หน้าแรก บทความสาระ
ท่านปรีดีกับศาลปกครอง ตอนที่ 2 (ตอนจบ)
รศ.ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์
6 มกราคม 2548 21:44 น.
 
หน้าที่แล้ว
1 | 2

       
3.2 การเสนอร่างกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองและร่างกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

       ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย (พ.ศ.2540 - 2542)


                   
       ในช่วงนี้ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
       (มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2540) ซึ่งได้บัญญัติให้มีการจัดตั้งศาลปกครองในระบบ “ศาลคู่”
       ไว้ในมาตรา 276-280 อันนับได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 ที่บัญญัติไว้เช่นนี้ รัฐธรรมนูญ
       แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2538 เป็น
       รัฐธรรมนูญฉบับแรกที่บัญญัติให้มีการจัดตั้งศาลปกครองในระบบ “ ศาลคู่ ” แต่รัฐธรรมนูญ
       พ.ศ. 2517 ซึ่งบัญญัติให้จัดตั้งศาลปกครองเป็นครั้งแรก มิได้บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่าให้เป็นระบบ “ศาลคู่” หรือ “ศาลเดี่ยว” ดังนั้น เพื่อให้เห็นชัดเจนถึงวิวัฒนาการในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฯทั้ง 3 ฉบับ จึงได้ทำตารางเปรียบเทียบไว้ ดังนี้


       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
ประเด็นสำคัญรัฐธรรมนูญ
พุทธศักราช 2540
รัฐธรรมนูญ
พุทธศักราช 2534
รัฐธรรมนูญ
พุทธศักราช 2517
อำนาจหน้าที่ของศาลปกครอง
       มาตรา ๒๗๖ ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐด้วยกัน ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ
       

       มาตรา ๑๙๕ ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามที่กฎหมายบัญญัติ
       

ไม่ได้บัญญัติไว้
มาตรา ๒๑๒
ศาลปกครองและศาลในสาขาแรงงาน สาขาภาษีหรือสาขาสังคม จะตั้งขึ้นได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ การแต่งตั้งและการให้ผู้พิพากษาพ้นจากตำแหน่งอำนาจหน้าที่ของศาล ตลอดจนวิธีพิจารณาของศาลตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลนั้น
ลำดับชั้นของศาลปกครอง
       ให้มีศาลปกครองสูงสุด และศาลปกครองชั้นต้น และจะมีศาลปกครองชั้นต้น และจะ
       มีศาลปกครองชั้นอุทธรณ์ด้วยก็ได้

       ไม่ได้บัญญัติไว้

ไม่ได้บัญญัติไว้
การถวายสัตย์ปฏิญาณของตุลาการ
       มาตรา ๒๕๒ ก่อนเข้ารับหน้าที่ ผู้พิพากษาและตุลาการต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้

           “ข้าพระพุทธเจ้า(ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และจะปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยปราศจากอคติทั้งปวงเพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชนและความสงบสุขแห่งราชอาณาจักร ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ”

       มาตรา ๑๙๕ ทวิพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งและให้ตุลาการในศาลปกครองพ้นจากตำแหน่งก่อนเข้ารับหน้าที่ครั้งแรก ตุลาการในศาลปกครองต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำตามที่กฎหมายบัญญัติ

ไม่ได้บัญญัติไว้
การแต่งตั้งและให้พ้นจากตำแหน่งตุลาการศาลปกครอง
       มาตรา ๒๗๗ การแต่งตั้งและการให้ตุลาการในศาลปกครองพ้นจากตำแหน่ง ต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองตามที่กฎหมายบัญญัติก่อนแล้วจึงนำความกราบบังคมทูล

           ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์และผู้ทรงคุณวุฒิในการบริหารราชการแผ่นดิน อาจได้รับแต่งตั้งให้เป็นตุลาการในศาลปกครองสูงสุดได้ การแต่งตั้งให้บุคคลดังกล่าว เป็นตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ให้แต่งตั้งไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนตุลาการในศาลปกครองสูงสุดทั้งหมดและต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองตามที่กฎหมายบัญญัติและได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาก่อน แล้วจึงนำความกราบบังคมทูล

           การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนเงินเดือน และการลงโทษตุลาการในศาลปกครอง ต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองตามที่กฎหมายบัญญัติ

       มาตรา ๑๙๕ ตรี การแต่งตั้งและการให้ตุลาการในศาลปกครองพ้นจากตำแหน่งต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองตามที่กฎหมายบัญญัติแล้วจึงนำความกราบบังคมทูล

           การเลื่อนตำแหน่งการเลื่อนเงินเดือนและการลงโทษตุลาการในศาลปกครอง ต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองตามที่กฎหมายบัญญัติ

