หน้าแรก บทความสาระ
“ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป” (?) (เราจะปฏิรูปประเทศกันอย่างไร)
ศ. ดร.อมร จันทรสมบูรณ์
9 มีนาคม 2557 22:00 น.
 
       ในปัญหานื้  ผู้เขียนได้ให้สัมภาษณ์ (โดยคุณอัมภา) แก่  FM TV ไป  ๒ ครั้ง  ในการให้สัมภาษณ์ครั้งแรก ผู้เขียนได้ให้สัมภาษณ์ไปเมื่อต้นเดือน ธันวาคม ๒๕๕๖  เรื่อง  เกาะติดวิกฤตชาติ กับ ศ.ดร.อมรฯ  ซึ่งในครั้งนั้น ผู้เขียนได้ให้สัมภาษณ์ เพื่อให้ท่านผู้ฟังมองไปถึง “สาเหตุ”ของปัญหาวิกฤตชาติ ที่เกิดจาก “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของเรา (รัฐธรรมนูญที่นักกฎหมายและนักวิชาการของเราเขียนขึ้นมาเอง และเป็นรํฐธรรมนูญฉบับเดียวในโลกที่ใช้ระบบนี้)   ซึงปรากฎว่า ได้มีท่านผู้ที่สนใจปัญหาการเมือง ได้คลิ๊กเข้าไปดูรายการของ FM TV ที่อยู่ใน you tube  เป็นจำนวนถึงกว่าหนึ่งแสนราย  ;  ในการให้สัมภาษณ์ ครั้งที่สอง เรื่อง เจาะข่าววงใน ฯ ช่วง อ.อมร  ในราวกลางเดือน มกราคม ๒๕๕๘ เป็นการให้สัมภาษณ์ที่ผู้เขียนตั้งใจจะให้ท่านผู้ฟัง ”คิด”ไปถึงวิธีการแก้ปัญหาวิกฤตชาติโดยการปฏิรูปประเทศไทย  ที่เป็นรูปธรรม   แต่เนื่องจากความจำกัดของเวลาในการให้สัมภาษณ์   ทำให้ “สาระ” ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้  ดูจะไม่ครบถ้วนพอเพียง  และได้มีผู้ที่รู้จักกับผู้เขียนจำนวนไม่น้อยสอบถาม “สาระ”เพิ่มเติมจากผู้เขียน   ซึ่งทำให้ผู้เขียนคิดว่า  น่าจะต้องนำ “แนวทางการให้สัมภาษณ์ครั้งที่สอง” นี้ มาเขียนเป็น “บทความ”  เพื่อเพิ่มเติมข้อความที่ขาดหายไปให้สมบูรณ์  และให้ท่านผู้อ่านมีโอกาสได้ทราบความเห็นของผู้เขียนให้ชัดขึ้น  ซึ่งก็ได้แก่ บทความนี้]
        
                ก่อนอื่น   ผู้เขียนขอแสดงความเสียใจ แก่การเสียชีวิตและการบาดเจ็บ ของ นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง (นายทวีศักดิ์ โพธิ์แก้ว ที่บริเวณมหาวิทยาลัยรามคำแหง)  และของผู้ที่กล้าหาญและเสียสละทั้งหลายของมวลมหาประชาชน  (นายวสุ สุฉันทบุตร  ถูกลอบยิงเสียชีวิตที่ สนามกิฬา ไทย - ญี่ปุ่นดินแดง ; นายยุทธนา องอาจ การ์ด ของ คปท. เสียชิวิตที่บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ  โดยถูกกราดยิงด้วยอาวุธสงคราม ;  นายประคอง ชูจันทร์ จาก จ.ว.ภูเก็ต ที่ บริเวณถนนบรรทัดทอง  โดยการขว้างระเบิด ;  และ นายสุทิน ธราสิน แกนนำ กปท. กองทัพประชาชนโค่นระบบทักษิณ  ที่เสียชีวิตที่แยกวัดศรีเอี่ยม ถนนศรีนครินทร์ โดยถูกลอบยิงบนรถกระบะ ฯลฯ )
                เขาเหล่านี้ได้ต่อสู้ เพื่อให้ประเทศไทยพ้นจาก “ระบบเผด็จการของพรรคการเมืองนายทุน”  ซึ่งเป็นประเทศเดียวในโลก 
               รวมทั้ง ขอแสดงความเสียใจในการเสียชีวิตของตำรวจ ที่เสียชีวิตเพราะการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา (ด.ต.ณรงค์ ปิติสิทธิ  จร.สน.ตลาดพลู  โดยที่เรายังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ยิง)
        
               และ นอกจากนั้น  ผู้เขียนคิดว่า  เราคนไทยทุกคน  ควรสงสารประเทศไทย   สงสารที่ประเทศไทย ที่เรามีบุคคลที่อยู่ใน “ฐานะ” ที่สามารถเข้ามาแก้ปัญหาวิกฤตชาตินี้ได้  แต่บุคคลเหล่านี้ไม่ได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาวิกฤตินี้ให้คนไทย  ทั้ง ๆ ที่ตลอดเวลา ๒-๓ เดือนที่ผ่านมานี้   “สาเหตุของวิกฤตชาติ” ครั้งประวัติศาสตร์ของเรานี้  ได้ถูกเปิดเผยอย่างชัดแจ้ง  และคนไทยทุกคนได้ทราบเป็นอย่างดีแล้ว         
             ประเทศไทย ขาด  “Statesman” ที่จะแก้ปัญหาประเทศ  และยิ่งรอนานวัน  ประเทศก็ยิ่งเสียหายมากขึ้นทุก ๆ วัน
        
             ขณะนี้  ปรากฎว่า   “มวลมหาประชาชน”ได้ปิดกรุงเทพ  มาตั้งแต่วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๗  โดยไล่ตามปิด “ประตู” และล่ามโซ่ใส่กุญแจ  สถานที่ราชการต่าง ๆ  และ ในวันอาทิตย์ที่ ๒ กุมภาพันธ์  ที่ผ่านมา  เราก็มีการเลือกตั้งทั่วไปทั่วประเทศ   ดังสถานการณ์เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว   ซึ่งเราก็ยังไม่ทราบว่า  จะประกาศผลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ได้เมื่อใด  และไม่ทราบว่า  การเลือกตั้งที่ทำไปแล้วนั้น จะมีผลใช้ได้หรือใช้ไม่ได้(โมฆะ)หรือไม่   
              และเวลาก็ผ่านไปเป็นเวลานานพอสมควร (กว่า ๑๐ วันหลังการเลือกตั้ง)  แต่เราก็ยังไม่รู้ว่า วิกฤตชาติครั้งนี้ จะยุติเมื่อไร  และจะยุติลงอย่างไร  และเมื่อยุติแล้ว เราก็ยังไม่รู้ว่า  เราจะแก้ปัญหาวิกฤตชาติ หรือจะปฏิรูป(ประเทศ) ได้หรือไม่  แต่ที่แน่ ๆ  ก็คือ ประเทศไทยและผลประโยชน์ของคนไทยส่วนรวม   ต่างก็เสียหายทับถมเพิ่มขึ้น  ทุกวัน
        
                       =  ความนำ  “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป” (?)
        
              ในการสัมภาษณ์ FM TV  ครั้งแรก(เดือนธันวาคม)  ผู้เขียนได้กล่าวไว้ว่า ผู้เขียนดีใจที่ “วิกฤติชาติครั้งนี้ได่เกิดขึ้น   และดีใจที่  “มวลมหาประชาชน” ได้มองไปถึง “การปฏิรูปประเทศ”  เพราะถ้า “วิกฤติชาติ”ครั้งนี้ไม่เกิดขึ้น และเราไม่มี “การปฏิรูปประเทศ” แล้ว   ในอนาคตอันไม่ไกลนัก  ประเทศไทยก็คงจะล่มสลาย  เพราะการทุจริตคอร์รัปชั่นและหนี้สาธารณะ (ทั้งในระบบและนอกระบบ )ที่ท่วมประเทศอย่างแน่นอน  ซึ่งเมื่อถึงขณะนั้น  ก็เป็นการสายเกินไปที่จะแก้ไข  
             ในการให้สัมภาษณ์ FM TV  ครั้งแรกนั้น   ผู้เขียนไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่อง “การปฏิรูปประเทศ” เท่าใดนัก  เพราะผู้เขียนเห็นว่าเป็นการเร็วเกินไปและซับซ้อนเกินไป ;   โดยในการให้สัมภาษณ์ครั้งแรกเกือบทั้งหมด  จะเป็นการกล่าวถึงความเป็นจริงที่ว่า รัฐธรรมนูญของประเทศไทย  ไม่ใช่การปกครองใน “ระบอบประชาธิปไตย”  (ตามที่นายทุนนักการเมืองบอกกับเรา)  แต่ระบอบการปกครองของเรา  เป็น “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” ประเทศเดียวในโลก   เพราะเรามีบทมาตราอยู่ ๓ มาตราในรัฐธรรมนูญปัจจุบัย  ที่ทำให้นายทุนเจ้าของพรรคการเมืองสามารถเข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐ  ทำการทุจริตคอร์รัปชั่นและแสวงหาความร่ำรวยได้   ด้วยการลงทุนใช้เงิน ซื้อ ส.ส.  เพื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลใน “ระบบรัฐสภา”   และ ให้ ส.ส. ในสภาลงมติตามคำสั่งของตน(นายทุนของพรรคการเมือง)  [หมายเหตุ บทมาตรา ๓ มาตราดังกล่าว ได้แก่ (๑) บทมาตราที่บังคับให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรคการเมือง (ม,  ๑๐๑ (๓ )); (๒)บทมาตราที่ให้อำนาจพรรคการเมือง มีมติปลด  ส.ส.ให้พ้นสภาพจากการเป็น ส.ส. ได้ถ้าไม่ลงคะแนนตามมติคำสั่งพรรค (ม. ๑๐๖ (๗))  ; และ (๓) บทบังคับให้ นายกรัฐมนตรี ต้องมาจาก ส.ส. เท่านั้น (ม. ๑๗๑ วรรคสอง) ]
             และนอกจากนั้น  เราได้พูดถึงว่า  เรา(คนไทย)จะหลุดพ้นจาก  ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน” ประเทศเดียวในโลกนี้ได้อย่างไร  ในเมื่อนายทุนเจ้าของพรรคการเมืองที่ผูกขาด“อำนาจรัฐ”อยู่ ไม่ยอมแก้รัฐธรรมนูญให้เรา
         
