หน้าแรก บทความสาระ
มายาคติเกี่ยวกับโรฮิงญา
คุณชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ
15 ตุลาคม 2560 20:18 น.
 
ในฐานะของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน(human rights defender)คนหนึ่ง ซึ่งมักจะได้รับการสอบถาม ประชดประชัน แดกดัน ต่อว่า ด่าตรงๆ ฯลฯ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่ปกป้องและเรียกร้องให้มีการปฎิบัติเยี่ยงมนุษยชนต่อชาวโรฮิงญาอยู่เสมอ โดยผู้ที่มีทัศนคติทางลบต่อชาวโรฮิงญามักมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อชาวโรฮิงญาในหลายๆประการจนเป็นมายาคติฝังลึกเมื่อกล่าวถึงชาวโรฮิงญา
       ในการนี้เครือข่ายเพื่อสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐ(Coalition for Rights of Refugee an Stateless Person - CRSP)ซึ่งประกอบไปด้วยองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนหลายองค์กรเข้าด้วยกันได้จัดทำคำถามคำตอบเกี่ยวกับข้อสงสัยหรือมายาคติที่มีต่อชาวโรฮิงญาว่าความจริงนั้นเป็นเช่นไร โดยคัดมาจากความคิดเห็นจริงในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ซึ่งผมขอนำคำอธิบายดังกล่าวจากเอกสาร “Freedom”ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล ประเทศไทย มาเสนอพร้อมกับความคิดเห็นส่วนตัวของผมเพิ่มเติมในคำตอบ ดังนี้
       ๑) เขาพูดกันว่า
                   ปัญหาโรฮิงญา ทำไมไทยต้องมารับกรรม 
           ความจริง
                   ผู้อพยพชาวโรฮิงญาหลบหนีจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และทุกประเทศมี “หน้าที่”ตามพันธกรณีระหว่างประเทศในการปกป้อง นอกจากไทยแล้วยังมีหลายประเทศที่ให้ความช่วยเหลือชาวโรฮิงญาแล้ว เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ตุรกี ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ขณะเดียวกันผู้อพยพโรฮิงญาบางกลุ่มในประเทศไทยเกิดจากขบวนการค้ามนุษย์ในไทยหลอกลวงและชักจูงเข้ามา
       ๒) เขาพูดกันว่า
                   เขาให้มาอาศัยพักพิงก็บุญหัวจะตายแล้วล่ะ ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้เจ้าหน้าที่อีก
           ความจริง
                   ห้องกักในประเทศไทยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐานสากลและการกักขังส่วนใหญ่ดำเนินไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา บางห้องอาจมีชาวโรฮิงญาถึง ๒๐๐ คน ห้องน้ำห้องหนึ่งอาจต้องใช้ร่วมกันถึง ๔๐ คน หลายคนขาดสารอาหารและต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากภายในห้องกัก จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าเหตุใดเขาเหล่านั้นจึงต้องพยายามหลบหนีออกมา
       ๓) เขาพูดกันว่า
                   ข้าวฟรี ที่อยู่ฟรี ภาษีไม่ต้องเสีย ยังเรียกร้องขนาดนี้
           ความจริง
                   พบว่าชาวโรฮิงญาหลายคนได้กินเพียงข้าวกับแตงกวา ข้อเรียกร้องของพวกเขาเป็นเพียงต้องการพบหน้ากับครอบครัว รู้ระยะเวลาที่แน่นอนในการถูกกัก ซึ่งไม่ได้มีความต้องการแตกต่างหรือมีความต้องการการดูแลที่ดีกว่าผู้ต้องกักอื่นๆแต่อย่างใด
       ๔) เขาพูดกันว่า
                   โรฮิงญาเป็นประชากรที่ไม่มีคุณภาพ กิน ขี้ ปี้ นอน ไม่ยอมคุมกำเนิด ไม่ใช่เป็นแรงงานที่มีคุณภาพซึ่งเอาไปใช้ประโยชน์ได้
           ความจริง
                   รัฐบาลพม่าไม่ยอมรับชาวโรฮิงญาเป็นพลเมือง ชาวโรฮิงญาจึงไม่มีสิทธิสถานะใดๆ รวมทั้งต้องขออนุญาตในการเดินทางซึ่งเป็นการลิดรอนสิทธิอย่างที่สุด เป็นเหตุให้ชาวโรฮิงญาไม่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตตัวเองได้เลย
       ๕) เขาพูดกันว่า
                   โรฮิงญาเข้าพม่าครั้งแรก ๕ หมื่นคน ตอนนี้แพร่พันธุ์ออกลูกเป็น ๒ ล้านคน
           ความจริง
       

            ชาวโรฮิงญาอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๒ ก่อนจะเป็นรัฐยะไข่ในปัจจุบันพื้นที่ตรงนั้นรู้จักกันในนาม อาระกันซึ่งก่อนที่จะมีการก่อตั้งประเทศพม่าเสียอีก ภายหลังจากปี 1962 เมื่อมีการรัฐประหารขึ้นในพม่า ประชาชนทุกคนถูกบังคับว่าต้องมีบัตรแสดงตัวตน แต่ชาวโรฮิงญาพวกเขาได้รับพิจารณาให้ถือแค่บัตรที่ระบุว่า เป็นคนต่างชาติ ซึ่งการไม่ให้สัญชาติและการปฏิเสธสถานะชาติพันธุ์โรฮิงญาของรัฐบาลพม่าทำให้ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนถึงจำนวนของชาวโรฮิงญา ในปัจจุบันอัตราการตายของเด็กแรกเกิดชาวโรฮิงญาสูงเป็น ๒ เท่าของอัตราเฉลี่ยทั่วโลก และอัตราการตายของเด็กชาวโรฮิงญาที่อายุต่ำกว่า ๕ ขวบ เป็น ๒ เท่าของอัตราการตายเฉลี่ยของประเทศพม่า
       ๖) เขาพูดกันว่า
       โรฮิงญาสร้างแต่ปัญหา
           ความจริง
                   การปะทะระหว่างชาวโรฮิงญาและชาวยะไข่ในปี ๒๕๕๕ ทำให้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญากว่าแสนคนต้องหลบหนีอยู่ภายในพม่า ที่ผ่านๆมาทุกปีชาวโรฮิงญาต้องหนีออกจากพม่านับแสนคน ล่าสุดตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมปี ๒๕๖๐ นี้ ชาวโรฮิงญาต้องอพยพข้ามพรมแดนไปลี้ภัยในบังคลาเทศกว่า ๕ แสนคน มิหนำซ้ำจากรายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่ามีการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลไว้ในชายแดนโดยกองทัพพม่า เพื่อมิให้ชาวโรฮิงญากลับมายังบ้านเรือนของตนเองที่บางส่วนถูกเผาทิ้งเสียอีก ที่น่าเศร้าก็คือองค์การแพทย์ไร้พรมแดนที่ต้องการช่วยเหลือชาวโรฮิงญาในพม่ายังถูกขับไล่ออกจากพื้นที่โดยชาว     ยะไข่อีกด้วย
       ในจดหมายเปิดผนึกของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลฉบับล่าสุดที่มีถึงประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา เรียกร้องให้ผู้นำประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงต่อชาวโรฮิงญาโดยเรียกร้องให้อาเซียนจัดประชุมสุดยอดฉุกเฉินเพื่อแก้ปัญหานี้ เพราะที่ผ่านมาอาเซียนได้แสดงท่าทีต่อกรณีนี้ โดยออกแถลงการณ์ที่มีเนื้อหาที่เบามากฉบับหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๐ เกือบหนึ่งเดือนหลังความโหดร้ายในรัฐยะไข่อุบัติขึ้น โดยอาเซียนได้แสดงข้อกังวลเกี่ยวกับสถานการณดังกล่าว แต่หลีกเลี่ยงไม่ใช้คำว่า“โรฮิงญา”แต่อย่างใด
       นอกจากปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนแล้วหากเรายังขืนปล่อยให้ปัญหาโรฮิงญาทวีความร้ายแรงเกิดขึ้นจนถึงกับมีการเพิ่มการจับอาวุธขึ้นต่อสู้แล้ว ปัญหาก็ยิ่งจะเพิ่มความร้ายแรงมากขึ้นไปอีกอาจกลายเป็นเงื่อนไขและโอกาสที่ขบวนการก่อการร้ายเข้ามาแทรกแซง และเมื่อถึงตอนนั้นก็คงต้องเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้าในภูมิภาคนี้ซึ่งก็ย่อมรวมถึงไทยเราเองด้วย
       กล่าวโดยสรุปก็คือโรฮิงญาก็คือมนุษย์เช่นเดียวกับเราทุกคนที่จะต้องได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นมนุษย์ทั้งหลายทีควรต้องปฏิบัติต่อกัน เรารักชีวิต โรฮิงญาก็รักชีวิตเช่นกัน ความแตกต่างด้านเชื้อชาติ ศาสนาหรือถิ่นกำเนิดไม่สามารถลดทอน “สิทธิมนุษยชน”ลงได้ครับ
        
        _________
        
        
        


 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ผลในทางปฏิบัติ เมื่อครบรอบหกปีของการปฏิรูปการเมือง
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544