการ) เป็นผลโดยเฉพาะของพันธะทั่วไปและต่อเนื่องในการเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา ซึ่งอาณาเขตนั้นได้ถูกปักปันในพื้นที่ของปราสาทและบริเวณใกล้เคียงของปราสาทโดยเส้นตามแผนที่ภาคผนวก 1 ที่ใช้เป็นพื้นฐานในคำตัดสินของศาล
ในขณะที่ไทยได้มีข้อต่อสู้คัดค้านคำขอของกัมพูชาให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาใน 3 ประเด็นสำคัญดังนี้
1) ศาลโลกไม่มีอำนาจพิจารณาและคำขอตีความของกัมพูชารับฟังไม่ได้ (inadmissible) เนื่องจากคำฟ้องของกัมพูชาไม่ใช่คำขอตีความคำพิพากษาเก่าตามที่กัมพูชาอ้าง แต่เป็นการฟ้องคดีใหม่ซึ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 5-6 ปีมานี้ เพราะกัมพูชาต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกจึงเกิดข้อพิพาทใหม่เรื่องเส้นเขตแดนซึ่งอยู่นอกขอบเขตของคดีเก่าเมื่อปี 2505
ทั้งนี้คดีเก่านั้นได้ถูกจำกัดอยู่ในข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยเหนืออาณาเขต (territorial dispute) ของปราสาทพระวิหารเท่านั้น ไม่ใช่ข้อพิพาทเรื่องเขตแดน (frontier dispute) ศาลจึงไม่ได้มีคำพิพากษาในบทปฏิบัติการเกี่ยวกับเรื่องสภาพทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1 และเรื่องเส้นเขตแดนในอาณาบริเวณที่พิพาท อีกทั้งเส้นเขตแดนตามแผนที่ภาคผนวก 1 ไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่ไม่สามารถแยกออกจากบทปฏิบัติการของคำพิพากษาได้ แต่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่งที่ศาลใช้พิจารณาจากหลายๆ เหตุผลที่แสดงถึงพฤติกรรมที่ไทยนิ่งเฉยไม่โต้แย้งเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารว่าเป็นของตน
อีกทั้งคำว่า บริเวณใกล้เคียง ตามวรรคที่สองของบทปฏิบัติการนั้น เป็นคำที่มีความหมายทั่วไป ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะกำหนดพื้นที่อาณาเขต (territorial area) แต่เป็นเพียงการกำหนดเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ทางทหารในการถอนกำลังออกจากปราสาทและที่ข้างเคียง (close by) เท่านั้น เพื่อให้เป็นไปตามคำขอของกัมพูชาในคดีเดิมซึ่งขอให้ไทยถอนทหารออกจากบริเวณสิ่งหักพังของปราสาทพระวิหาร
2) ไทยและกัมพูชาไม่มีข้อพิพาทในเรื่องการตีความคำพิพากษาในคดีเดิม กัมพูชาได้ยอมรับอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2505 ว่าไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว โดยไทยได้ถอนกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ออกจากปราสาทพระวิหารและบริเวณใกล้เคียงปราสาทตามขอบเขตที่กำหนดโดยมติ ครม. วันที่ 10 ก.ค. 2505 ซึ่งสอดคล้องกับขอบเขตพื้นที่พิพาทในคดีเดิมตามความเข้าใจทั้งของคู่ความและของศาล