                 ดังนั้นในการสัมภาษณ์ FM TV ครั้งที่สอง(เดือนมกราคม)  และในบทความนี้(เดือนกุมภาพันธ์)  เราก็จะมาดูต่อไปว่า  ถ้าเราต้องการ “ปฏิรูป(ประเทศ)” นอกเหนือไปจากการต้องการทำให้การปกครองประเทศของเรา เป็น “ประชาธิปไตย” แล้ว    เราจะต้องทำอย่างไร
        
               = แต่อย่างไรก็ตาม   ก่อนที่เราจะกำหนด  ว่า  ในบทความนี้  เราจะพูดกันใน  “หัวข้อหรือประเด็น”  ใดบ้าง   ผู้เขียนขอเริ่มต้นอารัมบท  ด้วยการกล่าวถึง “ประเด็น” ที่ปรากฎอยู่ในหน้าสื่อมวลชน ที่เป็นเรื่อง hit ที่ถกเถียงขัดแย้งกันอยู่ ระหว่าง “รัฐบาล” กับ “มวลมหาประชาชน” กัน ก่อน
              ประเด็นนั้น  ก็คือ เราจะ “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง”  หรือจะ “เลือกตั้งก่อนการปฏิรูป”    
              ซึ่งตามที่ปรากฎเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้  ดูเหมือนว่า ทุกฝายมีความเห็นสอดคล้องกันว่า  ประเทศไทย มีความจำเป็นต้องมี “การปฏิรูปประเทศ”     แต่ข้อขัดแย้งขณะนี้  อยู่ที่ว่า จะ“ ปฎิรูปก่อนการเลือกตั้ง”  หรือ จะ“เลือกตั้งก่อนการปฏิรูป”
              
              ถ้าเราอ่านข่าวในหน้าสื่อมวลชนในระยะหลังปีใหม่ (พ.ศ.๒๕๕๗)นี้  คือ   หลังจากที่นายกรัฐมนตรี”ได้ ประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๖   เราก็จะพบว่า  ขณะนี้ได้มีการเสนอ “รูปแบบ” เพื่อการปฏิรูปประเทศกันอย่างมากมายและหลากหลาย   โดยหนังสือพิมพ์บางฉบับถึงกับกล่าวว่า “การปฏิรูปผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด  
              ฝ่ายรัฐบาลก็เสนอให้ปฏิรูป  โดยจัดตั้ง  “สภาปฏิรูปประเทศ” ประกอบด้วย สมัชชาของผู้ประกอบวิชาชีพต่าง ๆ ๒๐๐๐ คนเลือกกันเองให้เหลือ ๔๙๙ คน ;  ท่านเลขาธิการ กปปส. ( “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”) ก็เสนอให้มีการตั้ง “สภาประชาชน” มีสมาชิกจำนวน  ๔๐๐ คน โดย ๓๐๐ คนมาจากตัวแทนสาขาอาชีพต่าง ๆ  และอีก  ๓๐๐ คน  กปปส. เลือกจากผู้ทรงคุณวุติ   มาทำการปฏิรูป ;   องค์การภาคเอกชน ๗ องค์กรหลัก เสนอให้มีการออกพระราชกำหนดให้ตั้ง “องค์กรปฏิรูป” ที่ประกอบด้วยผู้แทนของผู้ที่มีปัญหาขัดแย้งและผู้แทนภาคส่วนสังคม ; ปลัดกระทรวงยุติธรรม (นายกิตติพงษ์  กิตยารักษ์  ) ก็เสนอให้ตั้ง “คณะบุคคล” ประกอบด้วยผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก  เพื่อเป็น “เวทีกลาง” สำหรับการกำหนดประเด็นในการปฏิรูปให้รัฐบาลที่จะเข้ามาใหม่ดำเนินการ  ; และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ ก็เสนอให้มีการตั้ง “คณะกรรมการ” ประกอบด้วยกรรมการ ๓ ฝ่าย  คือ รัฐบาล ปชป. และ กปปส อย่างละ ๑ ใน ๓  ; ฯลฯ
        
                    ผู้เขียนคิดว่า  เรา (คนไทย) น่าจะกำลัง “หลง” ประเด็น  เพราะเรากำลังเถียงกันว่า “รูปแบบ” ขององค์กรที่จะทำการ “ปฏิรูป(ประเทศ)” ควรจะเป็นอย่างไร  ทั้ง ๆ เรายังไม่ได้พิจารณาว่า “สาเหตุ” ของปัญหาวิกฤตชาติของเรานั้น  เกิดจากอะไร  และเราได้แก้ “สาเหตุ” ที่ทำให้เกิดวิกฤตชาติครั้งนี้ ไปแล้วหรือไม่  และถ้าเรามัวเถึยงกันเรื่อง “รูปแบบ” ขององค์กรที่จะทำการ “ปฏิรูป(ประเทศ)”  เราก็คงแก้ปัญหาวิกฤตชาติไม่ได้
                 การ”หลง”ประเด็นในครั้งนี้   มีความสำคัญมาก   และ(ตามความเห็นของผู้เขียน )  อาจมีผลถึงกับทำให้ความมุ่งหมายของ “มวลมหาประชาชน” ในการล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” และ ทำการ ”ปฏิรูป(ประเทศ)” ล้มเหลวได้
        
        = “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป” (?)
             “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป” มีความหมายอย่างไร ;  ผู้เขียนคิดว่า  วิธีการที่จะเข้าใจความหมายของประโยค ๒ ประโยคนี้ ได้ดีที่สุด   คือ วิธีการตั้ง  “คำถาม” และ ดู “เหตุผล” จากการตอบ
               แน่นอน ผู้เขียนไม่เห็นด้วย กับการ “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป”  และ ถ้าถามผู้เขียนว่า   ทำไม  ผู้เขียนจึงไม่เห็นด้วยกับการ “ เลือกตั้งก่อนปฏิรูป”   ผู้เขียนก็จะตอบว่า  เพราะการเลือกตั้งก่อนปฏิรูป ( ซึ่งในครั้งนี้  หมายถึง การเลือกตั้งวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗)   เป็น “การเลือกตั้งที่ไม่ใช่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย”    เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งที่รัฐธรรมนูญ (ฉบับปัจจุบัน) พ.ศ. ๒๕๕๐  บังคับให้ผู้สมัตรรับเลือกตั้งต้องสังกัดพรรคการเมือง  และเมื่อได้รับเลือกตั้งมาแล้ว  ส.ส.ก็ไม่มีอิสระในการปฏิหน้าที่ของ ส.ส. ได้ตามมโนธรรมของตน  แต่ต้องอยู่ภายไต้บังคับของนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง  กล่าวคือ  ถ้า ส.ส. ไม่ออกเสียง(ในสภา)ตามมติของพรรคการเมือง  รัฐธรรมนูญให้อำนาจพรรคการเมืองมีอำนาจมีมติให้ ส.ส. ต้องพ้นจากสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ได้
              ซึ่งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เหล่านี้  ไม่ใช่หลักการของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย  (แต่เป็นการเลือกตั้ง ใน “ระบอบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน  ในระบบรัฐสภา ” ประเทศเดียวในโลก)
        
             และถ้าจะถามผู้เขียนต่อไปว่า  ถ้าเช่นนี้  หมายถึงว่า  ผู้เขียนเห็นด้วยกับการ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”  ใช่หรือไม่   ผู้เขียนก็คงตอบว่า  ไม่ใช่อีกเช่นกัน  ทั้งนี้  ขึ้นอยู่กับ “ข้อเท็จจริง” ว่า  ในการปฏิรูป(ก่อนการเลือกตั้ง)นั้น  ได้มีการยกเลิกบทมาตราที่บังคับให้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสังกัดพรรคการเมือง และบทมาตราที่ให้อำนาจพรรคการเมือง มีอำนาจมีมติให้ ส.ส. พ้นจากสมาชิกภาพของการเป็น ส.ส. ได้ ฯ ออกไปจากรัฐธรรมนูญ แล้วหรือไม่  ;  ถ้ายกเลิกไปแล้ว  ผู้เขียนก็เห็นด้วยกับ  “การปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ;   แต่ถ้าการปฏิรูปนั้น ไม่ได้ยกเลิกบทมาตราดังกล่าว  ผู้เขียนก็ไม่เห็นด้วย     
        
