หน้าแรก บทความสาระ
ท่านปรีดีกับศาลปกครอง ตอนแรก
รศ.ดร. โภคิน พลกุล
20 ธันวาคม 2547 16:23 น.
 
1 | 2
หน้าถัดไป

       
บทที่ 2


       การกลับสู่แนวคิดว่าควรจะมีศาลปกครอง (พ.ศ. 2517 – 2532)


                   
       หลังจากเกิดเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 อันเป็นผลให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย การร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนั้นได้รับความร่วมมือจากผู้ทรงคุณวุฒิของประเทศจำนวนมาก บรรยากาศในการประชุมเป็นไปโดยอิสระ มีการแสดง
       ความคิดเห็นกันอย่างเต็มที่จนทำให้รัฐธรรมนูญฯ ฉบับ พ.ศ. 2517 ได้ชื่อว่ามีความสมบูรณ์และ
       เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดฉบับหนึ่งจนศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ บรรยายการร่าง
       รัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่าเป็นไปโดยอิสระเต็มที่ปราศจากการแทรกแซงชี้นำจากผู้มีอำนาจและการพิจารณาอยู่บนเหตุผลที่มีหลักวิชาการสนับสนุนเต็มที่และได้มีความตื่นตัวในกฎหมายมหาชน โดยเฉพาะกฎหมายปกครองและนักกฎหมายมหาชนรวมทั้งนักนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยด้วย44/A> ผลจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความคิดทางการเมืองและทางกฎหมายมหาชนโดยเฉพาะกฎหมายปกครองที่เป็นรูปธรรมขึ้น นั่นคือการบัญญัติรับรองให้มีศาลปกครองในรัฐธรรมนูญเป็น
       ครั้งแรก แม้จะไม่มีความชัดเจนว่าเป็นการจัดตั้งศาลปกครองในระบบ“ศาลเดี่ยว” หรือ “ศาลคู่” ก็ตาม
       


       1. การยอมรับโดยกฎหมาย


                   
       แนวคิดเกี่ยวกับการควบคุมการใช้อำนาจโดยมิชอบของฝ่ายปกครอง ซึ่งถือเป็นรากฐานของนิติรัฐนั้น เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากและจำต้องมีการยอมรับตลอดจนรับรองแนวคิดดังกล่าวให้ชัดเจน ซึ่งปรากฏเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติครั้งที่ 18 – 19 เมื่อวันที่ 28 – 29 มีนาคม 2517 ว่าจะใช้ระบบใดในการควบคุมดังกล่าว ซึ่งก็ได้รับการยอมรับว่าในคดีปกครอง ต้องใช้
       กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายปกครองตัดสินและต้องมีระบบวินิจฉัยชี้ขาดโดยเฉพาะ ตลอดจน
       มีผู้พิพากษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะที่มีความเป็นอิสระ ด้วยเหตุนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
       พุทธศักราช 2517 มาตรา 212 จึงบัญญัติรับรองว่า

                   
       “ศาลปกครองและศาลในสาขาแรงงาน สาขาภาษีหรือสาขาสังคม จะตั้งขึ้นได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ
       การแต่งตั้งและการให้ผู้พิพากษาพ้นจากตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ของศาลตลอดจนวิธีพิจารณาของศาลตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลนั้น”
45/A>


       1.2 การรับรองแนวคิดในการจัดตั้งศาลปกครองโดยพระราชบัญญัติ


                   
                   
       การบัญญัติรับรองให้มีศาลปกครองไว้ในรัฐธรรมนูญย่อมเป็นหลักประกันในทางกฎหมาย ซึ่งผูกพันฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติว่าได้ยอมรับแนวคิดให้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นในประเทศไทย ดังนั้น พระราชบัญญัติหลายฉบับที่ตราออกมา จึงได้บัญญัติรับรองการจัดตั้งศาลปกครองตามรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ

                   
       1.2 การรับรองแนวคิดในการจัดตั้งศาลปกครองโดยพระราชบัญญัติ

                   
       พระราชบัญญัติผังเมือง พ.ศ. 2518

                   
       มาตรา 70 บัญญัติว่า “ผู้มีสิทธิอุทธรณ์อาจอุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วัน
       ได้รับคำสั่งหรือหนังสือแจ้งความ ในกรณีต่อไปนี้

                   
       (1)...................................................................................................................
       ฯลฯ
       (8).............................................................................................................................


                   
       อุทธรณ์กรณี (4) และ (6) ให้ยื่นต่อคณะกรรมการบริหารการผังเมืองส่วนท้องถิ่น ในกรณี (1) (2) (3) (5) (7) และ (8) ให้ยื่นต่อคณะกรรมการอุทธรณ์

                   
       เมื่อคณะกรรมการบริหารการผังเมืองส่วนท้องถิ่น หรือคณะกรรมการอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี ได้มีคำวินิจฉัยแล้ว หากผู้อุทธรณ์ไม่พอใจในคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์ย่อมมีสิทธิยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้น ในกรณีที่ยังมิได้มีการตั้งศาลปกครองตามรัฐธรรมนูญ มิให้นำความในวรรคนี้มาใช้บังคับ”

                   
       
       2 พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518


                   
       มาตรา 42 บัญญัติว่า “ให้คณะกรรมการอุทธรณ์มีอำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัย
       คำอุทธรณ์ที่ยื่นต่อคณะกรรมการอุทธ์ให้กรรมการอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด
       เก้าสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์
       หากผู้อุทธรณ์ไม่พอใจในคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือน ในกรณีที่ยังมิได้มีการตั้งศาลปกครองตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มิให้นำความดังกล่าวนี้มาใช้บังคับ”


                   
       3. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2521

                   
       มาตรา 29 บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีข้อกล่าวหาว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใด
       สิ้นสุดลงเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 28 (4) (5) หรือ (6) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง
       คณะกรรมการเพื่อดำเนินการสอบสวน ถ้าคณะกรรมการรายงานว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนนั้นสิ้นสุดลงตามข้อกล่าวหานั้นและผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นชอบด้วย ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง

                   
       สมาชิกซึ่งถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง มีสิทธิยื่นฟ้องต่อศาล
       ปกครอง
เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง คำพิพากษาของศาล
       ปกครอง
ให้เป็นที่สุด...”