ทั้งนี้มีหลักฐานหลายอย่างที่แสดงว่ากัมพูชาพอใจกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาของไทยแล้ว เช่น ถ้อยแถลงต่อสมัชชาสหประชาชาติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาเมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2505 ว่าไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว และการเสด็จไปยังปราสาทพระวิหารของเจ้าสีหนุเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2506 และทรงตรัสเกี่ยวกับแนวรั้วลวดหนามที่กำหนดขอบเขตตามมติ ครม. ของไทยว่า ไทยรุกล้ำอาณาเขตของกัมพูชาที่ศาลโลกได้ตัดสินให้เพียงไม่กี่เมตร พระองค์จะไม่ทรงทำให้เป็นประเด็นสำหรับเรื่องซึ่งไม่สำคัญนี้ เป็นต้น
3) คำฟ้องของกัมพูชาเป็นเสมือนการอุทธรณ์ที่ซ่อนมาในรูปคำขอตีความ ซึ่งขัดต่อธรรมนูญศาลโลกและแนวคำพิพากษาของศาลเรื่องการตีความ เนื่องจากกัมพูชาขอตีความคำพิพากษาในส่วนที่เป็นเหตุผล ไม่ใช่ส่วนที่เป็นคำตัดสิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขอให้ศาลตัดสินสิ่งที่ศาลได้เคยปฏิเสธที่จะตัดสินให้แล้วอย่างชัดเจนเมื่อปี 2505 เพราะอยู่นอกขอบเขตของคดี ซึ่งก็คือขอให้ศาลตัดสินสถานะทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1 และเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาในบริเวณปราสาทพระวิหาร
ในวันที่ 19 เม.ย. 2556 นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ในฐานะผู้แทนฝ่ายไทย ได้แถลงสรุปต่อศาลโลกโดยมีส่วนที่สำคัญดังนี้
ราชอาณาจักรไทยขอให้ศาลพิพากษาและชี้ขาด
1) ว่าคำขอของราชอาณาจักรกัมพูชาที่ขอให้ศาลตีความคำพิพากษาของวันที่ 15 มิ.ย. 2505 ในคดีปราสาทพระวิหารตามข้อ 60 ของธรรมนูญศาลโลก ไม่เข้าเงื่อนไขที่ระบุไว้ในข้อดังกล่าว และดังนั้นศาลไม่มีอำนาจที่จะรับคำขอ และ/หรือว่าคำขอนั้นรับฟังไม่ได้
2) ในอีกทางเลือกหนึ่ง ว่าไม่มีเหตุผลในการรับคำขอของกัมพูชาให้ตีความคำพิพากษา และไม่มีเหตุผลที่จะตีความคำพิพากษาของปี 2505 และ
3) ชี้ขาดอย่างเป็นทางการว่า คำพิพากษาของปี 2505 ไม่ได้วินิจฉัยโดยมีผลผูกพันในเรื่องเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา และไม่ได้กำหนดขอบเขตของบริเวณใกล้เคียงปราสาท
3. คำพิพากษาการขอตีความในคดีปราสาทพระวิหาร
ในวันที่ 11 พ.ย. 2556 ศาลโลกได้มีคำพิพากษาการขอตีความคำพิพากษาของวันที่ 15 มิ.ย. 2505 ในคดีปราสาทพระวิหาร โดยในส่วนของบทปฏิบัติการของคำพิพากษาซึ่งมีผลผูกพันทั้งสองฝ่ายเป็นดังนี้
ศาล
(1) อย่างเป็นเอกฉันท์ ลงความเห็นว่า ศาลมีเขตอำนาจภายใต้ข้อ 60 ของธรรมนูญศาลที่รับพิจารณาคำขอตีความคำพิพากษา ค.ศ. 1962 ที่ยื่นโดยกัมพูชา และคำขอนี้รับฟังได้
(2) อย่างเป็นเอกฉันท์ ชี้ขาดโดยทางการตีความว่า คำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ค.ศ. 1962 ได้ตัดสินว่า กัมพูชามีอธิปไตยเหนืออาณาเขตทั้งหมดของชะง่อนผาพระวิหาร (the promontory of Preah Vihear) ซึ่งถูกกำหนดในวรรค 98 ของคำพิพากษาปัจจุบัน และเป็นผลให้ไทยมีพันธะที่ต้องถอนออกจากอาณาเขตนั้น บรรดากำลังทหารหรือตำรวจไทย หรือ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลที่ประจำอยู่ที่นั่น