            จากคำตอบของผู้เขียนดังกล่าวต้น  จะเห็นได้ว่า    การตัดสินใจของผู้เขียนในการ “เลือก”  การปฏิรูปก่อนหรือหลังการเลือกตั้งทั่วไป (วันที่ ๒ กุมภาพันธ์) นั้น  “เหตุผล” ของผู้เขียนไม่ได้อยู่ที่ว่า “การปฏิรูป” นั้น จะกระทำ “ก่อน” หรือ “หลัง” การเลือกตั้ง   [และก็ไม่ได้อยู่ที่ประเด็นว่า  “รูปแบบ” ขององค์กรที่จะทำการปฏิรูป ที่เสนอโดยองค์กรใดหรือโดยผู้ใด  ว่า  องค์กรไหนจะดีกว่าหรือทำงานได้ผลมากกว่ากัน   ไม่ว่าองค์กรนั้น  จะเป็น “สภาประชาชน” ที่ประกอบด้วยผู้แทนจากนา ๆ อาชึพ ฯลฯ ตามที่เลขาธิการ กปปส. เสนอ  หรือ จะเป็น “สภาปฏิรูปประเทศ” ที่ประกอบด้วย สมัชชา๒๐๐๐ คน และเลือกกันให้เหลือ ๔๙๙ คน ตามที่รัฐบาลเสนอ ]
                   แต่ “เหตุผล” ในการที่ผู้เขียนตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือก  “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป” นั้น  จะอยู่ที่  “คุณลักษณะ”ของการเลือกตั้งนั้นเอง  ว่า  การเลือกตั้งนั้นเป็นการเลือกตั้งใน “ระบอบประชาธิปไตย” หรือไม่ ; ถ้าไม่ใช่  ผู้เขียนก็ไม่สามารถยอมรับ “การเลือกตั้ง” นั้นได้  ถ้าใช่ ผู้เขียนก็ยอมรับ ;  และนอกจากนั้น  จะเห็นได้ว่า   “เหตุผล”ของผู้เขียน ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับ “การปฏิรูปในเรื่องอื่น ๆ”  เพราะเป็นคนละเรื่อง  คนละประเด็น  แต่ผู้เขียนจะพิจารณาเพียงว่า  ได้มีการเปลี่ยนแปลง “คุณลักษณะ” ของการเลือกตั้ง หรือไม่  เท่านั้น
           
                และสิ่งที่แปลกสำหรับผู้เขียน  ก็คือ  ใน “การปฏิรูป” ตามที่พูด ๆ กันอยู่นั้น  ไม่ปรากฎว่า  มีผู้ใด (รวมทั้ง กปปส. เอง) บอกว่า   ในการปฏิรูปนั้น จะมีการยกเลิกบทมาตราในรัฐธรรมนูญ ( ๓ มาตรา)  ที่ทำให้เกิด “ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน” และทำให้  “การเลือกตั้ง” ของเรา ไม่เป็นการเลือกต้งในระบอบประชาธิปไตย   ออกไปจากรัฐธรรมนูญ  หรือไม่ ; และ ดังนั้น  “การปฏิรูป” ของมวลมหาประชาชน และของ  กปปส.  จึงอาจไม่รวมถึง  การยกเลิก “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน  ในระบบรัฐสภา”  ก็ได้
                  และนี่ คือ “เหตุผล”ง่าย ๆ ที่ตรงไปตรงมา  และขอให้ผู้อ่าน (หรือท่านผู้ฟัง) ก็ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน ว่า ภายไต้ “รัฐบาล” ( ที่จะเข้ามาหลังการเลือกตั้งในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ นี้ หรือ จะเข้ามาหลังการเลือกตั้งครั้งใด ๆ ก็ตาม)  โดยที่รัฐธรรมนูญของเรา  ยังคงเป็น “ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” อยู่   เราจะ “ปฏิรูป” หลังเลือกตั้ง ได้หรือไม่
                การที่ผู้เขียนกล่าวในตอนต้น ว่า   การ”หลง”ประเด็นในครั้งนี้ (ตามความรู้สึกของผู้เขียน) มีความสำคัญมาก    เพราะอาจมีผลทำให้ความมุ่งหมายของ “มวลมหาประชาชน” ในการล้มล้างระบบทักษิณ และการปฏิรูป(ประเทศ)  ถึงกับล้มเหลวได้ 
                 ทั้งนี้ ก็เพราะว่า การตั้งประเด็นให้ “มวลมหาประชาชน” เลือกเอาระหว่าง “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป” (?)  จะทำให้ “มวลมหาประชาชน”  มองไม่เห็นสาเหตุที่แท้จริง ของวิกฤตชาติ  และเมื่อมองไม่เห็นถึงสาเหตุที่แท้จริง ของวิกฤตชาติแล้ว  ก็จะนำไปสู่การเข้าใจ “วิธีการปฏิรูป (ประเทศ)” ที่ผิดพลาดได้    [หมายเหตุ  เพราะตามความเป็นจริง  การปฏิรูป(ประเทศ) นั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะทำ “ก่อนหรือหลัง”การเลือกตั้ง (ทั่วไป) ตามที่พูดกัน   แต่ในการปฏิรูป(ประเทศ)  จะมีทั้ง “ส่วน” ที่ต้องทำก่อนการเลือกตั้งทั่วไป  และ “ส่วน” ที่จะทำหลังการเลือกตั้งทั่วไป  ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป ]  
        
       ● “ระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของไทย”  ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย  และ “การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗”  ไม่ใช่ “การเลือกตั้งที่เป็น democratic  process ”
                “ สาเหตุ”ที่แท้จริงของวิกฤตชาติ   คือ  ระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของไทย ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย  และ การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗  ไม่ใช่การเลือกตั้งที่เป็น democratic  process
        
                 สิ่งที่ผู้เขียนแปลกใจมาก  ก็คือ   ทำไม วงการนักกฎหมายและวงการนักวิชาการของเรา  ซึ่งบางทีอาจจะ(เกือบ)ทั้งประเทศไทย   จึงไม่รู้ว่า  “การเลือกตั้ง” ที่กฎหมาย(รัฐธรรมนูญ) บังคับให้ ผู้สมัตรรับเลือกตั้ง ต้องสังกัดพรรคการเมือง    และเมื่อได้รับเลือกตังเป็น ส.ส. แล้ว   ส.ส.ก็จะไม่มีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่  แต่ต้องอยู่ภายไต้บังคับชองพรรคการเมืองและต้องปฏิบัติตามมติพรรค  (มิฉะนั้น พรรคการเมืองสามารถมีมติให้พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.ได้) “ นั้น ไม่ใช่ “การเลือกตั้ง ในระบอบประชาธิปไตย”      
                และ ทำไม  วงการนักกฎหมายและวงการนักวิชาการของเรา  จึงมองไม่เห็น ว่า  “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา”   ที่มาจากบทมาตรา ๓ มาตรา ที่บัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญของประเทศไทย  ประเทศเดียวในโลกนั้น  เป็น“สาเหตุ” โดยครง ของการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬาร ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะในระบบเผด็จการฯ นั้น  ไม่มีการถ่วงดุลและการตรวจสอบระหว่างสถาบันฝ่ายบริหารและสภาผู้แทนราษฎร 
                 และทำไม  วงการนักกฎหมายและวงการนักวิชาการของเรา  จึงมองไม่เห็น ว่า  ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา”   เป็น“สาเหตุ” โดยครง ของการใช้นโยบายประชานิยมอย่างผิด ๆ (จนประเทศจะล้มละลาย)  เพียงเพื่อจะซื้อเสียงจากประชาชน  เพื่อให้ตนเองได้เข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐ และทำการทุจริตคอร์รัปชั่น และแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรของส่วนรวมต่อไป  ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้  จนกว่าประเทศจะล่มสลาย
        
                  ผู้เขียนเชื่อว่า  การที่สหรัฐอเมริกา หรือต่างประเทศบางประเทศ  หรือแม้แต่ นายบัน คี มุน (เลขาธิการสหประชาชาติ) ที่เขาสนับสนุนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ นั้น  เป็นเพราะต่างประเทศ  ฯลฯ เขาคิดว่า  “การเลือกตั้ง ของเรา” เหมือนกับ “การเลือกตั้งของประเทศของเขา”  ที่เป็น democratic  process  
               ทั้งนี้ เพราะไม่มีใครไปบอกกับเขาว่า  การเลือกตั้งในวันที่  ๒ กุมภาพันธ์ นั้น  เป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นไปตามหลักการสากลของ “การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย”   เพราะ ตามรัฐธรรมนูญของเรา  ผู้สมัตรรับเลือกตั้งของเรา  ถูกบังคับให้ต้องสังกัด “พรรคการเมือง”   ไม่สามารถสมัครรับเลือกตั้งโดยอิสระได้   และเพราะไม่มีใครไปบอกเขาว่า  เมื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แล้ว  ส.ส.ของเรา ไม่มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ของ ส.ส. ได้ตามมโนธรรมของตนเอง  แต่ต้องออกเสียงตามมติสั่งการของ “พรรคการเมือง”  เพราะรัฐธรรมนูญของเราได้ให้อำนาจแก่พรรคการเมือง  ให้มีมติปลด ส.ส. ให้พ้นจากสมาชีกภาพการเป็น  ส.ส. ได้  ถ้า ส.ส.นั้นไม่ออกเสียงในสภาตามมติของพรรคการเมือง  ฯลฯ
               บทมาตราเหล่านี้ไม่ใช่ “หลักการของระบอบประชาธิปไตย - principle of democracy” และไม่มีรัฐธรรมนูญของประเทศใดในโลก ที่มีบทมาตราเช่นนี้  [เหมายเหตุ  ข้อเท็จจริงเหล่านี้      บรรดาสมาชิกสภาคองเกรสส์ของสหรัฐอเมริกาเอง   หรือนายบัน คี มุน (เลขาธิการสหประชาชาติ)  หรือบรรดา  professors  ของมหาวิทยาลัยต่างประเทศในประเทศต่าง ๆ ที่สนับสนุนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗  อาจตรวจสอบดูได้จากตำรากฎหมายรัฐธรรมนูญ และตัวบทรัฐธรรมนูญของประเทศของเขาเอง ]
        