       มาตรา ๑๙๕ จัตวาการแต่งตั้งและการให้ผู้พิพากษาหรือตุลาการในศาลอื่น นอกจากศาลยุติธรรม ศาลปกครอง

ไม่ได้บัญญัติไว้
การแต่งตั้งประธานศาลปกครองสูงสุด
       มาตรา ๒๗๘ การแต่งตั้งตุลาการในศาลปกครองให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครอง
       สูงสุดนั้น เมื่อได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองและวุฒิสภาแล้ว
       ให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งต่อไป

       ไม่ได้บัญญัติไว้

ไม่ได้บัญญัติไว้
คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง
       มาตรา ๒๗๙ คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้

       (๑) ประธานศาลปกครองสูงสุดเป็นประธานกรรมการ

       (๒) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนเก้าคน ซึ่งเป็นตุลาการในศาลปกครองและได้รับเลือกจากตุลาการในศาลปกครองด้วยกันเอง

       (๓) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งได้รับเลือกจากวุฒิสภาสองคนและจากคณะรัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง

       คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้ามและวิธีการเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
       

       ไม่ได้บัญญัติไว้

ไม่ได้บัญญัติไว้
หน่วยธุรการของศาลปกครอง
       มาตรา ๒๘๐ ศาลปกครองมีหน่วยธุรการของศาลปกครองที่เป็นอิสระ โดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองเป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธานศาลปกครองสูงสุด

           การแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองตามที่กฎหมายบัญญัติ

           สำนักงานศาลปกครองมีอิสระในการบริหารงานบุคคลการงบประมาณ และการดำเนินการอื่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
       

       ไม่ได้บัญญัติไว้

ไม่ได้บัญญัติไว้
กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับ
อำนาจหน้าที่ระหว่างศาล

       มาตรา ๒๔๘ ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร หรือศาลอื่น ให้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดโดยคณะกรรมการคณะหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลอื่น และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นอีกสี่คน ตามที่กฎหมายบัญญัติเป็นกรรมการ

           หลักเกณฑ์การเสนอปัญหาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
       

        มาตรา ๑๙๕ เบญจ ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลยุติธรรมกับศาลอื่น หรือ
       ระหว่างศาลอื่นด้วยกันให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย

ไม่ได้บัญญัติไว้


                   
       หลังจากที่รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 มีผลใช้บังคับแล้ว ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลง
       รัฐบาล จากรัฐบาลที่มีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีมาเป็นรัฐบาลที่มีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีและได้มีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการนโยบายและประสานงานการดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญขึ้น” ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. …. ที่ได้เสนอต่อสภา
       ผู้แทนราษฎรไว้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกชวลิตฯ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2540 ดังนั้น
       รัฐบาลนายชวน หลีกภัย จึงถอนร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ จากระเบียบวาระของสภา
       ผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2541 เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ดำเนินการปรับปรุง
       ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ในรายละเอียด
       บางประการ แต่หลักการและเนื้อหาเกือบทั้งหมดคงเป็นไปเช่นเดียวกับร่างพระราชบัญญัติจัดตั้ง
       ศาลปกครองฯ ที่ เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540 ในสมัยรัฐบาล
       พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ 87

                   
       ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้วมีมติให้นำเสนอสภา
       ผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณา สภาผู้แทนราษฎรในคราวประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม 2541
       ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ....ของรัฐบาลและร่างพระราชบัญญัติในเรื่องเดียวกันอีก 3 ฉบับที่เสนอโดย นายปรีชา สุวรรณทัต กับคณะนายพินิจ จันทรสุรินทร์ กับคณะ และนายกุเทพ ใสกระจ่าง กับคณะ แล้ว มีมติรับหลักการและให้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทั้ง 4 ฉบับ ดังกล่าวโดยให้ใช้ร่างฯ ของคณะรัฐมนตรีเป็นหลัก ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้ประชุมเมื่อวันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2542 ลงมติเห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว แล้วเสนอวุฒิสภาพิจารณาในคราวประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2542 ที่ประชุมได้ลงมติแก้ไขเพิ่มเติมแล้วส่งคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎรและในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 20 ปีที่ 3 ครั้งที่ 7 (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) ได้ประชุม ในวันพุธที่ 14 กรกฎาคม 2542 เห็นชอบด้วยกับความเห็นของวุฒิสภา จึงถือว่าร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับ นี้ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 175 (3)88
       ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฏรและวุฒิสภา และได้มีการประกาศใช้เป็นกฎหมาย คือพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ.2542 ซึ่งมีผล
       ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 254289 และในวันที่ 9 มีนาคม 2544 ศาลปกครอง (ศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองกลาง) ก็ได้เปิดทำการ เพื่อทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีปกครองอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในประเทศไทย


       บทสรุป


       การจัดตั้งศาลปกครอง (พ.ศ. 2532 – 2542)


       
       ก. พระบรมราโชบายในการจัดตั้ง “สถาบันที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน”


                   
       จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแผ่นดินของไทยในยุคใหม่ตามแนวทางของประเทศตะวันตกภาคพื้นทวีปนั้น เกิดขึ้นใน พ.ศ. 2417 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “พระราชบัญญัติเคาน์ซิลออฟสเตดคือที่ปฤกษาราชการแผ่นดิน” ขึ้น

                   
        การจัดตั้งสถาบันที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงสามารถดึงอำนาจจากขุนนางกลับคืนมาสู่สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการใช้วิธีการทางกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องอำนาจและเป็นสิ่งแรกที่พระองค์ทรงกระทำ นับได้ว่าเป็นพระบรมราโชบายอันแยบยลที่จะทำให้การปฏิบัติงานของขุนนางในสมัยนั้นต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพระมหากษัตริย์ผ่านทางสถาบันที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน

                   
       อย่างไรก็ตามแม้สถาบันที่ปรึกษาราชการแผ่นดินจะมีผลงานที่สำคัญหลายประการ แต่เนื่องจากข้าราชการไทยในสมัยนั้นยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในหน้าที่และวัตถุประสงค์อย่างแท้จริงของสถาบันดังกล่าว ประกอบกับเมื่อสิ้นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ อำนาจในการปกครองประเทศถือได้ว่ารวมศูนย์อยู่ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ความจำเป็นในการใช้สถาบันที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในช่วงนี้คงลดน้อยลง จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติเคาน์ซิลออฟสเตดใน พ.ศ. 2437 และมีพระราชบัญญัติรัฐมนตรีสภาขึ้นแทน แต่ก็ต้องถือว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงสร้างประเทศสยามให้เป็นรัฐชาติได้สำเร็จ ทั้งยังได้ทรงริเริ่มความคิดเรื่องศาลปกครองขึ้นในประเทศไทยอีกด้วย


       
       ข. ธรรมาศาสตราจารย์ผู้สานต่อพระบรมราโชบายในเรื่อง

       “สถาบันที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน”


                   
       เมื่อท่านปรีดี จบการศึกษาปริญญาเอกทางกฎหมายจากประเทศฝรั่งเศส
       ใน พ.ศ.2470 และได้รับตำแหน่งเป็นเลขานุการกรมร่างกฎหมาย ท่านได้เริ่มศึกษากฎหมายของไทยและรวบรวมกฎหมายไทยตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบันเป็นเล่มเดียวกันชื่อว่า “ประชุมกฎหมายไทย”
       ใน พ.ศ. 2474 ท่านได้จัดทำคำบรรยายวิชากฎหมายปกครอง เพื่อใช้สอนในโรงเรียนกฎหมายตามหลักสูตรเนติบัณฑิตไทย โดยได้สอดแทรกหลักการเมืองการปกครองไว้เป็นอันมาก การสอนวิชากฎหมายปกครอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชากฎหมายมหาชนนั้น ท่านต้องอาศัยความกล้าหาญและความมุ่งมั่นอยู่ไม่น้อย เมื่อคำนึงถึงว่าในขณะนั้นประเทศไทยยังปกครองอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นอกจากนี้ เพื่อสนองความต้องการของราษฎรตามหลักแห่งเสรีภาพในการศึกษา และเพื่อผลิตบุคคล
       ที่มีความรู้ให้เป็นกำลังของระบอบประชาธิปไตยที่เริ่มสถาปนาขึ้น ใน พ.ศ. 2475 มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองจึงเกิดขึ้นโดยการริเริ่มและผลักดันของท่านปรีดี เมื่อ พ.ศ. 2477 ซึ่งวิชากฎหมายปกครองก็ได้ถูกบรรจุเข้าในหลักสูตรการสอน จนแพร่หลายไปในทุกสถาบันการศึกษา ในเวลาต่อมา

