หน้าแรก บทความสาระ
โทษประหารชีวิตไม่ทำให้อาชญากรรมลดลง
คุณชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ
22 กันยายน 2556 21:31 น.
 
พลันที่ศาลกรุงนิวเดลีซึ่งเป็นศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาอย่างเร่งด่วนเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ให้ประหารชีวิตจำเลย 4 คน ในคดีรุมโทรมหญิงจนถึงแก่ชีวิตเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว มีทั้งปรากฏการณ์ที่ผู้คนต่างแสดงความยินดีว่าการลงโทษนี้สามสมกับความผิดที่เขาเหล่านั้นได้กระทำแล้ว แต่ในทางตรงกันข้ามองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนลซึ่งมีสมาชิกอยู่ทั่วโลกกว่า 3 ล้านคนและเคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพมาแล้วได้ออกแถลงการณ์ว่าโทษประหารชีวิตไม่ได้ช่วยให้ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงในอินเดีย  การปฏิรูปขั้นตอนปฏิบัติและโครงสร้างหน่วยงานอย่างกว้างขวางต่างหากที่จะเป็นทางออกเพื่อแก้ปัญหาการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงอย่างแพร่หลายในอินเดีย
        
       ผมในฐานะที่เป็นผู้หนึ่งที่ต่อต้านโทษประหารชีวิตเห็นว่า
       
       1. ไม่มีมนุษย์หรือคนกลุ่มใดที่สามารถอ้างสิทธิทำร้ายผู้อื่นหรือคร่าชีวิตผู้อื่นถึงตาย ไม่ว่าด้วยเหตุใด
            ชีวิตเป็นสิทธิพื้นฐานของทุกคน และเป็นสิทธิที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ขณะเดียวกันความยุติธรรมไม่ใช่เครื่องชั่งหรือวัดความเท่าเทียมว่า หนึ่งชีวิตที่เสียไปนั้นต้องได้รับการชดใช้ด้วยอีกชีวิตหนึ่ง ความเข้าใจที่ว่าชีวิตต้องแลกคืนด้วยชีวิตนั้นเป็นความเข้าใจผิด เพราะว่าการประหารชีวิตเป็นการทำลายชีวิตอย่างโหดร้าย ซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์และอาจประหารผิดคนได้
       
       2. บางครั้งผู้บริสุทธิ์ถูกประหารชีวิตและไม่มีหนทางชดใช้
            ทางนิติวิทยาศาสตร์เผยให้เห็นว่า มีการตัดสินลงโทษประหารผิดคนมากขึ้น มีหลายกรณีที่ผู้ต้องโทษและถูกประหารชีวิตนั้น กระทำผิดข้อหาฆาตกรรมจริง แต่มีเหตุแวดล้อมที่ระบุชัดเจนว่าเขาเหล่านั้นไม่ควรต้องโทษถึงขั้นประหารชีวิต ความผิดพลาดอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขได้หากคนที่ได้รับโทษประหารชีวิตนั้นเสียชีวิตไปแล้วมีคนบริสุทธิ์เสียชีวิตไปแล้วกี่ราย ตัวอย่างของความผิดพลาดที่เห็นได้ชัดก็คือกรณีของเชอรีแอน ดันแคน ที่คุณกระแสร์ พลอยกลุ่มและพวกที่ตกเป็นแพะรับบาปต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างน่าอเน็จอนาถ
       
       3. การให้ผู้กระทำความผิดนั้นต้องตายตกไปตามกันนั้นไม่ถือว่าเป็นสิทธิมนุษยชนและไม่ควรนำมาใช้คำนวณกันแบบเลขคณิตคิดเร็ว ชีวิตต่อชีวิตหรือตาต่อตา ฟันต่อฟัน
       
       4. ทุกคนต้องได้รับความยุติธรรมความเท่าเทียมกัน
           แต่ในความเป็นจริงไม่มีความเท่าเทียมกันในการตัดสินลงโทษประหารชีวิต จะเห็นได้ว่าคนจน คนไม่มีความรู้และชนขั้นล่างสุดของสังคม มีโอกาสที่จะต้องโทษนี้ได้มากที่สุด จึงเห็นได้ว่าคนที่รวยกว่า คนที่มีการศึกษามากกว่า หรือมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดีกว่า มักจะรอดจากโทษประหารชีวิตเสมอ
       