               แน่นอนว่า  การที่ “รัฐบาล” ของเรา ไปขอให้ต่างประเทศเขาสนับสนุนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ นั้น  ผู้เขียนเชื่อว่า  รัฐบาลของเราคงไม่ได้บอกกับต่างประเทศว่า  “การเลือกตั้งของเรา” เป็นอย่างไร   และเนื่องจาก วงการกฎหมายและวงการวิชาการของก็ไม่รู้จัก  “หลักประชาธิปไคย - principle of democracy” ในการเลือกตั้งของระบอบประชาธิปไตย”  ดังนั้น  จึงไม่มีใครไปบอกเขา    
        
               ถ้าเรามีใครสักคนไปบอกต่างประเทศเขาว่า   การที่เราไม่ต้องการให้มี“การเลือกตั้งทั่วไป”ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ นั้น  ก็เพราะเราต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกเลิกบทมาตราเหล่านี้ไปก่อน  และทำให้การเลือกตั้งของเราเป็น “ประชาธิปไตย”    และเมื่อเรายกเลิกมาตราเหล่านี้แล้ว  เราก็จะจัดให้มี “การเลือกตั้งทั่วไป”   โดยเร็ว   
             และควรบอกเขาไปด้วยว่า  ใน “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ฯ “ ภายได้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน” ของเราในช่วงเวลาที่ผ่านมากว่า ๑๐ ปีนี้  ทำให้ บรรดา “นายทุนเจ้าของพรรคการเมือง”  ที่ร่วมกันเข้ามาเป็นพรรครัฐบาล ในระบบรัฐสภาของเรา  สามารถตกลงแบ่งโควต้าตำแหน่ง “รัฐมนตรี” ระหว่างกัน   และให้แต่ละพรรคการเมืองต่างมีโอกาสแสวงหาประโยชน์และทำการทุจริตคอร์รัปชั่น จากการบริหารงานในกระทรวงที่ตนเป็นรัฐมนตรีได้โดยอิสระ  โดยที่พรรคการเมืองอื่นจะไม่เข้าไปก้าวก่าย  ;  นอกจากนั้น ถ้าหัวหน้าพรรคการเมืองเหล่านี้ยังไม่อยากเป็นรัฐมนตรี  เขาก็สามารถเอาลูกเอาเมียมาเป็นรัฐมนตรีแทนตนได้   โดย ส.ส.ในพรรคการเมืองไม่มีสิทธิพูดอะไร  เพราะส.ส. เหล่านี้ได้รับเงินพิเศษจากนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง  เป็นประจำเดือนทุกเดือน
                 และระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทย  ได้ทำให้  “นายทุนเจ้าของพรรคการเมือง”พรรคใฆญ่  สามารถสั่งบริหารประเทศในฐานะที่เป็น “นายกรัฐมนตรีตัวจริง” ได้   แม้ว่าตนเองจะต้องคดีอาญาและหนีไปอยู่ต่างประเทศ  ดังที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
                และนี่คือ  “ผล” ของการเขียน(ออกแบบ)รัฐธรรมนูญ ที่ขาด “ความรู้” และขาดประสบการณ์ของวงการกฎหมายและวงการวิชาการของไทย   อันเป็น “ต้นเหตุ” ของการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬารของบรรดานายทุนเจ้าของพรรคการเมือง ในระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน  (ฉบับเดียวในโลก)  
        
                ผู้เขียนเชื่อว่า เมื่อต่างประเทศเขารู้ความจริงข้อนี้  เขาคงจะแปลกใจมาก   เพราะเขาไม่คิดว่า  ในโลกนี้  จะมีประเทศใดที่เขียน(ออกแบบ)รัฐธรรมนูญอย่างนี้   และ ผู้เขียนก็เชื่อว่า  เมื่อเขารู้ความจริงแล้ว  เขาคงจะต้องถอนการสนับสนุนการเลือกตั้งของรัฐบาล ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์นี้ อย่างแน่นอน
              ระบอบการปกครองของประเทศไทย ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน   ไม่ใช่ “ระบอบประชาธิปไตย”
        
                ผู้เขียนคิดว่า  ถ้าเราคนไทยตั้งใจจะแก้ปัญหาวิกฤตชาติ   เราคงต้องระมัดระวัง  อย่า “หลง” ประเด็นได้ง่ายนัก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “องค์กรอิสระ” ที่ประสงค์ (หรืออยาก)จะชี้นำสังคม  ก็ต้องระวังให้มาก  มิฉะนั้น ท่านอาจจะชี้นำสังคมอย่างผิด ๆ   ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา  เพราะคนที่ไม่หวังดีและตั้งใจแสวงหาประโยชน์จาก “ความไม่รู้” ของเรานั้น มีอยู่มากมายรอบ ๆ ตัวเรา
                  สิ่งที่ผู้เขียนกังวลอย่างมาก  ก็คือ การ “หลง” ประเด็นนี้  จะ ทำให้การปฎิรูปประเทศไม่เกิดขึ้น  หรือเกิดขึ้นแต่ไม่ประสบความสำเร็จ  คือ  เป็นการแก้ “ปัญหาเก่า” เพื่อสร้าง “ปัญหาใหม่” ที่(อาจ)เลวร้ายกว่าเก่า
                 [หมายเหตุ  และสำหรับ “ปัญหา” ที่จะกำลังถกเถียงกันอยู่ในหน้าสื่อมวลชนอยู่ในขณะนี้ (เดือนกุมภาพันธ์) ว่า  การเลือกตั้งในวันที่ ๒ กุมถาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่ยังไม่เสร็จสิ้น  จะดำเนินการต่อไปได้อย่างไร และจะมีผลใช้ได้หรือไม่ได้ (เป็นโมฆะ) เพียงใด  (?)  ผู้เขียนขอไม่มีความเห็น  เพราะผู้เขียนไม่สามารถยอมรับ “การเลือกตั้งครั้งนี้” ได้ (ไม่ว่าการเลือกตั้งจะเสร็จสิ้นหรือไม่)  เนื่องจากการเลิอกตั้งครั้งนี้ ไม่ได้เป็น “การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย” ]
                                                        =========================
        
                      =  เราจะปฏิรูปประเทศกันอย่างไร
            
              เมื่อเราได้ทำความเข้าใจกับ “ประเด็น” ในอารัมภบทนี้แล้ว  ต่อไปนี้   ผู้เขียนขอให้ความเห็น ใน “วิธีการแก้ปํญหาวิกฤตชาติ” ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของเรา   โดยจะพูดต่อจาก “สาระ”ที่ผู้เขียนได้ให้สัมภาษณ์ FM TV ไปแล้วในครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม   โดยในการให้สัมภาษณ์  FM TV ครั้งที่สองและในบทความนี้   ผู้เขียนขอแบ่งสาระเป็น  ๓ หัวข้อ ดังนี้
                 ใน ๒ หัวข้อแรก (คือ ข้อ ๑ และ ข้อ ๒)   ผู้เขียนจะได้พูดถึง “ปัญหาวิกฤติชาติของเรา ”ว่า มีอะไรบ้าง   และ เราจะมีวิธีแก้ (การแก้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน)  อย่างไร
                ตามความเป็นจริง   ปัญหาวิกฤตชาติของเรา มี  ๒ ระดับ  คือ  ระดับแรก (หรือหัวข้อแรก)    เราจะทำอย่างไร  ประเทศไทยจึงจะเป็น “ประชาธิปไตย”  (ที่ไม่ใช่ “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” ซึ่งเป็น ประเทศเดียวในโลก )  ;
              และ ระดับที่สอง (หรือหัวข้อที่สอง) เราจะทำอย่างไร  การบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตยของเรา(ในระบบรัฐสภา)  จึงจะมีประสิทธิภาพ  ซึ่งได้แก่  “การปฏิรูปประเทศไทย” 
               กล่าวคือ  เมื่อเราแก้รัฐธรรมนูญ ทำให้การปกครองของเราเป็น “ประชาธิปไตย” แล้ว  เราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนอื่น(นอกจาก ๓ มาตราดังกล่าว) และแก้ไขกฎหมายที่สำคัญ ๆ  ฉบับใดบ้าง  เพื่อทำให้การบริหารประเทศของเรามีประสิทธิภาพ  และไม่ให้มีปัญหาเดิม ๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  เช่น ปัญหา ส.ส. ขายเสียง(หรือรับซอง)ในยกมือสนับสนุนญัติของรัฐบาล  ฯลฯ  เกิดขึ้นซ่ำอีก
        
                และหัวข้อที่ ๓  ซึ่งผู้เขียนถือว่า  เป็นหัวข้อที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาวิกฤติชาติ  คือ ใครจะเป็นผู้ใช้อำนาจรัฏฐาธิปัติ  และทำให้ “การปฏิรูป” เกิดขึ้นได้จริง      
                เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “ทำอย่างไร เราจึงจะเป็น ประชาธิปไตย”  หรือ “ทำอย่างไร การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ของเรา  จึงจะมีประสิทธิภาพ”  เราจำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญ (ฉบับปัจจุบัน) ทั้งสิ้น  และดังนั้น  ในการแก้ปัญหาวิกฤตชาติ  เราจึงจำเป็นต้องมี “อำนาจรัฏฐาธิปัตย์”  เพื่อที่จะแก้รัฐธรรมนูญ
        