โดยวรรค 98 ของคำพิพากษาปัจจุบัน มีข้อความดังนี้
98. จากการให้เหตุผลในคำพิพากษา ค.ศ. 1962 ซึ่งเห็นได้ในการพิจารณาในการให้การในกระบวนพิจารณาเดิม เห็นได้ชัดว่า ขอบเขตของชะง่อนผาพระวิหารทางทิศใต้ของเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 ประกอบด้วยลักษณะทางธรรมชาติ ทางทิศตะวันออก ใต้ และตะวันตกเฉียงใต้ ชะง่อนผาลดต่ำลงเป็นหน้าผาที่ลาดชันไปยังที่ราบของกัมพูชา คู่กรณีได้เห็นพ้องกันใน ค.ศ. 1962 ว่าหน้าผานี้และพื้นดินที่ตีนของหน้าผาอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาในทุกกรณี ทางทิศตะวันตก และตะวันตกเฉียงเหนือ พื้นดินลดต่ำลงเป็นที่ลาดเอียงซึ่งลาดชันน้อยกว่าหน้าผา ไปยังหุบเขาซึ่งแยกพระวิหารออกจากภูมะเขือ (the hill of Phnom Trap) ที่อยู่ใกล้เคียง แต่อย่างไรก็ตามก็เป็นหุบเขาซึ่งตัวมันเองลดต่ำลงไปในทิศใต้สู่พื้นที่ราบของกัมพูชา (ดูวรรค 89 ข้างบน) สำหรับเหตุผลที่ได้ให้ไว้แล้ว (ดูวรรค 92-97 ข้างบน) ศาลเห็นว่าภูมะเขืออยู่นอกพื้นที่พิพาท และคำพิพากษา ค.ศ. 1962 ไม่ได้หยิบยกคำถามว่ามันอยู่ในอาณาเขตของไทยหรือกัมพูชา ดังนั้นศาลเห็นว่าชะง่อนผาพระวิหารสิ้นสุดลงที่ตีนภูมะเขือ ซึ่งพูดได้ว่า ที่ซึ่งพื้นดินเริ่มสูงขึ้นจากหุบเขา
ในทิศเหนือ ขอบเขตของชะง่อนผาเป็นตามเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 จากจุดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทที่ซึ่งเส้นนั้นจดหน้าผา ไปยังจุดในทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ซึ่งพื้นดินเริ่มสูงขึ้นจากหุบเขาที่ตีนภูมะเขือ
ศาลเห็นว่าวรรคที่สองของบทปฏิบัติการของคำพิพากษา ค.ศ. 1962 กำหนดให้ประเทศไทยถอนจากอาณาเขตทั้งหมดของชะง่อนผาพระวิหารดังที่ได้กำหนด ไปยังอาณาเขตของไทย บรรดาเจ้าหน้าที่ของไทยซึ่งได้ประจำอยู่ที่ชะง่อนผานั้น
สำหรับคำว่า the promontory of Preah Vihear นั้น ในหนังสือคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร ที่จัดพิมพ์โดยสำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2505 ได้แปลเป็นไทยโดยใช้คำว่า ยอดเขาพระวิหาร แต่ในที่นี้ใช้คำว่า ชะง่อนผาพระวิหาร เพื่อให้สอดคล้องกับภูมิลักษณะของเขาพระวิหารซึ่งมีลักษณะเป็นชะง่อนผายื่นสูงขึ้นมาในลักษณะคล้ายกับแหลม ถ้าจะพูดคร่าวๆ ให้เข้าใจง่ายแล้ว ชะง่อนผาพระวิหารก็คือตัวเขาพระวิหารนั่นเอง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารของวันที่ 15 มิ.ย. 2505 มีการกล่าวถึง ชะง่อนผาพระวิหาร (the promontory of Preah Vihear) เพียง 3 ที่ดังนี้
1) วรรคแรกในหน้าที่ 15 ของคำพิพากษา ซึ่งกล่าวว่า . . . ปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่บนชะง่อนผาที่มีชื่อเดียวกัน อันประกอบเป็นส่วนตะวันออกของทิวเขาดงรัก ซึ่งกล่าวโดยทั่วไปแล้วเป็นเขตแดนระหว่างประเทศทั้งสอง กล่าวคือ ประเทศกัมพูชาอยู่ทางด้านใต้ และประเทศไทยทางด้านเหนือ . . .