                   
       มาตรา 101 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ปลัดเมืองพัทยาเห็นว่าผู้ว่าราชการจังหวัดหรือ
       รัฐมนตรีได้สั่งการตามมาตรา 100 โดยมิชอบ ปลัดเมืองพัทยาจะนำเรื่องขึ้นฟ้องเป็นคดีต่อ
       ศาลปกครองเพื่อวินิจฉัยได้นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง”


                   
       มาตรา 114 บัญญัติว่า “การฟ้องคดีตามวรรคหนึ่ง ต้องกระทำภายในเดือนหนึ่ง
       ในระหว่างที่ยังไม่มีศาลปกครองให้ผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด และถ้าเป็นการฟ้องคดีตาม มาตรา 29 ให้คำพิพากษาของศาลจังหวัดเป็นที่สุด”

                   
        นอกจากนี้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 มาตรา 107 และ
       พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2518 มาตรา 31 และมาตรา 90
       ก็ได้บัญญัติเรื่องศาลปกครองไว้ด้วย แต่ต่อมาได้มีการยกเลิกพระราชบัญญัติดังกล่าว และประกาศ
       ใช้พระราชบัญญัติฉบับใหม่ โดยมิได้บัญญัติเรื่องศาลปกครองไว้


       
       2. การดำเนินการหลังจากที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองเรื่องศาลปกครอง


                   
       นับตั้งแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มิได้มีการเสนอร่างกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองไม่ว่าจะโดยฝ่ายบริหารคือคณะรัฐมนตรีหรือฝ่ายนิติบัญญัติโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
       แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญ ฯ พ.ศ. 2517 ใช้บังคับอยู่เพียง 2 ปี ก็เกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 46/A>และมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2519 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2519 อีก 1 ปีต่อมาก็มีการรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2520 และมีการประกาศใช้ธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2520 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 252047/A> ซึ่งบัญญัติให้มีการเลือกตั้งภายใน พ.ศ. 2521 หลังจากนั้นจึงได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 252148 แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับมิได้บัญญัติเรื่องศาลปกครองไว้เหมือนรัฐธรรมนูญฯ
       พ.ศ. 2517 อย่างไรก็ดี ด้วยวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลของศาตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และการสนับสนุนของศาสตราจารย์ ดร.สมภพ โหตระกิตย์ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จึงได้มีการริเริ่มผลักดันให้มีการปรับปรุงคณะกรรมการกฤษฎีกา จนกระทั่งมีการตราพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 ยกเลิกพระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. 2492 โดยให้ยุบรวมคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์เข้าเป็นกรรมการประเภทหนึ่งของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรียกชื่อใหม่ว่า คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ เพื่อปูพึ้นฐานไปสู่การพัฒนาคณะกรรมการกฤษฎีกาให้เป็นศาลปกครองต่อไป ตามแนวทางและเจตนารมณ์ที่มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2476
       


       2.1 แนวคิดในการตราพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522


                   
       แนวคิดที่จะพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางปกครองในรูปของระบบเรื่องราวร้องทุกข์ภายใต้คณะกรรมการกฤษฎีกา นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเพื่อนำไปสู่การมีศาลปกครองเต็มรูปแบบต่อไป และเพื่อให้เห็นแนวคิด หลักการและเหตุผลที่ต้องตราพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 จึงขอนำแนวคิดและหลักการบางตอนมาลงไว้ ดังนี้ 49

                   
       “ในปี พ.ศ. 2522 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ดำเนินการให้มีการแก้ไข
       พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกาฉบับเดิม (พ.ศ. 2476) โดยมีความมุ่งหมายที่จะพัฒนา “การจัดองค์กร”
       ในระบบคณะกรรมการกฤษฎีกาให้เป็น “สถาบันต้นแบบ (prototype)”ของการจัดองค์กรในระบบกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง และหวังว่า เมื่อสถาบันต้นแบบได้ดำเนินการไประยะหนึ่งแล้วและ
       เมื่อสำนักงานได้ตรวจสอบและประเมินผลของกลไกการทำงาน (mechanism) ของ “คณะกรรมการกฤษฎีกา”
       ตามโครงสร้างใหม่แล้วผลของการประเมินผลจะทำให้นักบริหารและนักนิติศาสตร์มองเห็นได้ว่า
       การจัดองค์กรในระบบกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง และมี “วิธีพิจารณาคดีปกครอง” แล้ว จะมีประโยชน์ได้อย่างใด และสามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาในทางบริหารได้อย่างไร

                   
       ในการจัดองค์กรใหม่ของคณะกรรมการกฤษฎีกา จะเป็นการเปิดโอกาสให้
       นักวิชาการและนักนิติศาสตร์ติดตามผลงานและวิเคราะห์กลไกการทำงานของ “คณะกรรมการกฤษฎีกา” และของ “สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา” ได้อย่างต่อเนื่อง

                   
        ...กล่าวโดยย่อก็คือ การจัดองค์กรของ “สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา” ได้ใช้หลักการ
       ของการแยก “ความรับผิดชอบในงานบริหาร” ออกจาก “ความเป็นอิสระในงานชี้ขาดของกรรมการ”