                ปัญหาของคนไทยมีอยู่ว่า   โดยที่ขณะนี้ ระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๕๐  ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย  แต่เป็น “ระบอบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” ประเทศเดียวในโลก  และนายทุนพรรคการเมืองกำลังผูกขาดอำนาจรัฐอยู่  
                ถ้านายทุนพรรคการเมืองที่ผูกขาดอำนาจรัฐ  ไม่ยอมแก้รัฐธรรมนูญ ที่จะทำให้ตนเองต้องสูญเสียอำนาจ   เรา(คนไทย) จะแก้รัฐธรรมนูญ (ให้เป็นประชาธิปไตย)  ได้อย่างไร
        
             ผู้เขียนเห็นว่า  ในการแก้ปัญหาวิกฤตชาติครั้งนี้   สิ่งแรกที่จะต้องทำ  คือ ต้องทำให้ปรากฎอย่างชัดเจน ว่า   การปฏิรูป(ประเทศ)นั้น   เป็นไปเพื่อ “ประโยชน์ส่วนรวม” ของคนไทยทั้งประเทศ  และ เมื่อปรากฎชัดแจ้งแล้วว่า “ประโยชน์ส่วนรวม” อยู่ที่ไหน  “ คนไทยทุกคนมีหน้าที่   ที่จะต้องประพฤติตัวปฏิบัติงาน   ให้สมแก่ฐานะและหน้าที่  เพื่อให้สำเร็จ “ประโยชน์ส่วนรวม”
        
                                                       ***********************
         
           
        
       v หัวข้อที่ ๑   ทำให้ระบอบการปกครองของประเทศไทย  เป็นประชาธิปไตย 
        
       ●  ทำไมนานาประเทศและเลขาธิการสหประชาชาติ (นาย บัน คี มูน) จึงไม่เข้าใจ  การกระทำของ “มวลมหาประชาชน”  และตำหนิ การขัดขวางการเลือกตั้งทัวไป ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ของ “มวลมหาประชาชน”
                  ผู้เขียนได้กล่าวในตอนต้นแล้วว่า   การตั้งประเด็นให้ “มวลมหาประชาชน” เลือกเอาระหว่าง “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป” (?)   ได้ทำให้ “มวลมหาประชาชน ” และคนทั่วไป  มองไม่เห็น “สาเหตุ” ที่แท้จริง ของวิกฤตชาติ   และเมื่อมองไม่เห็นถึงสาเหตุที่แท้จริง ของวิกฤตชาติ  ก็จะนำไปสู่การเข้าใจ “วิธีการปฏิรูป (ประเทศ)”  ที่ผิดพลาด
        
                  เราลองมาดู  slogan ของ “มวลมหาประชาชน ที่ว่า “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”  (ที่อยู่บนผ้าคาดหัวของสมาชิกมวลมหาประชาชน)  ประกอบกับการอธิบาย  ของ “กปปส.”  ที่ว่า  การปฏิรูปประเทศ ของมวลมหาประชาชน จะกระทำด้วยการตั้ง “สภาประชาชน” ที่ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน ๔๐๐คน โดยมาจากผู้แทนสาขาอาชีพ ต่าง ๆ  ๓๐๐ คน และสมาชิกอื่นที่ กปปส. เลือกมาอีก ๑๐๐ คน  ( โดยจะมีการปฏิรูปในเรื่องต่าง ๆ เช่น กิจการตำรวจ  การเลือกตั้งผู้ว่าราชการทุกจังหวัด  และ ฯลฯ )
                  ปัญหามีว่า  slogan ของ “มวลมหาประชาชน  และคำอธิบายของ “กปปส.” (ที่ว่า  การปฏิรูปจะกระทำด้วยการตั้ง “สภาประชาชน”)   ได้สร้างความเข้าใจใน “การกระทำ” ของมวลมหาประชาชน แก่บุคคลภายนอกได้ มากน้อยเพียงใด
                  ผู้เขียนเห็นว่า  slogan ของมวลมหาประชาชน ที่ว่า “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”  นอกจากจะไม่มีส่วนในการอธิบาย “การกระทำ” ของมวลมหาประชาชน ให้บุคคลภายนอกได้เข้าใจถึง “เหตุผล” ในการกระทำของมวลมหาประชาชนแล้ว   แต่กลับจะสร้างความไม่แน่ใจและความสงสัย ให้แก่คนจำนวนหนึ่งที่มองไปไกลกว่านั้น
                ถ้ามวลมหาประชาชน จะขัดขวาง “การเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์๒๕๕๗”  ผู้เขียนคิดว่า  กปปส. ควรจะต้องให้เหตุผลว่า  ““การเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์๒๕๕๗”  ไม่ถูกต้องอย่างไร ; ไม่ใช่ให้เหตุผลว่า  เพราะมวลมหาประชาชน ต้องการ “การปฏิรูป”  ซึ่งเป็นคนละเรื่อง  คนละประเด็น ; เหมือนกับถามว่าไปใหนมา  ตอบว่า สามวาสองศอก
               หรือ ถ้า “มวลมหาประชาชน” ต้องการการปฏิรูป “ก่อน”การเลือกตั้ง และขัดขวางการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์๒๕๕๗  ผู้เขียนก็คิดว่า  กปปส.ควรจะต้องอธิบายว่า  “การเลือกตั้ง” หลังการปฏิรูป  จะดีกว่า หรือถูกต้องกว่า  “การเลือกตั้งวันที่ ๒ กุมภาพันธ์  (ที่ทำ)ก่อนการปฏิรูป” อย่างไร  ซึ่งไม่ปรากฎว่า  “กปปส.”  มีคำอธิบายในเรื่องนี้  แต่อย่างใด     
             
              คำว่า “การปฏิรูป” มีความหมายไม่แน่นอน  และ สิ่งที่  “กปปส.” ระบุว่า จะมีการปฏิรูป (เช่น การเปลี่ยนแปลงการบริหารตำรวจ  การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ฯลฯ)  ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่า ถ้าทำไปแล้วจะมีผลดีผลเสียในการบริหารอย่างไร  เพราะยังไม่มีกระบวนการคีกษาวิเคราะห์  หากแต่เป็นเพียง “ความเห็น” ของ กปปส. ;  คำว่า “การเลือกตั้ง” (ซึ่งหมายถึง การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗) ก็เช่นเดียวกัน   การเลือกตั้งครั้งนี้   เป็นการเลือกตั้งทั่วไปที่กระทำขึ้นหลังจากที่รัฐบาลได้ยุบสภาเมื่อวัน ๙ ธันวาคม ๒๕๕๖  อันเป็นวิธีการเปลียนรัฐบาลในกรณีที่มีวิกฤตในการบริหารประเทศ  ที่กระทำกันใน “ระบบรัฐสภา” ทั่ว ๆ ไป  ซึ้ง “กปปส.” ไม่ได้ให้เหตุผลว่า   การที่ “มวลมหาประชาชน”  ขัดขวางการเลือกตั้งครั้งนี้  เป็นเพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เป็นไปตาม “ระบอบประชาธิปไตย”อย่างไร  หรือ ไม่ถูกต้อง  อย่างไร
               และข้อที่สำคัญ  ที่ทำให้ดูเหมือนว่า  “มวลมหาประชาชน” และ กปปส. เอง อาจจะเป็นฝ่ายผิดพลาด  ก็คือ  การที่ กปปส. ได้เสนอให้มี  “การปฏิรูปประเทศ” และมีแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ   ด้วยความเห็นชอบ โดย “สภาประชาชน”   ซึ่งเป็นสภาที่มาจากบุคคลเพียงบางกลุ่ม” ฯลฯ  ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามหลักการของประชาธิปไตย - principle of  democracy  เนื่องจาก  “สภาประชาชน” มิใช่ “สภา” ที่สมาชิกมาจากการเลือกตั้ง โดย ผู้มีสิทธิออกเสียงทั่วประเทศ 
              [หมายเหตุ:    ซึ่งก็ปรากฎ “ข้อเท็จจริง” ให้เห็นแล้วว่า   รัฐบาลปัจจุบัน รวมทั้งนักกฎหมายฝ่ายรัฐบาล   ก็มิได้พลาดโอกาสที่จะย้ำแสดงให้เห็นความผิดพลาด ของ“มวลมหาประชาชน” และ กปปส. ในการเสนอครั้งนี้   โดยกลุ่มนักกฎหมายดังกล่าว  ได้จัดให้มีการอภิปรายขึ้น ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ (กลางเดือนมกราคม ๒๕๕๗)  และได้ยกประเด็น ความไม่ถูกต้อง(ตามกระบวนการประชาธิปไตย) ของ “สภาประชาชน” ขึ้นมาแถลงให้ประชาชนเห็น   เพียงแต่ว่า ในการอภิปรายดังกล่าว  บุคคลเหล่านี้จะพูดถึงความผิดพลาดในข้อเสนอของ กปปส. เพียงด้านเดียว.   และจะหลีกเลื่ยงไม่พูดถึง “ระบบเผด็จการของพรรคการเมืองนายทุน” ที่รัฐบาลกำลังผูกขาดอำนาจรัฐอยู่ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน  ซึ่งไม่ใช่ “ระบอบประชาธิปไตย” เช่นเดียวกัน]  
        
