บทที่ 3
บทบาทและข้อจำกัดของศาลรัฐธรรมนูญในการคุ้มครองสิทธิ
และเสรีภาพของประชาชน (ต่อ)
3.1.2 บทบาททางอ้อม
นอกเหนือจากบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในด้านที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนด้วยการตรวจสอบร่างกฎหมายก่อนประกาศใช้บังคับตรวจสอบกฎหมายหลังการประกาศใช้บังคับ และการรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 27 แห่งรัฐธรรมนูญ อันเป็นบทบาททางตรงที่รัฐธรรมนูญมอบให้ศาลรัฐธรรมนูญที่จะทำหน้าที่โดยตรงในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนแล้ว
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2540) ยังมีบทบัญญัติอีกจำนวนหนึ่งที่มีผลเป็นการให้อำนาจหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญในทางอ้อมเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน บทบาทดังกล่าวได้แก่ อำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ และอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญในการตรวจพิจารณาเกี่ยวกับความชอบด้วยหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของชาติ หรือข้อบังคับของพรรคการเมือง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
3.1.2.1 การพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) ได้บัญญัติเกี่ยวกับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญไว้ในมาตรา 266 ว่า
มาตรา 266 ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ให้องค์กรนั้นหรือประธานรัฐสภา เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นแล้ว พบว่าอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรานี้เป็นไปเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญสามารถดำเนินไปได้โดยไม่ขัดแย้งกันเอง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้อำนาจขององค์กรตาม
รัฐธรรมนูญนั้นไปกระทบต่อสิทธิเสรีภาพขององค์กรหรือบุคคลอื่น เนื่องจากการดำเนินงานขององค์กรตามรัฐธรรมนูญทั้งหลายนั้นล้วนแต่มีบทบาทในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนด้วยกัน
ทั้งสิ้น ดังนั้น การที่ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่รับวินิจฉัยเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตาม
รัฐธรรมนูญ ก็เพื่อให้องค์กรเหล่านั้นทำหน้าที่ของตนในการคุ้มครองสิทธิและสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้องและเต็มที่ โดยในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหา
ดังกล่าวมีเงื่อนไขในการตรวจสอบและผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนี้
(ก) เงื่อนไขของการตรวจสอบ ในการเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญนั้น มีเงื่อนไขดังนี้
(ก.1)เรื่องที่เสนอให้พิจารณาวินิจฉัยต้องเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญซึ่งความหมายของ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 266 นี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวางบรรทัดฐานไว้ว่า องค์กรตามรัฐธรรมนูญหมายถึง องค์กรที่มีบทบาทและอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มิใช่องค์กรที่เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหาร เช่น กระทรวง ทบวง กรม72
(ก.2)ปัญหาที่ขอให้พิจารณาวินิจฉัยนั้น จะต้องเป็น ปัญหา ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นหากไม่มีกรณีปัญหาเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรานี้ได้ เช่นการให้ตีความอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือเป็นข้อหารือเกี่ยวกับอำนาจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญโดยยังไม่มีเรื่องหรือยังไม่มีกรณีปัญหาเกิดขึ้น เช่นนี้ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัย73 โดยปัญหานี้จะเกิดจากการที่องค์กรตามรัฐธรรมนูญมีปัญหาขัดแย้งเกี่ยวกับการใช้อำนาจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญอีกองค์กรหนึ่ง74 หรือปัญหาที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใช้อำนาจกระทบกับสิทธิของบุคคลหรือองค์กรอื่นที่ไม่ใช่องค์กรตามรัฐธรรมนูญ75 หรือปัญหาขององค์กรตาม
รัฐธรรมนูญในการปฏิบัติหน้าที่ของตนก็ได้76 อย่างน้อยจะต้องมีองค์กรตามรัฐธรรมนูญองค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นผู้มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่
(3) องค์กรนั้นเองหรือประธานรัฐสภาเป็นผู้ส่งกรณีปัญหาดังกล่าวมาให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
(ข) ผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญนั้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า กรณีที่เป็นปัญหานั้นชอบหรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญนั้นมีหรืออำนาจหน้าที่หรือไม่มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินเรื่องหรือดำเนินการตามที่มีปัญหานั้นๆ แล้ว คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญต่างๆ เหล่านั้นต้องดำเนินการตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ทั้งนี้ตามนัยมาตรา 268 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540)77