       โดยมี “ระเบียบแบบแผนทางราชการ” ที่กำหนดไว้เพื่อการประสานงานระหว่างกรรมการและสำนักงาน
       ที่แน่ชัด งานที่สำคัญที่สุดงานหนึ่งของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาสำหรับระยะเริ่มต้นของการพัฒนาระบบสถาบันฝ่ายกฎหมายปกครอง (คณะกรรมการกฤษฎีกา) ในปัจจุบันก็คืองานประเมินผล
       คำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมายและกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์) เพื่อสร้างความสมดุลใน “การใช้อำนาจชี้ขาดโดยอิสระ ของกรรมการฯ........เป็นที่น่าประหลาดใจ ทั้ง ๆ ที่กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา(พ.ศ. 2476) ได้มีบทบัญญัติที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมาย
       ที่จะให้คณะกรรมการกฤษฎีกาทำหน้าที่เป็น “ศาลปกครอง-contentieux” แต่ประเทศไทยก็มิได้มีการศึกษาถึง “วิธีการ” ที่จะให้เกิดศาลปกครองขึ้นในประเทศไทย และสิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุด ก็คือ
       นักกฎหมายของประเทศไทยมิได้ทราบเลยว่า “ระบบร้องทุกข์” นั้น เป็นพื้นฐานขั้นต้นที่จะต้องพัฒนาขึ้นก่อนการจัดระบบศาลปกครอง ซึ่งในเรื่องนี้ ถ้าหากจะศึกษาวิวัฒนาการของสถาบันทางกฎหมายไม่ว่าในระบบของประเทศในกลุ่มคอมมอนลอว์หรือในกลุ่มซิวิลลอว์แล้ว ก็จะเห็นข้อเท็จจริงนี้ได้อย่างชัดเจนว่าคดีปกครองเกิดจากการร้องทุกข์

                   
       ในปี พ.ศ. 2492 เมื่อมีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการร้องทุกข์ขึ้น ทางราชการได้
       จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์ขึ้นที่ “สำนักนายกรัฐมนตรี” แทนที่จะจัดตั้งขึ้นใน “หน่วยงานของสถาบันฝ่ายกฎหมายปกครอง” คือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และอาศัย
       ประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทำการพัฒนา “ระบบร้องทุกข์” ขึ้น [หมายเหตุ : -การร้องทุกข์จากประชาชนมีหลายประเภท ดังนั้น การพัฒนาระบบร้องทุกข์จึงจะต้องเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์แยก “ประเภท” การร้องทุกข์ออกเป็นประเภทต่าง ๆ และจัดแยกการร้องทุกข์ทางคดีปกครองออกจากการร้องทุกข์ทางนโยบาย ฯลฯ]

                   
       ในปี พ.ศ. 2523 กระทรวงยุติธรรมได้เสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาล
       ปกครองขึ้น เพื่อให้ข้าราชการตุลาการเป็น “ผู้พิพากษา” มีอำนาจชี้ขาดความไม่ถูกต้องของ
       การสั่งการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (รัฐมนตรี ฯลฯ) ได้อย่างกว้างขวาง ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยยังมิได้พัฒนาแนวความคิดในทางปรัชญากฎหมายมหาชนมาก่อนและยังมิได้ทดสอบหลักการของ case law ในการปฏิบัติราชการ แต่อย่างใด

                   
       ข้อเท็จจริงนี้ เป็นสิ่งที่ค่อนข้างแปลกประหลาดมากสำหรับประเทศไทยที่มี
       พลเมือง 50 ล้านคนเศษ และมีการสอนวิชานิติศาสตร์มาแล้วกว่า 50 ปี
       อันที่จริง เมื่อได้มีการตรากฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยได้นำระบบร้องทุกข์มารวมเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมายและกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์)แล้ว “แผนการฝึกอบรมนิติกร” ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็อาจพิจารณากำหนดขึ้นได้
       โดยไม่จำเป็นต้องอธิบายอย่างยุ่งยากเหมือนกับก่อนตรากฎหมาย ทั้งนี้ เพราะสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้กลายเป็นหน่วยงานบริหารที่เกี่ยวกับกฎหมายทางบริหาร (กฎหมายปกครอง) ที่สมบูรณ์โดยตัวเอง และแผนงานพัฒนาระบบคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็สามารถกำหนดขึ้นได้โดยเห็นได้ชัดเจน แต่ความยากลำบากของความสำเร็จในการพัฒนาระบบคณะกรรมการกฤษฎีกา จะอยู่ที่ “ระยะเวลา” ของแผนงานเพราะขั้นตอนของการดำเนินการตามแผนงานฯ เพื่อสร้างประสบการณ์ให้แก่นิติกรในแต่ละขั้นตอนนั้น ย่อมต้องใช้เวลา และสำนักงานฯ ประมาณว่านิติกรเหล่านี้จะมีประสบการณ์พอและสามารถให้ความเห็น (ที่ดี) เพื่อการชี้ขาดคดีปกครองได้ คงจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 20 ปี....”