                 ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎ  อาจสรุปได้ว่า  ดูเหมือนว่า   มวลมหาประชาชน   ต้องการ “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง”  ทั้ง ๆ ที่มวลมหาประชาชนยังไม่แน่ใจว่า  “การปฏิรูป (ที่มวลมหาประชาชน  ต้องการทำก่อนการเลือกตั้ง)” นั้น  หมายถึงการปฏิรูปเรื่องอะไร  และมีวิธีการปฏิรูปอย่างไร   และยังไม่ทราบว่า  “การเลือกตั้ง (ที่มวลมหาประชาชนต้องการหลังปฏิรูป)”  หรือ “การเลือกตั้ง (ที่มวลมหาประชาชนไม่ต้องการก่อนปฏิรูป)”นั้น  หมายถึง  การเลือกตั้ง ลักษณะไหน
                ผู้เขียนคิดว่า   มวลมหาประชาชน  และ กปปส. น่าจะต้องทำความกระจ่าง และ สื่อให้บุคคลภายนอกได้เข้าใจ  “เหตุผล” ในการกระทำของ “มวลมหาประชาชน” ให้ชัดเจนมากกว่านี้  เป็นต้นว่า  การที่มวลมหาประชายนไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗  เป็นเพราะ  “(มวลมหาประชายนไม่ต้องการ) การเลือกตั้งที่ ส.ส.เป็นทาษนายทุน”   หรือ “(ไม่ต้องการ) รัฐธรรมนูญที่เป็นระบบเผด็จการนายทุน”   หรือ “(ต้องการ) รัฐธรรมนูญที่เป็นระบอบประชาธิปไตย”  หรือ  ฯลฯ  
        
       ● การทำให้ระบอบการปกครองของประเทศไทย  เป็น “ประชาธิปไตย”
                 ทำอย่างไร  นานาประเทศและเลขาธิการสหประชาชาติ (นาย บัน คำ มูน) จึงจะรู้ “ความจริง”  และเข้าใจการกระทำของ “มวลมหาประชาชน” อย่างถูกต้อง  (ซึ่งจะช่วยให้ความมุ่งหมายของ “มวลมหาประชาชน” ในการแก้ปัญหาวิกฤตชาติ  ประสบความสำเร็จ)
               คำตอบอย่างง่าย ๆ ก็คือ  มวลมหาประชาชน และ กปปส.  จะต้องทำให้นานาประเทศฯ  รวมทั้งคนไทยทั้งประเทศ  มองเห็น “ความจริง” ที่ว่า  “ระบอบการปกครองของประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  ไม่ใช่ ระบอบประชาธิปไตย”    และการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗  ก็ไม่ใช่ ”การเลือกตั้ง ที่เป็น  democratic process”  
                 และด้วยเหตุนี้  มวลมหาประชาชน และ กปปส. จึงได้ขัดขวางการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗  เพราะต้องการทำให้ “การเลือกตั้ง(ทั่วไป)” เป็นไปตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยเสียก่อน  แล้วจึงจะจัดให้มีการเลือกตั้ง(ทั่วไป)   
              และ สำหรับการเสนอ “วิธีการปฎิรูป (ประเทศ)” ของ มวลมหาประชาชน และ กปปส.(ว่าด้วย “สภาประชาชน” )ก็เช่นเดียวกัน  ผู้เขียนก็เห็นว่า  มวลมหาประชาชน และ กปปส. น่าจะต้องเปลี่ยนแปลง “ข้อเสนอ” ในวิธีการปฏิรูป   เพื่อให้วิธีการปฏิรูป (ประเทศ)ของมวลมหาประชาชน  เป็นไป ตามหลักการของ democratic process  (ซึ่งจะได้กล่าว ในหัวข้อ ต่อไป)
                
               ขณะนี้  “มวลมหาประชาชน”   ทราบอยู่แล้วว่า  “สิ่งที่เราไม่ต้องการ”  ก็คือ  เราไม่เอา “ระบอบทักษิณ”    
               ความเลวร้ายของ “ระบอบทักษิณ”  (ซึ่งนอกจากเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬาร ทั้งทุจริตทางตรง และทุจริตทางนโยบายด้วยการใช้ “สภา” ออกกฎหมายเพื่อประโยชน์ของตนเอง  เอากิจการสื่อสารของรัฐไปขายให้แก่ต่างชาติ  ออกกฎหมายแปรรูปรัฐวิสากิจเอากิจการผูกขาดของรัฐไปให้แก่ตนเองและพรรคพวก ออกกฎหมายนีรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง ฯลฯ)  มีมากมายเพียงใด  ท่านคงฟัง “ข้อเท็จจริง” ที่มวลมหาประชาชนได้นำมาเปิดเผยในการปราศรัยที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และในเวทีอื่น ๆ นับเวลากว่า ๒-๓ เดือนนี้ และทราบกันดีอยู่แล้ว  ผู้เขียนคงไม่จำต้องนำมากล่าวซ้ำอีก   และเราคงไม่ เอาระบอบทักษิณ แน่ ๆ 
               แต่ข้อที่น่าสังเกต  ก็คือ  สิ่งที่คนทั่วๆ ไปได้ยินจาก “คำปราศรัย” ในเวทีต่างๆของมวลมหาประชาชน   เป็นต้นว่า  “ระบอบทักษิณเป็นระบบเผด็จการนายทุน”   “ระบอบทักษิณ เป็น “ระบอบนายทุนสามานย์” ฯลฯ   แต่สิ่งที่ผู้เขียนไม่ได้ยิน  ก็คือ  การบอกว่า  “ระบอบทักษิณ”  เกิดขึ้นมาได้อย่างไร  และ อะไร  ที่เป็น “สาเหตุ” ที่ทำให้ทักษิณสามารถซื้อ ส.ส.  และผูกขาดใช้อำนาจรัฐ ทำการทุจริตคอร์รัปชั่นและแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากทรัพยากรของชาติได้  มากมายถึงเพียงนั้น
                  ดูเหมือนว่า  ขณะนี้  เราทราบเพียงแต่ว่า เราไม่เอา “ระบอบทักษิณ” เพราะการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬาร  ซึ่งมีข้อเท็จจริงที่ยืนยันมากมาย  แต่เราไม่ทราบว่า  อะไร  คือ  “สาเหตุ” ที่ทำให้ระบอบทักษิณสามารถทำการทุจริตคอร์รัปชั่นได้อย่างมโหฬาร 
        
                ในการให้สัมภาษณ์ใน FM TV ครั้งแรก เมื่อต้นเดือนธ้นวาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมานี้  ผู้เขียนได้นำ “ปัญหา” เรื่องบทบัญญัติรัฐธรรมนูญของเรา ที่ได้สร้าง “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” (ฉบับเดียวในโลก)มาเสนอต่อท่านผู้ฟัง  ซึ่งก็เป็นที่ประหลาดใจมาก  ที่ปรากฎว่า การให้สัมภาษณ์  FM TV ของผู้เขียนครั้งแรกนี้  ได้มีผู้สนใจเข้ามาอ่านคำให้สัมภาษณ์ของผู้เขียนนี้ ถึงหนึ่งแสนคนเศษ  [หมายเหตุ ทั้งที่ ผู้เขียนได้เคยเขียนบทความต่าง ๆในประเด็นนี้ เพื่อเตือนนักกฎหมายและนักวิชาการของเรา มานานแล้วไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีแล้ว ]  
               “ระบอบทักษิณ” เกิดจาก บทบัญญัติเพียง ๓ มาตราในรัฐธรรมนูญของเรา  ซึ่งทำให้ระบอบการปกครองของเรา  เป็น “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา”  (ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวในโลก  ไม่มีรัฐธรรมนูญของประเทศใดเขียนอย่างนี้)  และ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย  
        
                ระบอบการปกครองของประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญของไทยฉบับปัจจุบัน  ไม่ใช่ “ระบอบประชาธิปไตย” และ
                 “การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗”  ไม่ใช่เป็น “การเลือกตั้ง ที่เป็น democratic   process”
                  (เพราะเป็นการเลือกตั้ง  ที่ “ผู้สมัครรับเลือกตั้ง” ของเราถูกรัฐธรรมนูญบังคับให้ต้องสังกัดพรรคการเมือง ไม่สามารถสมัครโดยอิสระได้  และเมื่อได้รับการเลือกตั้งมาแล้ว ส.ส.ของเราไม่มีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส. ได้ตามมโนธรรมของตนเอง  หากแต่ต้องใช้สิทธิออกเสียงในสภาตามมติสั่งการของพรรคการเมือง
              [หมายเหตุ  อันที่จริงแล้ว  “การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗” ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของเรา นอกจากจะไม่ใช่  democratic process  แล้ว  ยังเป็น process ในทางตรงกันข้าม  คือ  เป็นกระบวนการที่ธำรงรักษา “ระบบผูกขาดอำนาจของพรรคการเมืองนายทุน” ไว้อีกด้วย ]
                    
               ในการทำให้ “ระบอบการปกครองของประเทศไทย  เป็นประชาธิปไตย  เราจำเป็นต้องยกเลิก บทมาตรา ๓ มาตราในรัฐธรรมนูญ (ที่ทำให้ระบอบการปกครองขดงเราเป็น“ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา”)  และคงต้องยกเลิก “ก่อนการเลือกตั้ง(ทั่วไป)”  ทำเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น  ทำพรุ่งนี้ได้ก็ดี
               ในการให้สัมภาษณ์ FM TV ครั้งแรก  ผู้เขียนได้กล่าวไว้แล้วว่า  ถ้าไม่ยกเลิก “บทมาตราของรัฐธรรมนูญ” ที่สร้าง “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน” ที่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวในโลกนี้แล้ว  เลือกตั้งอีกกี่ครั้ง “ระบบทักษิณ” ก็จะกลับมาอีก ;  เหมือนกับ  การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ.๒๕๔๐ โดยรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ.๒๕๕๐  เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ;  ซึ่งรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ.๒๕๕๐ นอกจากจะมองไม่เห็นและไมได้ยกเลิก “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา”(ประเทศเดียวในโลก) ในรัฐธรรมนูญ ฉบับ ปี พ.ศ.๒๕๔๐ แล้ว  แต่ยังกลับแก้ไขเพิ่ม “มาตรการ”ที่ทำให้ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้นอีกด้วย  ดังนั้น  ระบบทักษิณจึงได้กลับมาอีก [หมายเหตุ ในประเด็น “วิวัฒนาการ” ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆของประเทศไทย   โปรดดูได้จาก  บทความของผู้เขียน ในการบรรยายที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ”  ในเดือนกุมภาพันธ์  พ.ศ. ๒๕๕๖ ] 
          