3.1.2.2 การตรวจพิจารณาเกี่ยวกับความชอบด้วยหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของมติหรือข้อบังคับของพรรคการเมือง
โดยที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคือตัวแทนของประชาชนในการมีส่วนร่วมในการปกครองและดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในแนวทางหลัก กล่าวคือ ประชาชนจะเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปเพื่อทำหน้าที่นิติบัญญัติในการตรากฎหมายขึ้นเพื่อส่งเสริมสิทธิเสรีภาพหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนก็ได้ รวมทั้งเลือกนายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ดังนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นสถาบันการเมืองที่เชื่อมโยงโดยตรงต่อประชาชนมากที่สุด และโดยที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องดำเนินกิจกรรมทางการเมืองตามมติหรือตามแนวปฏิบัติของข้อบังคับของพรรคการเมืองที่ตนสังกัดอยู่ ดังนั้น การที่ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของพรรคการเมืองย่อมเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในการอันที่จะมี ส.ส. ซึ่งอาจมีบทบาทในทางนิติบัญญัติและบริหารประเทศที่มีแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญตามหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยต่อไป
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) จึงได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจตรวจพิจารณามติหรือข้อบังคับของพรรคการเมืองสองกรณี ดังนี้คือ
(1) พิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการโดยใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตามมาตรา 63 ซึ่งบัญญัติว่า
มาตรา 63 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้
ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้รู้เห็นการกระทำดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าว
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทำการตามวรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้
(2) พิจารณาวินิจฉัยว่ามติหรือข้อบังคับในเรื่องใดของพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกอยู่นั้น จะขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือขัดหรือแย้งต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือไม่ ตามมาตรา 47 วรรคสามและวรรคสี่ ซึ่งบัญญัติว่า
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง กรรมการบริหารของพรรคการเมือง หรือสมาชิกพรรคการเมืองตามจำนวนที่กำหนดในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งเห็นว่ามติหรือข้อบังคับในเรื่องใดของพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกอยู่นั้นจะขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีสิทธิร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติหรือข้อบังคับดังกล่าวขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้มติหรือข้อบังคับนั้นเป็นอันยกเลิกไป
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 63 และมาตรา 47 วรรคสามและวรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) ดังกล่าวพบว่าการเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจพิจารณาเกี่ยวกับความชอบด้วยหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของมติหรือข้อบังคับของพรรคการเมือง มีเงื่อนไขการตรวจสอบและผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนี้
(ก) เงื่อนไขของการตรวจสอบ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
(ก.1)การเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบตามมาตรา 63 จะกระทำได้ต่อเมื่อผู้รู้เห็นการกระทำของพรรคการเมืองซึ่งกระทำการเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำของพรรคการเมืองดังกล่าว
(ก.2)การเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบตามมาตรา 47 จะกระทำได้ต่อเมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง กรรมการบริหารของพรรคการเมือง หรือสมาชิกพรรคการเมืองตามจำนวนที่กำหนดในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่เห็นว่ามติหรือข้อบังคับในเรื่องใดของพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกอยู่นั้นจะขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ หรือขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยมติหรือข้อบังคับของพรรคการเมืองในเรื่องนั้น
(ข) ผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
(ข.1)การพิจารณาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 63 ศาลรัฐธรรมนูญอาจวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำอันเป็นไปเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าว ในกรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้อีกด้วย
(ข.2)การพิจารณาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 47 ศาลรัฐธรรมนูญอาจวินิจฉัยว่ามติหรือข้อบังคับดังกล่าวขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดังกล่าวถูกยกเลิกไปได้
ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2547
|