2) วรรคแรกในหน้าที่ 21 ของคำพิพากษา ซึ่งกล่าวว่า . . . และบนแผนที่ฉบับนี้มีเส้นเขตแดนซึ่งดูเสมือนว่าเป็นผลจากการกำหนดเส้นเขตแดนและซึ่งแสดงว่าชะง่อนผาพระวิหารทั้งหมดรวมทั้งเขตปราสาทอยู่ทางด้านกัมพูชา . . .
3) วรรคสามในหน้าที่ 26 ของคำพิพากษา ซึ่งกล่าวว่า . . . ถ้าหากว่าลักษณะสัณฐานภูมิศาสตร์ของพื้นที่นี้เป็นที่เห็นได้ชัดแก่ทุกคนที่เคยไปยังที่นั้นว่าสันปันน้ำเป็นไปตามเส้นขอบหน้าผาดังที่ประเทศไทยได้กล่าวอ้างแล้ว (ข้อเท็จจริงซึ่งถ้าเป็นความจริงย่อมต้องเห็นได้ชัดเช่นกันใน ค.ศ. 1908) แผนที่ฉบับนี้ก็ได้แสดงไว้อย่างชัดเจนว่า เส้นเขตแดนตามภาคผนวก 1 ในอาณาบริเวณนี้มิได้เป็นไปตามขอบหน้าผา แต่กลับหันเหขึ้นไปทางเหนือของชะง่อนผาพระวิหารทั้งหมดอย่างเห็นได้ชัดเจนไม่มีใครที่ดูแผนที่นี้แล้วจะเกิดความเข้าใจผิดในเรื่องนี้ได้
ในการมีคำพิพากษาในส่วนของบทปฏิบัติการตามข้อ (1) และ (2) ดังกล่าวข้างต้น ศาลได้มีคำพิพากษาในส่วนของเหตุผลดังนี้
สำหรับข้อ (1) ศาลเห็นว่ามีข้อพิพาทระหว่างทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาปี 2505 ใน 3 ประเด็นดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง มีข้อพิพาทว่าคำพิพากษาปี 2505 ได้ตัดสินให้มีผลผูกพันหรือไม่ว่า เส้นตามแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นเส้นกำหนดเขตแดนระหว่างทั้งสองฝ่ายในพื้นที่ของปราสาทพระวิหาร ประเด็นที่สอง มีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของข้อความ บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา (vicinity on Cambodian territory ซึ่งกล่าวถึงในวรรคที่สองของบทปฏิบัติการของคำพิพากษาปี 2505 ประเด็นที่สาม มีข้อพิพาทเกี่ยวกับลักษณะของพันธะของไทยที่ต้องถอนกำลังทหารตามวรรคที่สองของบทปฏิบัติการของคำพิพากษาปี 2505 ศาลจึงสรุปว่า ศาลมีเขตอำนาจภายใต้ธรรมนูญศาลโลกข้อ 60 ที่รับพิจารณาคำขอตีความคำพิพากษาได้
อีกทั้งจากข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาปี 2505 ดังกล่าวข้างต้น ศาลเห็นว่า มีความจำเป็นสำหรับการตีความวรรคที่สองของบทปฏิบัติการของคำพิพากษาปี 2505 และผลทางกฎหมายของสิ่งที่ศาลได้กล่าวถึงเกี่ยวกับเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 ภายใต้ขอบเขตนี้ คำขอตีความของกัมพูชาจึงรับฟังได้
สำหรับข้อ (2) ศาลเห็นว่า มีสามลักษณะสำคัญของคำพิพากษาปี 2505 ประการแรก ข้อพิพาทเป็นเรื่องอธิปไตยเหนืออาณาเขต (territorial sovereignty) ของพื้นที่ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ ไม่เกี่ยวกับการปักปันเขตแดน (delimiting the frontier) ประการที่สอง แผนที่ภาคผนวก 1 มีบทบาทสำคัญในการให้เหตุผลของศาล ประการที่สาม ในการกำหนดข้อพิพาท ศาลได้ทำให้เกิดความชัดเจนว่า มันเกี่ยวเพียงแต่อธิปไตยในเขต (region) ของปราสาทพระวิหาร และเขตนี้ประกอบด้วยพื้นที่เล็กๆ ซึ่งปรากฏจากกระบวนการพิจารณาคดีปี 2505 รวมทั้งศาลได้บรรยายเขตดังกล่าวไว้ดังนี้