                 ดังนั้น  การล้มล้างระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุนนี้ ออกจากตัวบทรัฐธรรมนูญ  จึงเป็น “สิ่งแรก” ที่จะต้องทำในการแก้ปัญหาวิกฤตชาติ  
                และ การล้มล้างระบบเผด็จการนี้ออกจากรัฐธรรมนูญ  เป็นการแก้ปัญหาที่สำคัญ มากกว่าการปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ว่าด้วยระบบเลือกตั้ง หรือ การไล่ตามจับการซื้อขายเสียงในการเลือกตั่งเป็นรายกรณี  ตามที่พูด ๆ กันอยู่
          
       ● การแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ฉบับปัจจุบัน) เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็น “ประชาธิปไตย”
                   เราต้องไม่ลืมว่า  การบริหารประเทศของ “รัฐ - modern  state” ”ในยุคปัจจุบัน   รัฐจำเป็นต้องมี “รัฐธรรมนูญ”(ลายลักษณ์อักษณ) เป็นกฎเกณฑ์ ในการจัดระบบสถาบันการเมืองในการบริหารประเทศ  ไม่ว่า จะเป็นรัฐธรรมนูญ(หรือธรรมนูญ) ฉบับชั่วคราว  หรือ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวร  (ที่เราตั้งใจจะใช้ต่อไปเป็นเวลานาน) ก็ตาม
                 และดังนั้น  เราจึงไม่สามารถพูดถึง  การเปลี่ยนแปลงการจัดระบบสถาบันการเมืองฯ   โดยไม่พูดถึง การยกเลิกหรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  ไม่ได้
               
                ผู้เขียนไม่ทราบว่า  ท่านผู้อ่านได้สังเกตบ้างหรือไม่ว่า  ในการแก้ปัญหาวิกฤตชาติครั้งนี้  นักกฎหมายและนักวิชาการของเราไม่(ค่อย)ได้พูดถึง “การแก้รัฐธรรมนูญ” ;  กล่าวคือ  นักกฎหมายและนักวิชาการของเรา พูดถึง  “ระบบทักษิณ ว่า เป็นระบบเผด็จการนายทุนสามานย์”   แต่นักกฎหมายและนักวิชาการของเรา  ไม่พูดถึง (และไม่ตรวจดู) บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ทำให้เกิด ระบบทุนสามานย์ ; นักกฎหมายและนักวิชาการของเรา พูดถึง “การไม่เอาระบอบทักษิณ”  แต่นักกฎหมายและนักวิชาการของเรา  ไม่พูดถึงการยกเลิกบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ทำให้เกิด “ระบอบทักษิณ” ; และ นักกฎหมายและนักวิชาการของเรา พูดถึง “การปฏิรูป”  แต่นักกฎหมายและนักวิชาการของเรา  ไม่พูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
                 ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า  เป็นความแปลกประหลาดอย่างหนึ่งในวงการกฎหมายและวงการวิชาการของเรา
                แต่ไม่ว่า ความแปลกประหลาดในวงการกฎหมายและวงการวิชาการของเรา จะเกิดขึ้นเพราะเหตุใด    ในบทความนี้   ผู้เขียนจะขอพิจารณาต่อไปว่า    ถ้าเราจะทำให้ “ระบอบการปกครองของประเทศไทย  เป็นประชาธิปไตย”   เราจะแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมาย(ที่เกี่ยวข้อง)อย่างไร  และเราจะใช้เวลานานประมาณเท่าใด  ก่อนที่จะมี “การเลือกตั้งทั่วไป”
        
               ◊ เราได้กล่าวแล้วว่า  “สิ่งแรก”ที่เราต้องทำในการทำให้การปกครองของเราเป็น “ระบอบประชาธิปไตย”  คือ  การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  โดยการยกเลิกบทมาตรา ๓ มาตราที่ทำให้ระบอบการปกครองของไทย เป็น “ระบอบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน  ในระบบรัฐสภา”  และถ้าหากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามกระบวนการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ  โดยนักการเมืองนายทุนเจ้าของพรรคการเมืองที่ผูกขาดอำนาจรัฐอยู่ในปัจจุบัน  เราก็จำเป็นต้องมีการ “ปฏิวัติ”  เพื่อให้ได้มาซึ่ง อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
               แต่อย่างไรก็ตาม  เราต้องระลึกด้วยว่า  อำนาจรัฐที่ได้มาโดย “การปฏิวัติ” นั้น  เป็นเพียงอำนาจยกเว้น ที่ใช้เพื่อแก้ปัญหาประเทศในยามวิกฤต เป็นการเฉพาะคราวเท่านั้น
               ดังนั้น  เมื่อเราได้ยกเลิกบทมาตรา (๓มาตรา) ที่สร้าง “ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” ออกไปรัฐธรรมนูญแล้ว  เราก็ต้องกลับเข้าไปสู่หลักการของการปกครองระบอบประชาธิไตย ที่นานาประเทศยอมรับกันเป็นสากลโดยเร็ว  และนั่น ก็คือ  การมี “สภาผู้แทนราษฎร”  ที่มี สมาชิกมาจากเลือกตั้งทั่วไป ที่ประชาชนทั้งประเทศทำการเลือกตั้ง
                  “การปฏิวัติ ครั้งนี้(หากมี)  ก็จะเป็นการปฏิวัติ(หรือรัฐประหาร) ที่แตกต่างกับการปฏิวัติหรือรัฐประหารครั้งก่อน ๆ   เพราะเป็น “การปฏิวัติ” เพื่อทำให้การปกครองประเทศของเรา เป็น “ประชาธิปไตย”  และหลุดพ้นจาก  “ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” (ประเทศเดียวในโลก)  และเป็น “การปฏิวัติ” เพื่อล้มล้าง “รัฐบาล” ที่เข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐ  โดยอาศัยการเลือกตั้งภายไต้ระบบเผด็จการตามรัฐธรรมนูญ ที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น  และไม่ยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การปกครองประเทศ เป็น “ประชาธิปไตย”
              
               และเราต้องไม่ลืมว่า คนที่คิดอย่าง “ทักษิณ” และอยากจะทำอย่าง “ทักษิณ”  คงมิใช่มีแต่เพียงทักษิณคนเดียว  ไม่ว่าจะในปัจจุบันนี้หรือในอนาคต  และผู้เขียนเองก็ไม่อยากจะคิดว่า  แม้ในขณะปัจจุบันนี้  ก็อาจยังมี “นักการเมือง” บางคนที่คิดอยากร่ำรวยอย่างทักษิณอยู่อีกก็ได้  และมีความหวังว่า  เมื่อได้ไล่ทักษิณออกไปแล้ว  ตนเองจะได้เข้าแทนที่  [ หมายเหตุ  โปรดสังเกตว่า   เพราะเหตุใด  จึงมีการพูดว่า  ไม่เอาระบอบทักษิณ และต้องการการปฏิรูป  แต่ทำไม จึงไม่มีการพูดว่า จะยกเลิกบทมาตราที่ทำให้เกิด “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน” ออกไปจากรัฐธรรมนูญ ]
        
                     ◊  ถ้าเราต้องการเพียงเท่านี้  คือ  ต้องการให้ประเทศไทยเป็น “ประชาธิปไตย” (หมายถึง “ประชาธิปไตย” ตามหลักสากล   ไม่ใช่ประชาธิปไตย ตามแบบของนายทุนเจ้าของพรรคการเมืองบอกให้เราเชื่ออยู่ทุกวันนี้ )   โดยที่เรายังไม่พิจารณาถึง “การปฏิรูป” หรือ“การปฏิรูปประเทศ”  ;  นอกจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิกบทมาตรา  ๓ มาตราดังกล่าวแล้ว  เราก็แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง เพื่อให้มีความเป็นกลางและเป็นธรรมมากขึ้น  (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มบทบาทและอำนาจหน้าที่ขององค์กรอาสาสมัครที่เป็นกลาง)  และแก้ไข “กลไกเกี่ยวกับการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นห้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและรวดเร็วยิ่งขึ้น  และเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ชอบรับใช้นักการเมืองนายทุน  ฯลฯ  เพียงเท่านี้  ผู้เยียนก็คิดว่า  เราสามารถจัดให้มี “การเลือกตั้งทั่วไป” ได้ทันที 
                    ผู้เขียนคิดว่า   ระยะเวลาที่แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมาย   จนกระทั่งมี “การเลือกตั้งทั่วไป”ได้  คงจะใช้เวลาไม่เกิน ๙๐ วันหรือ ๓ เดือน  และ เราก็จะมีรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม(จากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พ.ศ.๒๕๕๐) มาใช้บังคับได้   
                 และในกรณีนี้  “มวลมหาประชาชน” บางส่วน   ก็อาจไปรวมตัวกัน ตั้งเป็นพรรคการเมืองพรรคใหม่  และส่งผู้สมัตรเข้ารับเลือกในการเลือกตั้งทั่วไป  และ พิสูจน์กับพรรคเพื่อไทยของรัฐบาลดูว่า ในการเลือกตั้งทั่วไปนั้น  พรรคการเมืองใดจะมีจำนวน ส.ส. ที่ได้รับเลือกตั้งมากกว่ากัน
        