                   
        ศาสตราจารย์ ดร. อักขราทร จุฬารัตน เห็นว่า ข้าราชการในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
       สามารถเป็นฐานในการพัฒนาความรู้ในหลักกฎหมายปกครองให้เกิดขึ้นได้ เพราะไม่เช่นนั้นแนวทาง
       การพิจารณาคดีปกครองให้ถูกต้องจะมิอาจเกิดขึ้นได้เลย ในระหว่างที่ยังไม่มีนักกฎหมายปกครองเพียงพอให้จัดตั้งศาลปกครองได้คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์อาจทำหน้าที่ไปพลางก่อน ศาลปกครองนั้นโดยหลักเมื่อพิจารณาคดีแล้วก็ต้องถือเป็นเด็ดขาด และฝ่ายปกครองก็ต้องยอมตามนั้น แต่สำหรับคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์จะมีผลบังคับทางกฎหมายก็ต่อเมื่อนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลให้ความเห็นชอบ
       เสียก่อน วิธีดำเนินงานจึงเป็นระบบควบคุมงานภายในของฝ่ายบริหาร (internal control) โดยหัวหน้าของฝ่ายบริหารมีโอกาสพิจารณากลั่นกรองอีกชั้น วิธีการนั้นจะเป็นประโยชน์ได้มากในขณะที่การจัดตั้งศาลปกครองในประเทศไทยยังไม่พร้อม50 โครงสร้างของระบบเช่นนี้ ได้รูปแบบมาจากสภาแห่งรัฐของฝรั่งเศสในระยะต้นซึ่งเป็นระบบร้องทุกข์ก่อนที่สภาแห่งรัฐจะได้รับอำนาจจากรัฐให้มีอำนาจสั่งการชี้ขาด
       ได้เองในปี ค.ศ. 1872 (พ.ศ. 2415)
51

                   
       เห็นได้ว่า แนวความคิดในการปรับปรุงองค์กรและอำนาจหน้าที่ของระบบคณะกรรมการกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 โดยสรุป ก็คือ การสร้าง “ระเบียบแบบแผนในการปฏิบัติราชการ” ให้เหมาะสมกับสภาพของงานราชการในแต่ละประเภท
       และในทุกระดับเจ้าหน้าที่ และพัฒนาเป็นหลักทั่วไปของกฎหมายปกครอง และเนื่องจากคดีปกครองเกิดจากการร้องทุกข์ ดังนั้นจึงต้องเริ่มต้นและพัฒนาจาก “ระบบร้องทุกข์” ซึ่งเป็นพื้นฐานขั้นต่ำที่จะต้องพัฒนาขึ้นก่อนการจัดระบบศาลปกครอง และรูปแบบหรือโครงสร้างองค์กรในการสร้างระเบียบแบบแผนในการปฏิบัติราชการ ก็คือ การพัฒนาคณะกรรมการกฤษฎีกาให้มีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายปกครองและพัฒนาให้เป็นสถาบันที่มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีปกครองต่อไป

                   
       จากแนวความคิดและเป้าหมายดังกล่าวข้างต้น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
       จึงได้เสนอให้มีการตราพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 เพื่อปรับปรุงการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่และกลไกในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัติว่าด้วย
       คณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476 เสียใหม่ โดยกำหนดแผนงานและขั้นตอนของการพัฒนาและการจัดองค์กรของระบบคณะกรรมการกฤษฎีกาให้สอดคล้องกับแผนงานและขั้นตอนของการสร้างและการพัฒนาระบบวิธีพิจารณาคดีปกครองขึ้นในประเทศไทย52


       2.2 การจัดองค์กรของคณะกรรมการกฤษฎีกา


                   
       พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 ได้ปรับปรุงการจัดองค์กรของ
       คณะกรรมการกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476 เสียใหม่โดยนำเอา “คณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์” เข้ามาเป็นกรรมการประเภทหนึ่งของคณะกรรมการกฤษฎีกา

                   
        คณะกรรมการกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 ประกอบด้วย

                   
       1) นายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยตำแหน่ง

                   
       2) กรรมการกฤษฎีกา ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

                   
       (ก) กรรมการร่างกฎหมาย

                   
       (ข) กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์

                   
       3) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

                   
       การแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา

                   
       (1) กรรมการร่างกฎหมาย

                   
       สำหรับกรรมการร่างกฎหมายนั้น จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้น
       ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ฯลฯ และมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี และจะทรง
       พระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้ที่พ้นจากตำแหน่งแล้วอีกก็ได้

                   
       (2) กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์

                   
       ส่วนกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์นั้น จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีและได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความ
       เชี่ยวชาญทางนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ฯลฯ และมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้ (ซึ่งสูงกว่า
       คุณสมบัติที่กำหนดไว้สำหรับกรรมการร่างกฎหมาย) โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 3ปี และ
       จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้ที่พ้นจากตำแหน่งแล้วอีกก็ได้

                   
       การปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกา

                   
       (1) กรรมการร่างกฎหมาย


                   
       กรรมการร่างกฎหมายนั้นมีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำร่างกฎหมายรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายแก่หน่วยงานของรัฐหรือตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีหรือมติของ
       คณะรัฐมนตรี ตลอดจนเสนอความเห็นและข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้มีกฎหมาย
       หรือแก้ไขปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายซึ่งคล้ายคลึงกับอำนาจหน้าที่ของกรรมการร่างกฎหมายตาม
       พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476

                   
        (2) กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์

                   
       กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์มีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ซึ่ง
       หลายส่วนจะคล้ายกับอำนาจหน้าที่ของ “คณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์” ตามพระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. 2492 แต่จะแตกต่างจากอำนาจหน้าที่ของ “กรรมการกฤษฎีกา” ตามพระราชบัญญัติ
       ว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476 ในแง่ที่ว่า กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ไม่มีอำนาจหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีปกครองได้ด้วยตนเองเหมือนกับกรรมการกฤษฎีกา คงมีอำนาจหน้าที่แต่เพียงพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ตามวิธีพิจารณาคดีในลักษณะเดียวกันกับการพิจารณาของศาลปกครอง
       แล้วเสนอคำวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลพิจารณาสั่งการตามแต่จะเห็นสมควร53