ปราสาทพระวิหาร . . . . . ตั้งอยู่บนชะง่อนผา (promontory) ที่มีชื่อเดียวกัน อันประกอบเป็นส่วนตะวันออกของทิวเขาดงรัก ซึ่งกล่าวโดยทั่วไปแล้วเป็นเขตแดนระหว่างประเทศทั้งสองในบริเวณนี้ กัมพูชาอยู่ทางด้านใต้ และประเทศไทยอยู่ทางด้านเหนือ ส่วนใหญ่ของทิวเขานี้ประกอบด้วยหน้าผาตั้งชันขึ้นไปจากที่ราบของกัมพูชา เขาพระวิหารเองก็มีลักษณะเช่นนี้ ส่วนก่อสร้างที่สำคัญของปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนยอดของพื้นที่สูงรูปสามเหลี่ยมซึ่งชะโงกออกไปเหนือที่ราบเบื้องล่าง
ศาลได้กล่าวอีกว่า วรรคที่สองและที่สามของบทปฏิบัติการของคำพิพากษาปี 2505 เป็นผลตามมาจากคำตัดสินในวรรคที่หนึ่งของบทปฏิบัติการดังกล่าว ดังนั้นทั้งสามวรรคของบทปฏิบัติการต้องถูกพิจารณารวมกัน
สำหรับวรรคที่สองของบทปฏิบัติการกำหนดให้ไทยต้องถอนกำลังเจ้าหน้าที่ซึ่งได้ส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา ดังนั้นศาลเห็นว่าต้องเริ่มโดยการตรวจสอบหลักฐานต่อศาลในปี 2505 เกี่ยวกับตำแหน่งที่ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยประจำการอยู่ จากหลักฐานที่ให้โดยแอคเคอร์แมนน์ (Ackermann) ผู้เชี่ยวชาญและพยานของไทยซึ่งเคยไปยังปราสาทพระวิหารเป็นเวลาหลายวันในเดือนกรกฎาคม 2504 เขาได้ให้การว่า ระหว่างการไปที่นั้น ที่ชะง่อนผาพระวิหารเขาได้เห็นตำรวจตระเวนชายแดนและผู้เฝ้าปราสาทหนึ่งคน โดยตำรวจตระเวนชายแดนประจำการอยู่ที่ค่ายพักซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาท ในขณะที่ผู้เฝ้าปราสาทอาศัยอยู่ในบ้านแยกกันในระยะทางสั้นๆ ไปทางตะวันตกของค่ายพักตำรวจตระเวนชายแดน
ทนายของไทยได้ยืนยันต่อมาว่า ค่ายพักตำรวจอยู่ทางทิศใต้ของเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 แต่อยู่เหนือเส้นซึ่งกัมพูชากล่าวว่าเป็นเส้นสันปันน้ำในกระบวนการพิจารณาคดีปี 2505 ดังนั้นจึงปรากฏชัดเจนว่า ตำรวจไทยได้ไปประจำการที่ตำแหน่งเหนือเส้นที่ต่อมาได้ถูกกำหนดโดยมติ ครม. ไทยเมื่อปี 2505 ซึ่งอยู่นอกเขตที่ไทยเห็นว่าเป็นบริเวณใกล้เคียงปราสาทบนอาณาเขตของกัมพูชา ดังนั้นบริเวณใกล้เคียงปราสาทบนอาณาเขตของกัมพูชาต้องถึงตีความออกไปอย่างน้อยไปยังพื้นที่ที่ตำรวจไทยได้ประจำการอยู่ในเวลานั้น