                   
        ใน พ.ศ.2476 ท่านได้ริเริ่มและผลักดันให้มีกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองด้วยการตรา
       พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฏีกา พุทธศักราช 2476 ขึ้น โดยยึดรูปแบบเดียวกันกับสถาบันที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในแง่ของโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ เพียงแต่ว่าในส่วนของการตัดสินคดีปกครองนั้น จะต้องมีการตรากฎหมายอีกฉบับหนึ่งมากำหนดในรายละเอียดเสียก่อน ซึ่งที่วาง
       เป็นขั้นตอนเช่นนี้ เข้าใจว่าท่านคงต้องการวางรากฐานของระบบศาลและระบบกฎหมายในลักษณะแบบศาลคู่ เพื่อแยกกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนให้เด่นชัดแต่ต้น ดังจะเห็นได้จากการมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและนายอาร์ กียอง ที่ปรึกษากฎหมาย ยกร่างกฎหมายในเรื่อง
       ดังกล่าวเสร็จสิ้นเมื่อ พ.ศ.2478 แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวก็ไม่ผ่านการพิจารณา แม้สภาผู้แทนราษฎร
       จะได้ลงมติรับหลักการแล้วก็ตาม

                   
        อย่างไรก็ตาม แม้ท่านปรีดีจะไม่ประสบความสำเร็จในการให้เกิดศาลปกครอง
       ที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบในยุคของท่าน แต่ท่านก็ได้วางรากฐานทั้งด้านความคิด การศึกษาและการเรียนการสอนในเรื่องดังกล่าวไว้ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้สานต่อจนประสบความสำเร็จในที่สุด ดังจะเห็นได้จากการปรับปรุงระบบ “ร้องทุกข์” ใน พ.ศ. 2522 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2534 ใน พ.ศ.2538 ของรัฐสภา ด้วยการให้มีศาลปกครองเป็นศาลอีกระบบหนึ่งแยกต่างหาก
       จากระบบของศาลยุติธรรม และโดยการจัดทำร่างกฎหมาย เพื่อปรับเปลี่ยนอำนาจหน้าที่ในส่วนงานวินิจฉัยร้องทุกข์ของคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้เป็นศาลปกครองเต็มรูปแบบ และต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน ซึ่งเกิดขึ้นจากแรงผลักดันในการปฏิรูปการเมืองของประชาชน
       ก็ได้บัญญัติยืนยันถึงหลักการให้มีการจัดตั้งศาลปกครองเป็นศาลอีกระบบหนึ่งแบกต่างหากจากศาลยุติธรรม จนได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองซึ่งเป็นระบบ “ศาลคู่” แต่ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของศาลปกครองจากรูปแบบของสภาแห่งรัฐ มาเป็นศาลปกครองที่มีอำนาจหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีปกครองแต่เพียงอย่างเดียว ไม่มีหน้าที่ให้คำปรึกษากฎหมายแก่รัฐบาล

                   
       ในที่สุดพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองก็มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2542 และศาลปกครองก็ได้เปิดทำการเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2544 นับเป็นเวลาถึง 68 ปี นับตั้งแต่ท่านปรีดีได้ผลักดันให้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาขึ้นใน พ.ศ. 2476 เพื่อทำหน้าที่เป็นศาลปกครอง


       
       


       
เชิงอรรถ


       
                   
       87. ชาญชัย แสวงศักดิ์, อ้างแล้ว 56, หน้า 100-110.
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       88. หนังสือสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ด่วนที่สุด ที่ สผ 0008/6145 ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2542
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       89. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 166 ตอนที่ 94 ก วันที่ 10 ตุลาคม 2542
       
[กลับไปที่บทความ]


       


       
       บรรณานุกรม


                   
       ชาญชัย แสวงศักดิ์. คำอธิบายกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง, กรุงเทพฯ : วิญญูชน, 2542.

                   
                   
        . พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบิดาแห่งกฎหมายมหาชน, ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์

                   
                   
        . “พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่”, สำนักพิมพ์นิติธรรม, 2541.

                   
                   
        . ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง, 2540.

                   
                   
        . อิทธิพลของฝรั่งเศส : ในการปฏิรูปกฎหมายไทย, พิมพ์ครั้งที่ 1. สำนักพิมพ์นิติธรรม, 2539.

                   
       ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ. เศรษฐศาสตร์การเมือง (เพื่อชุมชน), ครั้งที่ 1. 2542.

                   
       นิตยสารสารคดี (ฉบับพิเศษ) “คือวิญญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์”, บริษัทวิริยะธุรกิจ จำกัด,
       ครั้งที่ 3, 2543.

                   
       บวรศักดิ์ อุวรรณโณ. กฎหมายมหาชน เล่ม 2 การแบ่งแยกกฎหมายมหาชน-เอกชน และพัฒนาการกฎหมายมหาชน ในประเทศไทย, พิมพ์ครั้งที่ 12.สำนักพิมพ์นิติธรรม, 2538.

                   
       ปรีดี พนมยงค์. ประชุมกฎหมายมหาชนและเอกชน, โรงพิมพ์วิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2526.