       2.3 ประโยชน์ที่ได้รับจากการปรับปรุงการจัดองค์กร
       และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกา


                   
       การจัดองค์กรที่แยก “สถาบัน” (คณะกรรมการกฤษฎีกา) ออกจาก “หน่วยธุรการ” (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) ซึ่งอยู่ภายใต้ระบบความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร
       ภายใต้การกำกับดูแลของฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) นั้น ทำให้สำนักงานฯ สามารถวิเคราะห์และประเมินผลงานที่สืบเนื่องมาจากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาได้โดยอิสระจากคณะกรรมการฯ และเป็นการถ่วงดุลการใช้อำนาจวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ โดยสำนักงานฯ จะทำหน้าที่เป็น
       “ตัวเชื่อม” ระหว่างคณะกรรมการกฤษฎีกากับฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี) การปรับปรุงการจัดองค์กรและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ก่อให้เกิดประโยชน์ที่สำคัญ 3 ประการ คือ

                   
       1) สามารถแก้ไขเยียวยาทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้วให้แก่ผู้ร้องทุกข์เป็นการเฉพาะรายได้

                   
       2) สามารถอาศัยข้อมูลที่ได้รับมาจากการร้องทุกข์ของประชาชนและการขอคำปรึกษาทางกฎหมายจากหน่วยงานของรัฐมาศึกษาวิเคราะห์เพื่อดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายหรือกำหนด“ระเบียบแบบแผนในการปฏิบัติราชการ” เพื่อปรับปรุงการปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพ
       และเป็นธรรมแก่ประชาชนมากยิ่งขึ้น อันจะมีผลเป็นการป้องกันไม่ให้ประชาชนได้รับทุกข์
       จากกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม หรือมีช่องโหว่ หรือจากการปฏิบัติ
       ราชการที่ไม่ชอบ ของเจ้าหน้าที่ของทางราชการอีกต่อไปในอนาคต

                   
       3) สามารถฝึกอบรมสร้างประสบการณ์และความเชี่ยวชาญให้แก่บุคลากรของหน่วยงานเพื่อให้เป็นนักกฎหมายที่มีความรู้ทางกฎหมายปกครอง ตลอดจนเผยแพร่หลักกฎหมายปกครองและ
       คำวินิจฉัยที่สำคัญให้แก่เจ้าหน้าที่ของทางราชการเพื่อใช้เป็นหลักในการปฏิบัติราชการต่อไปได้ 54


       3. ความเห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งศาลปกครอง


                   
       นับตั้งแต่ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายมหาชนเป็นอย่างมาก ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
       ได้วิเคราะห์ว่า ความตื่นตัวในกฎหมายมหาชนในฐานะกฎหมายที่มีลักษณะเฉพาะทั้งที่เป็นหลักกฎหมายสารบัญญัติของตนเอง ระบบวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทที่แยกจากระบบวินิจฉัยชี้ขาดของกฎหมายเอกชน ยังเลยไปถึงนักนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทความเรื่อง “นักนิติศาสตร์หลงทางหรือ”55 ของศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ซึ่งปลุกสำนึกในความสำคัญของกฎหมายมหาชนให้แก่นักกฎหมายไทย นับเป็นบทความประวัติศาสตร์ที่เปิดยุคใหม่ของการฟื้นตัวของกฎหมายมหาชนในประเทศไทย

                   
        บทความนี้ได้กระตุ้นให้วงการนิติศาสตร์หันมาให้ความสนใจกับกฎหมายมหาชน
       อีกครั้ง และก่อให้เกิดผลในวงการนิติศาสตร์ไทยอย่างน้อย 3 ทาง คือ

                   
       1. การปรับปรุงระบบการศึกษานิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัย โดยการส่งคนไปศึกษากฎหมายมหาชนในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในประเทศภาคพื้นยุโรป อันได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมัน
       อิตาลี ออสเตรีย เบลเยี่ยม ฯลฯ ซึ่งภายหลังเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วนักกฎหมายเหล่านี้ได้แยกย้ายกันไปเป็นอาจารย์สอนกฎหมายในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       มหาวิทยาลัยรามคำแหง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาการศึกษากฎหมายมหาชนในประเทศไทยต่อมาจนถึงปัจจุบัน

                   
       นอกจากการส่งคนไปศึกษาต่อต่างประเทศแล้ว ยังมีการปรับปรุงหลักสูตรนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัย 56 จากแต่เดิมศึกษาแต่เพียงกฎหมายเอกชนเป็นหลัก มาเพิ่มเติมวิชากฎหมายมหาชนขึ้นบ้างในระดับชั้นปริญญาตรี เช่น วิชาหลักกฎหมายมหาชน แต่ที่มีการปรับปรุงมากได้แก่หลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโท)57 ซึ่งแต่เดิมเป็นหลักสูตรกฎหมายเอกชน หรือกฎหมายเปรียบเทียบเป็นหลัก มาเป็นหลักสูตรแยกสาขาโดยเพิ่มสาขากฎหมายมหาชนเข้าไปเป็นสาขาหนึ่ง
       ที่ศึกษากฎหมายมหาชนวิชาต่าง ๆ เป็นหลัก อาทิ กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมืองชั้นสูง กฎหมายปกครองซึ่งมีการแยกสอนเป็นรายวิชาอีกมากมาย อาทิ กฎหมายปกครองชั้นสูง กฎหมายปกครอง
       ฝรั่งเศส กฎหมายปกครองเยอรมัน กฎหมายบริการสาธารณ ฯลฯ และยังมีการศึกษากฎหมายมหาชนอื่น ๆ อีกมากอาทิ ทฤษฎีกฎหมายมหาชน กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ ฯลฯ เป็นผลให้วิทยานิพนธ์ที่เป็นงานวิจัยในหลักสูตรดังกล่าวทำการศึกษาเรื่องในกฎหมายมหาชนมากขึ้น