ศาลในคดีเดิมได้เน้นในการบรรยายพื้นที่รอบๆ ปราสาทว่า ปราสาทตั้งอยู่บนที่ทางภูมิศาสตร์ที่บ่งบอกได้ง่าย ที่นั้นก็คือชะง่อนผา นอกจากนี้จากการให้เหตุผลของศาลในคดีเดิมเกี่ยวกับความสำคัญของแผนที่ภาคผนวก 1 แสดงให้เห็นว่า ศาลได้เห็นว่าอาณาเขตของกัมพูชาขยายออกไปทางทิศเหนือไกลถึงเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 ด้วยเหตุนี้ศาลเห็นว่า ขอบเขตของอาณาเขตตามวรรคที่สองของบทปฏิบัติการต้องถูกตีความให้ขยายไปยังชะง่อนผาทั้งหมดตามวรรคที่ 98 ของคำพิพากษาปัจจุบัน
นอกจากนี้ศาลยังได้สรุปว่า ขอบเขตของอาณาเขตที่กล่าวถึงในทั้งสามวรรคของบทปฏิบัติการของคำพิพากษาปี 2505 กล่าวคือ อาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ตามวรรคที่หนึ่ง บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา ตามวรรคที่สอง และ บริเวณปราสาทพระวิหาร ตามวรรคที่สาม มีความหมายเหมือนกันคือเป็นอาณาเขตทั้งหมดของชะง่อนผ่าพระวิหารตามวรรคที่ 98 ของคำพิพากษาปัจจุบัน
อีกทั้งศาลไม่เห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาว่า คำพิพากษาปี 2505 ได้ตัดสินโดยมีผลผูกพันเกี่ยวกับเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาหรือไม่ เนื่องจากข้อพิพาทในคดีเดิมเกี่ยวแต่เพียงอธิปไตยเหนือชะง่อนผาพระวิหารเท่านั้น รวมทั้งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาลักษณะของพันธะที่ไทยต้องถอนกำลังเจ้าหน้าที่ตามวรรคที่สองของบทปฏิบัติการของคำพิพากษาเดิม เนื่องจากเมื่อข้อพิพาทเกี่ยวกับอธิปไตยเหนืออาณาเขตได้ถูกแก้และความไม่แน่นอนได้หมดไป แต่ละฝ่ายต้องดำเนินการโดยสุจริต (in good faith) ตามพันธะที่ทุกรัฐต้องเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐอื่นๆ ทั้งหมด
- 4. สิ่งที่เสีย สิ่งที่ได้ และที่เข้าใจคลาดเคลื่อน
จากคำพิพากษาการขอตีความดังกล่าว มีสิ่งที่ไทยเสียและได้ รวมทั้งสิ่งที่หลายคนเข้าใจคลาดเคลื่อน ดังนี้
1) สิ่งที่ไทยเสีย
ถึงแม้ภาครัฐจะไม่พูดให้ประชาชนทราบอย่างชัดเจนว่าพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารนั้น ไทยจะต้องเสียให้แก่กัมพูชาเพิ่มอีกเท่าใดจากพื้นที่เดิมตามแนวรั้วลวดหนามตามมติ ครม. เมื่อปี 2505 โดยกล่าวอย่างคลุมเครือว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องไปเจราจากันต่อไป แต่จากคำพิพากษาดังกล่าวข้างต้น เป็นที่ชัดเจนว่าศาลได้กำหนดอาณาเขตของชะง่อนผาพระวิหารที่ให้ตกเป็นของกัมพูชาไว้อย่างชัดเจนโดยอ้างอิงภูมิประเทศในบริเวณดังกล่าวดังนี้
ทางทิศตะวันออก ใต้ และตะวันตกเฉียงใต้ อาณาเขตเป็นไปตามแนวหน้าผาของเขาพระวิหาร
ทางทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือ อาณาเขตเป็นไปตามแนวตีนภูมะเขือ