                 ซึ่งผู้เขียนเองก็อยากจะทราบเหมือนกันว่า  ในขณะนี้  คือ  เมื่อสังคมไทยได้รับรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ “ระบอบทักษิณ” ตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ดี แล้ว    ผล หรือ profile ของการออกเสียงเลือกตั้งของผู้มีสิทธิออกเสียงของเราในการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้า( หลังจากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯแล้ว)  จะเป็นอย่างไร
                 และผู้เขียนคิดว่า  เมื่อระบอบการปกครองของเราเป็นประชาธิปไตยแล้ว  และ ถ้ามาตรการที่เป็น  “กลไกเกี่ยวกับการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น”  ที่ได้แก้ไขไปโดยการใช้ “อำนาจรัฏฐาธิปัติ” ที่ได้มาจากการปฏิวัติ ไปนั้น พอเพียง  ก็น่าจะเป็นที่คาดหมายได้ว่า  การซื้อขายเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปตามรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม  ก็จะลดน้อยลง  เนื่องจากนักการเมืองนายทุน  มองไม่เห็นโอกาสที่จะ “ถอนทุนคืน”   แม้ว่าตนจะได้กลับเข้าคุมเสียงข้างมากของ ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎร  และได้มาเป็นรัฐบาลก็ตาม
                  “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา”  เป็นต้นเหตุโดยตรงของการทุจริตคอร์รัปชั่น  เพราะ การผูกขาดอำนาจรัฐ เป็น “มูลเหตุจูงใจ”  ที่ทำให้นายทุนเจ้าของพรรคการเมืองลงทุนซื้อเสียงในการเลือกตั้ง  เพื่อให้พรรคการเมืองของตนได้เข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐใน “ระบบรัฐสภา”  และทำการทุจริตคอร์รัปชั่นและแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรของส่วนรวม
        
                  การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ประเทศไทยเป็น “ประชาธิปไตย”  โดยล้มล้างระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน (ประเทศเดียวในโลก)  จะเป็นการแก้ปัญหาวิกฤตชาติ ในส่วนสำคัญ  แม้จะไม่ทั้งหมด
                แต่ถ้าเรา (คนไทย) ต้องการจะ “ปฏิรูป (ประเทศ)” ไปด้วย   เราก็ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นมากกว่านี้  และต้องการ  “ความรู้” มากกว่านี้   และแน่นอน  ก่อนที่เราจะรู้ว่า  เราจะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอย่างไร เพื่อการปฏิรูป(ประเทศ)   เราก็คงต้องรู้ก่อนว่า  “การปฏิรูปประเทศ คือ อะไร”  เพราะมิฉะนั้น  เราคงแก้รัฐธรรมนูญ ฯ ไม่ถูก  ซึ่งเราจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อไป ในหัวข้อที่สอง
                
               ●  แต่อย่างไรก็ตาม  ก่อนที่จะผ่านหัวข้อแรกนี้ไป  ผู้เขียนมีประเด็นอยู่ประเด็นหนึ่ง  ที่อยากจะขอย้ำไว้ในการสัมภาษณ์ FM TV ครั้งที่สอง(หรือในบทความ)นี้   เพราะประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างมาก  สำหรับการปฏิรูป (ประเทศ) ที่เรากำลังจะต้องทำต่อไป   
             ประเด็นที่ผู้เขียนเป็นกังวล  ก็คือ  มาตรฐานความรู้ทาง “กฏหมายมหาชน” ของนักกฎหมายและนักวิชาการ ของเรา  
             เพราะเท่าที่ปรากฎในขณะนี้ (ตามความเห็นของผู้เขียน)  ผู้เขียนมีความเห็นว่า  มาตรฐานความรู้ทางกฏหมายมหาชนของเรา  ต่ำกว่ามาตรฐานของประเทศที่พัฒนาแล้ว  เป็นอย่างมาก ; เราคงจำได้  ในการให้สัมภาษณ์ FM TV ครั้งแรก  ผู้เขียนได้กล่าวว่า    รัฐธรรมนูญของประเทศไทยในปัจจุบันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย  แต่เป็น “ระบอบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา”  ด้วยบทมาตรา ในรัฐธรรมนูญ  ๓ มาตรา ( คือ  (๑) การบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง /  (๒) การให้อำนาจพรรคการเมืองไล่  ส.ส.ให้พ้นจากสมาชิกภาพของการเป็น ส.ส. ได้  / และ  (๓) การกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส.เท่านั้น)  ซึ่งรัฐธรรมนูญทั่วโลกเขาไม่มีบทบัญญัติเช่นนี้ เพราะขัดกับหลักการของระบอบประชาธิปไตย - principle of democracy    โดยเขายึดถือว่า  ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งนั้น  จะต้องมีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส. ได้ตามมโนธรรมของตน และต้องไม่อยู่ภายไต้อาณัติและการมอบหมายใด ๆ
              และเราเป็น “ระบอบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้  มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๕ จนถึง พ.ศ. ๒๕๕๗  คือ รวมเป็นเวลา กว่า ๒๐ ปีมาแล้ว
        
               ประเด็นสำคัญ ที่ผู้เขียนอยากจะขอให้ท่านผู้อ่านหรือท่านผู้ฟังระลึกไว้เสมอก่อนที่จะทำการ “ปฏิรูปประเทศ” ครั้งนี้  ก็คือ   เราได้เขียนรัฐธรรมนูญที่เป็นระบบเผด็จการโดยนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง (ฉบับเดียวในโลก)นี้ขึ้นมา เป็นเวลากว่า  ๒๐ ปีแล้ว  โดยที่นักกฎหมายและนักวิชาการของเราทั้งประเทศ ไม่เคยรู้เลยว่า รัฐธรรมนูญที่เราเขียนขึ้นมานี้  เป็นรัฐธรรมนูญเพียงประเทศเดียวในโลกที่เขียนเช่นนี้  ทั้งนี้ โดยยังไม่ต้องพูดถึงว่า  นักกฎหมายและนักวิชาการของเราจะรู้หรือไม่รู้ว่า  สิ่งที่เราเขียนขึ้นมานี้ จะขัดหรือไม่ข้ด ต่อหลักการของระบอบประชาธิปไตย  principle of democracy  หรือไม่
                ◊ และ นี่คือ มาตรฐานความรู้ “กฎหมายมหาชน”  ของนักกฎหมายและนักวิชาการโดยทั่วไปของประเทศไทย ในปัจจุบัน
        
                   และที่น่าวิตกยิ่งกว่านั้น  ก็คือ  ขณะนี้ ได้มี “ข้อเท็จจริง” ที่แสดงให้เห็นถึง  สภาพความล้าหลังของมาตรฐานความรู้กฎหมายมหาชนของวงการกฎหมายและวงการวิชาการไทย  ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
                    ตัวอย่างเช่น  การที่วงการกฎหมายและวงการวิชาการของเรา  “หลง”ประเด็นในเรื่องการปฎิรูป(ประเทศ) ในประเด็นที่ว่า  เราจะเลือก “ปฎิรูปก่อนการเลือกตั้ง”  หรือ “ปฎิรูปหลังการเลือกตั้ง”  โดยที่วงการกฎหมาย และวงการวิชาการของเราจำนวนไม่น้อย  ที่มิได้สังวรว่า   ความสำคัญของประเด็นนี้  มิได้อยู่ที่ว่า จะทำ “การปฏิรูป”ก่อนหรือหลังการเลือกตั้ง  แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า  ใครหรือนักการเมิองกลุ่มใด  จะเป็นผู้ที่มาควบคุม “การปฏิรูป(ประเทศ)”     
                   หรือ  ตัวอย่างเช่น  การที่ได้มีองค์กรบางองค์กร หรือบุคคลบางคนได้ เสนอให้มี “การปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” (วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ )   โดยจัดตั้งองค์กรปฏิรูปขึ้น  ด้วยการออกเป็น “พระราชกำหนด”บ้าง  หรือโดยทำเป็น “ประกาศของส่วนราชการ” บ้าง   หรือโดยให้พรรคการเมืองทุกพรรคมาให้คำปฏิญาณร่วมกันก่อนการเลือกตั้งบ้าง  ฯ ลฯ  โดยที่องค์กรหรือบุคคลเหล่านี้ไม่ได้คำนึงถึง “ข้อเท็จจริง” ว่า    “ผลงานขององค์กรปฏิรูปที่ตั้งขึ้นโดยพระราชกำหนด  หรือโดยประกาศของส่วนราชการ ฯลฯ ตามที่ตนเองเสนอนั้น  ย่อมสามารถถูกลบล้างได้ทั้งสิ้นหลังการเลือกตั้ง วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗  ถ้าหากการปกครองของประเทศไทย  ยังคงเป็น “รัฐบาล” ในระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา อยู่
             ข้อเท็จจริงเหล่านี้  แสดงให้เห็นว่า มาตรฐานความรู้ของนักกฎหมายและนักวิชาการไทย   อาจเป็นอุปสรรคแก่การ “ปฏิรูปประเทศ”  ที่เราจำเป็นต้องทำ  
               
           ◊  ขณะนี้  คือ ขณะที่เรากำลังพูดว่า  เราจำเป็นจะต้องทำการ “ปฏิรูป(ประเทศ)”  แต่ก็จะเป็น “การปฏิรูป”  ในขณะที่มาตรฐานความรู้กฎหมายมหาชนของวงการกฎหมายและวงการวิชาการของไทย  ยังคงเป็นไปตามที่ปรากฎให้เห็นอยู่นี้    ปัญหามีว่า  เราจะปฏิรูป(ประเทศ)กัน  อย่างไร  (?)
        
                                                          ***********************
                                                              (๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ - ยังมีต่อ)
        


 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ผลในทางปฏิบัติ เมื่อครบรอบหกปีของการปฏิรูปการเมือง
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544