                   
        2. การปรับปรุงกฎหมายคณะกรรมการกฤษฎีกา ในปี พ.ศ. 2522 ให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับศาลปกครองฝรั่งเศสโดยเฉพาะสภาแห่งรัฐ ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ค.ศ. 1800 – 1872 (พ.ศ. 2343-2415)

                   
       3. นักกฎหมายโดยทั่วไปก็มีความตื่นตัวในกฎหมายมหาชนขึ้นมาก จนมีการจัดตั้ง“สมาคมกฎหมายมหาชนแห่งประเทศไทย”58 ขึ้น เพื่อเป็นที่รวมของนักกฎหมายมหาชน และได้มีการดำเนินการหลายประการที่เป็นการเสริมสร้างและเผยแพร่ผลงานทางกฎหมายมหาชนแก่นักกฎหมายและประชาชนโดยทั่วไปมาตลอดจนถึงปัจจุบัน 59


       3.1 ความเห็นของนักวิชาการ


                   
       ในช่วงนี้ถือได้ว่ามีความตื่นตัวในทางวิชาการเป็นอย่างมาก ตำราและบทความในทางกฎหมายมหาชนที่ขาดหายไปหลายสิบปีก็เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการออก “วารสารกฎหมายปกครอง” ตั้งแต่ พ.ศ. 2525 โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นที่รวบรวมและเผยแพร่กฎหมายปกครองในทำนองเดียวกับที่ต่างประเทศโดยเฉพาะภาคพื้นยุโรป ยิ่งกว่านั้นการอบรมสัมมนา ซึ่งเดิมมีกฎหมายเอกชนยืนพื้นมาตลอดก็เริ่มได้รับความสนใจและหันมาจัดการอบรมสัมมนาในกฎหมายมหาชนมากขึ้น 60 ตัวอย่างการอภิปรายที่ได้รับความสนใจมากเรื่องหนึ่ง คือ “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับการพัฒนากฎหมายมหาชนในประเทศไทย” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับสมาคมกฎหมายมหาชนแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2537
       ซึ่งผู้ร่วมอภิปรายประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิในทางกฎหมายมหาชน คือ ศาสตราจารย์ ดร. อมร
       จันทรสมบูรณ์ ศาสตราจารย์ ดร. วิษณุ เครืองาม นายกสมาคมกฎหมายมหาชนแห่งประเทศไทย (รศ.ดร.โภคิน พลกุล) ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมยศ เชื้อไทย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วิษณุ วรัญญู และ
       ดร.ชาญชัย แสวงศักดิ์ นับว่าเป็นการเปิดประเด็นความคิดให้บรรดานักกฎหมาย ตลอดจน
       นักประวัติศาสตร์ของบ้านเราได้ค้นคว้ากันต่อไป การอภิปรายครั้งนี้นับว่าเป็นการก่อประโยชน์
       อันสำคัญยิ่ง แก่วงวิชาการของประเทศไม่เฉพาะแต่ทางนิติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงวงการศึกษาทางประวัติศาสตร์ 61 โดยเฉพาะในเรื่องการปรับปรุงด้านกฎหมายและรวมถึงประวัติศาสตร์การจัดตั้งศาลปกครอง ซึ่งได้มีการริเริ่มมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 อีกด้วย

                   
        นอกจากนี้นักกฎหมายเอกชนที่สำคัญอีกท่านหนึ่งที่มีความเห็นว่าควรมีการจัดตั้ง
       ศาลปกครองขึ้น คือ ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ปรมาจารย์ทางกฎหมายผู้ยิ่งใหญ่ของไทย 62
       ได้บันทึกท้ายคำพิพากษาฎีกาที่ 766/2518 ไว้ว่า “โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำมิชอบคงหมายความว่า จงใจ
       ทำให้โจทก์เสียหาย จึงต้องรับผิดฐานละเมิด แต่คำขอให้ศาลเพิกถอนการประมูล และประมูลใหม่นั้นเป็นคำขอบังคับทางละเมิดหรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่า แม้จำเลยปฏิบัติโดยมิชอบ ศาลก็ไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของเทศบาลได้ ข้อนี้ควรสังเกตไว้ว่า นี่เป็นความจำเป็นที่ต้องมีศาลปกครองขึ้น
       เพื่อให้เป็นองค์การที่ใช้อำนาจที่ศาลยุติธรรมไม่มีอยู่ ซึ่งศาลถือดังนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยพิจารณาเห็นว่า ไม่อยู่ในสภาพที่จะทำได้โดยมีประสิทธิภาพ เพราะต้องการผู้วินิจฉัยที่ฝึกอบรมอีกประเภทหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะสืบพยานให้ศาลวินิจฉัยได้เหมือนกรณีผู้ชำนาญการพิเศษทั่ว ๆ ไป.....” 63

                   
        กล่าวได้ว่าในช่วงนี้มีความตื่นตัวในวงวิชาการทางด้านกฎหมายมหาชนเป็นอย่างมาก จนกระทั่ง ในปี พ.ศ. 2535 ได้เกิดกระแสเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง และมีนักกฎหมายมหาชนหลายท่านได้มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2534 ใน พ.ศ. 2538 โดยในส่วนของศาลปกครองก็ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญอีกครั้ง และนักกฎหมายมหาชนรุ่นใหม่ได้มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่แนวคิดและหลักการของกฎหมายมหาชนต่อสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง
       มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้มีการจัดตั้งศาลปกครองในเวลาต่อมา