ทางทิศเหนือ อาณาเขตเป็นไปตามเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 จากจุดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทที่ซึ่งเส้นนั้นจดหน้าผา ไปยังจุดในทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ซึ่งพื้นดินเริ่มสูงขึ้นจากหุบเขาที่ตีนภูมะเขือ
2) สิ่งที่ไทยได้
2.1) ศาลไม่ได้พิพากษาให้พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ทั้งหมดตกเป็นของกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลเห็นว่า ภูมะเขืออยู่นอกพื้นที่พิพาท และคำพิพากษาปี 2505 ไม่ได้หยิบยกคำถามว่ามันอยู่ในอาณาเขตของไทยหรือกัมพูชา จึงมีเฉพาะชะง่อนผาพระวิหารซึ่งมีอาณาเขตตามที่กล่าวในข้อ 3 เท่านั้นที่ตกเป็นของกัมพูชา
2.2) เส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 ผูกพันไทยเฉพาะบริเวณชะง่อนผาพระวิหารทางทิศเหนือเท่านั้น โดยใช้เป็นเส้นกำหนดอาณาเขตชะง่อนผาพระวิหารตามที่กล่าวในข้อ 3 ส่วนเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 บริเวณนอกเหนือจากนี้ไม่มีผลผูกพันไทย อย่างไรก็ตาม กัมพูชาคงอ้างคำพิพากษาดังกล่าวเพื่อใช้ประโยชน์ในการสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของตนที่ว่าเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนวเป็นไปตามแผนที่ภาคผนวก 1 และแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ฝรั่งเศสทำขึ้นฝ่ายเดียว ระวางอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
แต่ไทยมีความชอบธรรมที่จะปฏิเสธข้อกล่าวอ้างดังกล่าวเนื่องจากคำพิพากษาดังกล่าวจำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะบริเวณชะง่อนผาพระวิหารเท่านั้น โดยมิได้กล่าวถึงบริเวณอื่น หากกัมพูชาต้องการขยายผลไปยังบริเวณอื่น กัมพูชาต้องยื่นฟ้องไทยต่อศาลโลกใหม่ ซึ่งย่อมไม่สามารถกระทำได้เพราะไทยได้ปล่อยให้คำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกสิ้นสุดลงโดยไม่ต่อใหม่ตั้งแต่เมื่อปี 2503 แล้ว
2.3) ศาลรับทราบข้อโต้แย้งของไทยเกี่ยวกับความยากในการถ่ายทอดเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 ลงบนพื้นที่จริง โดยให้ทั้งสองฝ่ายมีพันธะที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลโดยสุจริต (in good faith) ซึ่งพันธะดังกล่าวไม่อนุญาตให้ฝ่ายใดดำเนินการได้โดยฝ่ายเดียว ดังที่ศาลได้กล่าวไว้ในวรรค 99 ของคำพิพากษาปัจจุบัน เนื่องจากการปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลโลกไม่ได้มีกำหนดเวลา ไทยจึงไม่จำเป็นต้องรีบดำเนินการตราบเท่าที่การดำเนินการของไทยยังเป็นไปอย่างสุจริตก็จะไม่มีปัญหาอะไร ยิ่งไปกว่านั้นกัมพูชาไม่สามารถดำเนินการไปกำหนดอะไรได้โดยฝ่ายเดียว นอกจากนี้การถ่ายทอดเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 ลงบนพื้นที่จริงยังทำได้ยากและมีหลายวิธี โดยการเลือกจุดบนเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 เพื่อนำมาถ่ายทอดลงบนพื้นที่จริงมีลักษณะเลือกได้ตามใจชอบ (arbitrary)