                   
       โภคิน พลกุล. “พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 : หนทางสู่ราชการในระบบเปิด”, คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2540.

                   
                   
        . เอกสารเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. โรงพิมพ์สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2531.

                   
                   
        . กฎหมายมหาชนกับการปฏิรูประบบราชการในยุคโลกาภิวัฒน์, พิมพ์ครั้งที่ 1. สำนักพิมพ์นิติธรรม. 2541.

                   
                   
        . “สาระสำคัญของกฎหมายว่าด้วยศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง”, ศาลปกครองสูงสุด 2544.

                   
       สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, กองวิเคราะห์กฎหมายและการร้องทุกข์. การพัฒนาระบบการยุติธรรมทางปกครองของไทย, กันยายน : 2539.

                   
       ปรีดี พนมยงค์. วารสารปรีดีสาร, 2543.

                   
       วิษณุ เครืองาม. กฎหมายรัฐธรรมนูญ, พิมพ์ครั้งที่ 3. แสวงสุทธิการพิมพ์, 2530.

                   
       แสวง บุญเฉลิมวิภาส. ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย, กรุงเทพฯ : วิญญูชน, 2543.

                   
       ส.ศิวรักษ์. เรื่องนายปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส.ศิวรักษ์. พิมพ์ครั้งที่ 4. พิมพ์ดี, 2543.

                   
       สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. 60 ปี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา.

                   
                   
        . วารสารกฎหมายปกครอง ฉบับพิเศษ. เล่ม 13, ตอน 1 : 2517-2537.

                   
                   
        . วารสารกฎหมายปกครอง. เล่ม 3, ตอน 1 (เมษายน) : 2527.

                   
                   
        . วารสารกฎหมายปกครอง. เล่ม 3, ตอน 2 (สิงหาคม) : 2527.

                   
                   
        . วารสารกฎหมายปกครอง. เล่ม 3, ตอน 3 (ธันวาคม) : 2527.

                   
                   
        . วารสารกฎหมายปกครอง. เล่ม 4, ตอน 1 (เมษายน) : 2528.

                   
                   
        . วารสารกฎหมายปกครอง. เล่ม 9, ตอน 1 (เมษายน) : 2533.

                   
                   
        . วารสารกฎหมายปกครอง (ฉบับศาลปกครอง 1). เล่ม 13, ตอน 2 (สิงหาคม) : 2537.

                   
                   
        . วารสารกฎหมายปกครอง (ฉบับศาลปกครอง 2). เล่ม 14 ตอน 1 (เมษายน) : 2538.

                   
                   
        . วารสารกฎหมายปกครอง (ฉบับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับการพัฒนากฎหมายมหาชนในประเทศไทย). เล่ม 14, ตอน 2 (สิงหาคม) : 2538.

                   
                   
        . วารสารกฎหมายปกครอง. เล่ม 15, ตอน 1 (เมษายน) : 2539.

                   
                   
        . วารสารกฎหมายปกครอง. เล่ม 18, ตอน3 : 2542.

                   
       บทบัณฑิตย์ เนติบัณฑิตยสภา เล่มที่ 51, ตอน 1 (มีนาคม) : 2538.

                   
       สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย, สถาบันดำรงราชานุภาพ. เอกสารวิชาการ เรื่อง ศาลปกครอง, : 2540.

                   
       สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, กองการประชาสัมพันธ์. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย, พิมพ์ครั้งที่ 1. กองการพิมพ์, 2538.

                   
       สำนักงานเลขาธิการเนติบัณฑิตยสภา. บทบัณฑิตย์, กรุงเทพฯ : เนติบัณฑิตยสภา, 2538.

                   
       อักขราทร จุฬารัตน. การจัดตั้งศาลปกครองกับการแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน,เอกสารวิจัย วิทยาลัยการปกครอง โรงเรียนนักปกครองระดับสูง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, 2527.

                   
       อมร จันทรสมบูรณ์. “กฎหมายปกครอง”, มหาวิทยาลัยรามคำแหง : 2520.

                   
       อมร จันทรสมบูรณ์,อักขราทร จุฬารัตน,ชาญชัย แสวงศักดิ์,พนม เอี่ยมประยูร, วรพจน์ วิศรุตพิชญ์, สุรพล นิติไกรพจน์ และสมคิด เลิศไพฑูรย์. “ศาลปกครอง”, พิมพ์ครั้งที่ 2. สำนักพิมพ์นิติธรรม, 2540.
       


       
       



       
       ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2544


       



หน้าที่แล้ว
1 | 2

 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสมาคมศาลปกครองสูงสุดระหว่างประเทศ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544