       3.2 ความเห็นของวุฒิสภา


                   
       ในการประชุมครั้งที่ 6 (สมัยวิสามัญครั้งที่ 2) วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม 2536 วุฒิสภา
       ได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการบริหารและการยุติธรรมของวุฒิสภาศึกษาเรื่ององค์กรวินิจฉัยคดีปกครองซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้เสนอผลการพิจารณาศึกษาดังกล่าวให้วุฒิสภาพิจารณา โดยแบ่งเป็น 4 หัวข้อ คือ

                   
       1. แนวความคิดในการจัดตั้งศาลปกครองของประเทศไทย

                   
       2. ข้อพิพาททางปกครอง

                   
       3. ศึกษาองค์กรวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาททางปกครองในระบบ “ศาลเดี่ยว” และระบบ “ศาลคู่”

                   
       4. ข้อพิจารณาแนวทางการจัดตั้งองค์กรวินิจฉัยชี้ขาดคดีปกครองของประเทศไทย (ข้อดีข้อเสียของการจัดตั้งองค์กรวินิจฉัยชี้ขาดคดีปกครองโดยกระทรวงยุติธรรมรับผิดชอบงานธุรการ (ระบบศาลเดี่ยว) และโดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับผิดชอบงานธุรการ (ระบบศาลคู่) )

                   
       จากผลของการศึกษา คณะกรรมาธิการฯ มีข้อสังเกตว่าการจัดตั้งองค์กรวินิจฉัย
       คดีปกครองในรูปของ “ศาลปกครอง” ในระบบศาลคู่ โดยมี 2 ชั้นศาล คือ ศาลปกครองชั้นต้น
       และศาลปกครองสูงสุด ขึ้นในประเทศไทยจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนมากกว่าระบบศาลเดี่ยวซึ่งเป็นรูปแบบของศาลปกครองในปัจจุบัน 64


       4. นโยบายการจัดตั้งศาลปกครองของรัฐบาล


                   
       ในช่วงที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี (พ.ศ. 2523 – 2532) การยอมรับแนวคิดว่าควรมีการจัดตั้งศาลปกครองในประเทศไทย ปรากฏให้เห็นจากการเสนอร่างกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองรวมทั้งสิ้น 14 ฉบับ บางฉบับก็ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไปจนถึงวุฒิสภาแล้วแต่ท้ายที่สุดก็ตกไปเพราะมีการยุบสภา แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือ ร่างพระราชบัญญัติที่จัดทำขึ้นนั้น
       เป็นการเสนอให้จัดตั้งศาลปกครองในระบบศาลเดี่ยวแทบทั้งสิ้น65 เช่น
       ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. .... ซึ่ง
       ยกร่างโดยกระทรวงยุติธรรม เมื่อ พ.ศ. 2521 แต่ก็ตกไป เพราะมีการยุบสภาใน พ.ศ. 2526 ร่างพระราช-บัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. .... ซึ่งเสนอในพ.ศ. 2526 โดยนายสุทัศน์ เงินหมื่น และคณะ แต่ต้องตกไปเนื่องจากการยุบสภาใน พ.ศ. 2529 ต่อมาใน พ.ศ. 2530 นายถวิล ไพรสณฑ์ และคณะ ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอีก แต่ก็ต้องตกไปใน พ.ศ. 2531 เพราะการยุบสภาเช่นกัน

                   
        แนวความคิดของท่านปรีดี ที่ต้องการให้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นเป็นระบบ “ศาลคู่” ในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2476 แม้มิอาจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาในช่วงแรกก็ตามแต่ต่อมาก็ได้รับการยอมรับโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่บัญญัติให้มีศาลปกครองขึ้น และได้มีการตราพระราชบัญญัติ 5 ฉบับ เพื่อรองรับการจัดตั้งศาลปกครอง

                   
        อย่างไรก็ตาม แม้ต่อมาจะมีความพยายามในการเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองในระบบ “ศาลเดี่ยว” ถึง 14 ฉบับ ในช่วง พ.ศ. 2523 – 2532 ขณะเดียวกันก็มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา ใน พ.ศ. 2522 เพื่อเตรียมการให้คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ซึ่งเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกาประเภทหนึ่งพัฒนาเป็นศาลปกครองในระบบ “ศาลคู่” ตามแนวทางของ
       ท่านปรีดีต่อไป จึงเห็นได้ชัดเจนว่า จากเดิมที่แนวความคิดตั้งอยู่บนพื้นฐานของระบบ “ศาลคู่” แล้วค่อย ๆ จางหายไปจนดูเสมือนว่าจะไม่มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้น จากนั้นรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2517
       ก็ได้มาจุดประกายเรื่องศาลปกครองอีกครั้งควบคู่ไปกับความตื่นตัวทางวิชาการในด้านกฎหมายมหาชน
       จนมีการปรับปรุงระบบร้องทุกข์ด้วยการแก้ไขกฎหมายคณะกรรมการกฤษฎีกาใน พ.ศ. 2522 ทำให้สังคมเริ่มตื่นตัวและปรารถนาจะให้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้น แต่ยังไม่มีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ศาลปกครองที่แท้จริงต้องเป็นศาลปกครองในระบบ “ศาลคู่” ดังนั้น จึงมีการเสนอให้มีการจัดตั้ง
       ศาลปกครองในระบบ “ศาลเดี่ยว” คู่ขนานไปกับการเตรียมการพัฒนาคณะกรรมการกฤษฎีกา
       ดังได้กล่าวมาแล้ว จนทำให้เกิดความสับสนว่า ศาลปกครองที่จะมีขึ้นนั้นควรอยู่ในระบบใด


       
       