3) สิ่งที่หลายคนเข้าใจคลาดเคลื่อน
สิ่งต่อไปนี้เป็นเรื่องที่หลายคนเข้าใจคลาดเคลื่อนเนื่องจากภาครัฐพูดคลุมเครือในเรื่องดังกล่าว
3.1) ศาลโลกไม่ได้กำหนดพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทที่ไทยต้องถอนกำลังทหารอย่างชัดเจน ทั้งสองฝ่ายต้องไปเจรจาตกลงกัน อีกทั้งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ขนาดเล็กมาก แต่ที่จริงแล้วศาลได้กำหนดพื้นที่ดังกล่าวอย่างชัดเจนตามที่กล่าวแล้วในข้อ 3 เพียงแต่ว่าพิกัดที่แท้จริงอย่างเช่น แนวตีนภูมะเขือ และแนวเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 ทั้งสองฝ่ายจะต้องทำการสำรวจในภูมิประเทศจริง และหารือกันเพื่อหาข้อสรุปในการกำหนดพิกัดที่แท้จริงของแนวดังกล่าว นอกจากนี้จากการเปรียบเทียบพื้นที่ดังกล่าวซึ่งครอบคลุมอาณาเขตทั้งหมดของชะง่อนผาพระวิหารน่าจะมีพื้นที่ใกล้เคียงครึ่งหนึ่งของพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน 4.6 ตร.กม. (1 ตร.กม. = 625 ไร่) จึงไม่ได้เป็นพื้นที่ขนาดเล็กมากอย่างที่หลายคนเข้าใจ จริงๆ แล้วที่ศาลโลกกล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก เนื่องจากได้ไปเปรียบเทียบกับพื้นที่ที่เส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 ครอบคลุมทั้งหมด
3.2) ศาลโลกไม่ได้พิพากษาตีความให้แผนที่ภาคผนวก 1 ผูกพันไทย แต่ที่จริงแล้วศาลได้พิพากษาให้เส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 เฉพาะบริเวณชะง่อนผาพระวิหารมีผลผูกพันไทยในฐานะเส้นกำหนดอาณาเขตของชะง่อนผาพระวิหารทางทิศเหนือตามที่กล่าวแล้วในข้อ 3
3.3) ศาลโลกให้ไทยและกัมพูชาร่วมมือกันอนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะมรดกโลก ยิ่งไปกว่านั้นบางคนเข้าใจไปไกลว่าศาลโลกให้ไทยและกัมพูชาร่วมกันบริหารจัดการพัฒนาปราสาทพระวิหาร แต่ที่จริงแล้วศาลโลกกล่าวในตอนหนึ่งของวรรค 106 ของคำพิพากษาปัจจุบันเพียงว่า ภายใต้ข้อ 6 ของอนุสัญญามรดกโลกซึ่งทั้งสองฝ่ายเป็นภาคี กัมพูชาและไทยต้องร่วมมือระหว่างกันและกับประชาคมระหว่างประเทศในการคุ้มครองปราสาทพระวิหารในฐานะมรดกโลก ซึ่งเป็นหน้าที่ปกติของทุกรัฐที่เป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกอยู่แล้ว ศาลไม่ได้กล่าวให้ไทยและกัมพูชาร่วมมือกันอนุรักษ์และพัฒนา หรือร่วมกันบริหารจัดการพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะมรดกโลกแต่อย่างใด
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|