       
เชิงอรรถ


       
                   
       44. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, กฎหมายมหาชน : การแบ่งแยกกฎหมายมหาชน - เอกชน และพัฒนาการกฎหมายมหาชนในประเทศไทย (กรุงเทพ : สำนักพิมพ์นิติธรรม, พิมพ์ครั้งที่ 2, พ.ศ. 2538) , หน้า 103 - 108.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       45. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, อ้างแล้ว 44, หน้า 47.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       46. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 93 ตอนที่135 (ฉบับพิเศษ) วันที่ 22 ตุลาคม 2519.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       47. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 94 ตอนที่ 111 (ฉบับพิเศษ) วันที่ 9 ตุลาคม 2520.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       48. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 95 ตอนที่ 146 วันที่ 9 ธันวาคม 2521.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       49. ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ รศ.ดร.โภคิน พลกุล ผศ.ดร.พูนศักดิ์ ไวสำรวจ รศ.สพโชค ลชิตากุล และ
       อ.ดร.โสภา สงวนเกียรติ จากหนังสือกฎหมายปกครอง ภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์
       รามคำแหง พ.ศ. 2529 หน้า 19-51.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       50. อักขราทร จุฬารัตน, อ้างแล้ว 40, หน้า 22.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       51. ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ , บันทึกข้อสังเกตของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง พ.ศ. ....ในวารสารกฎหมายปกครอง เล่ม 1 ธันวาคม 2525 ตอน 3 , หน้า 715.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       52. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, อ้างแล้ว 3, หน้า 27 - 29.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       53. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ,อ้างแล้ว 3, หน้า 30- 31.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       54. เพิ่งอ้าง, หน้า 30 -33.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       55. ลงพิมพ์ครั้งแรกในวารสาร “ตราชู” คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ตุลาคม 2517 และวารสารกฎหมายปกครอง ซึ่งได้เริ่มเผยแพร่หลักกฎหมายปกครองตั้งแต่ พ.ศ. 2525 ได้นำบทความดังกล่าวและบทความบางเรื่องของท่านรวมทั้งบทความพิเศษของผู้ทรงคุณวุฒิบางท่าน ลงพิมพ์ในวารสารกฎหมายปกครอง เล่ม 9 เมษายน 2533 ตอน 1.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       56. คณะกรรมการพิจารณากำหนดโครงการและแผนงานสำหรับการปรับปรุงคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาปรับปรุงหลักสูตรคณะนิติศาสตร์และคณะรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับวิชากฎหมายปกครองและกฎหมายมหาชน โดยมี ดร.โภคิน พลกุล เป็นประธานอนุกรรมการฯ คณะอนุกรรมการชุดนี้ได้มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิตให้มีการเรียนการสอนกลุ่มวิชากฎหมายปกครองและกฎหมายมหาชนในอัตราส่วนที่เพิ่มมากขึ้นในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรในคณะนิติศาสตร์ครั้งสำคัญ (อ้างใน ชาญชัย แสวงศักดิ์ “คำอธิบายพระราชบัญญัติจัดตั้งศาล
       ปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542” สำนักพิมพ์วิญญูชน, พ.ศ. 2542 หน้า 92-93).
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       57. ปัจจุบันมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโท) สาขากฎหมายมหาชน มี 4 แห่ง ซึ่งได้เปิดสอนตามลำดับก่อนหลัง คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มหาวิทยาลัยเอกชน) และมหาวิทยาลัยรามคำแหง.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       58. จัดตั้งเมื่อ วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2526 โดยมีผู้เริ่มก่อตั้งคือ ศ.ไพโรจน์ ชัยนาม ดร.เฉลิมชัย วสีนนท์ ดร.อิสระ นิติทัณฑ์ประภาส และ ดร.โภคิน พลกุล โดยมี ศ.ไพโรจน์ ชัยนาม เป็นนายกสมาคมฯ คนแรก และ ดร.โภคิน พลกุล เป็นเลขาธิการสมาคมฯ คนแรก.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       59. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, อ้างแล้ว 44, หน้า 128-130.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       60. เพิ่งอ้าง, หน้า 122 - 130.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       61. บทบรรณาธิการ วารสารกฎหมายปกครอง เล่ม 14 สิงหาคม 2538 ตอน 2.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       62. ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ เป็นลูกศิษย์ของศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ในสมัยที่เรียนในโรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม และได้รับแต่งตั้งให้เป็นองคมนตรีตั้งแต่ พ.ศ. 2527 จนถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ พ.ศ. 2538.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       63. สมคิด เลิศไพฑูรย์, “เลิกเข้าใจผิดศาลปกครองเสียที” จากวารสารกฎหมายปกครอง เล่ม 13 สิงหาคม 2537 ตอน 2 หน้า 76 - 84 (ลงพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือสยามโพสต์ ฉบับวันที่ 1 กันยายน 2537).
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       64. คณะกรรมาธิการบริหารและการยุติธรรมวุฒิสภา “รายงานการพิจารณาศึกษาเรื่อง องค์กรวินิจฉัยคดีปกครอง” จากบทบัณฑิตย์ เล่มที่ 51 ตอน 1 มีนาคม 2538 หน้า 75-105.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       65. วรพจน์ วิศรุตพิชญ์ “การประชุมทางวิชาการเรื่อง แนวทางและความเหมาะสมของการจัดตั้งศาลปกครองไทย” จากวารสารกฎหมายปกครอง เล่ม 14 เมษายน 2538 ตอน 1 หน้า 93 - 94.
       
[กลับไปที่บทความ]


       


       
       



       
       ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2544


       



1 | 2
หน้าถัดไป

 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสมาคมศาลปกครองสูงสุดระหว่างประเทศ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544