       5.ด้านความคิดที่ว่าโทษประหาร ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายว่าย่อมเทียบไม่ได้เลยกับคุณค่าแห่งการมีชีวิตอยู่ของบุคคล การลงโทษประหารเป็นการลดคุณค่าศักดิ์ศรีและหลักธรรมแห่งมนุษย์
       
       6.การลงโทษประหารขัดกับหลักทัณฑวิทยา เพราะวัตถุประสงค์ของการลงโทษนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขดัดนิสัยให้กลับตัวเป็นคนดีมิใช่การแก้แค้นทดแทน
       
       7. ข้อโต้แย้งที่ว่าการประหารชีวิตเป็นมาตรการปรามอาญากรรมร้ายแรงได้นั้นเป็นข้อสันนิษฐานที่ขาดพื้นฐานรับรองความเปลี่ยนแปลงของสถิติอาชญากรรมเป็นไปตามกฎเกณฑ์ทางสังคมที่ซับซ้อน
       
       ในประเทศที่ยังใช้โทษประหารสถิติอาชญากรรมก็มิได้ลดลงแต่ประการใด และประเทศที่เลิกการใช้โทษประหารบางประเทศกลับมีสถิติคดีอาชญากรรมลดลง
       
       จากการวิเคราะห์ข้อค้นพบในงานวิจัยเกี่ยวกับโทษประหารและอัตราการฆ่าคนตาย ซึ่งเป็นการสำรวจขององค์การสหประชาชาติเมื่อปี 2531 และมีการปรับปรุงข้อมูลในปี 2539 และ 2545 สรุปว่า “...งานวิจัยที่มีอยู่ไม่สามารถให้หลักฐานอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าการประหารชีวิตมีผลยับยั้งการก่ออาชญากรรมมากกว่าการจำคุกตลอดชีวิต และไม่มีแนวโน้มว่าจะมีหลักฐานสนับสนุนได้ในเวลาอันใกล้หลักฐานที่เราค้นพบส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุนสมมติฐานในเชิงป้องกันอาชญากรรมเลย”
       
       ตัวเลขอาชญากรรมล่าสุดในประเทศที่ยกเลิกโทษประหาร ก็ไม่บ่งบอกว่าการยกเลิกโทษประหารส่งผลในทางลบแต่อย่างใด อย่างเช่นในแคนาดา อัตราการฆาตกรรมต่อประชากร 100,000 คนลดจากตัวเลขสูงสุดที่ 3.09 ในปี 2518ก่อนที่จะมีการยกเลิกโทษประหาร ลงมาเหลือ 2.41 ในปี 2523 และจากนั้นมาก็มีอัตราลดลงเรื่อยๆ และในปี 2546 ยี่สิบเจ็ดปีหลังจากยกเลิกโทษประหาร อัตราการฆาตกรรมอยู่ที่ 1.73 ต่อประชากร 100,000 คน ตํ่ากว่าปี 2518 ถึง 44% และถือว่าตํ่าสุดในรอบสามทศวรรษ แม้ว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.0 ในปี 2548 แต่ก็ยังถือว่าเป็นอัตราที่ตํ่ากว่าตัวเลขในช่วงที่เริ่มมีการยกเลิกโทษประหารถึงหนึ่งในสาม
       เป็นการไม่ถูกต้องที่จะเหมาเอาว่าคนที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงเช่นการฆาตกรรม จะมีการไตร่ตรองอย่างเป็นเหตุผลถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น บ่อยครั้งที่การฆ่าคนตายมักเกิดขึ้นในช่วงที่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล หรือตกอยู่ใต้อิทธิพลของยาเสพติดหรือสุรา บางคนที่ก่ออาชญากรรมรุนแรงเป็นเพราะเกิดจากสภาพความไม่มั่นคงด้านจิตใจหรืออารมณ์เป็นอย่างมาก
        
       จะเห็นได้ว่าโทษประหารไม่ได้มีผลในลักษณะที่ทำให้คนยับยั้งชั่งใจได้เลย นอกจากนั้น ผู้ที่วางแผนล่วงหน้าที่จะก่ออาชญากรรมร้ายแรง ก็ยังเลือกที่จะกระทำความผิดนั้นต่อไปแม้จะมีความเสี่ยงจากโทษประหาร เพราะพวกเขาเชื่อว่าจะสามารถหนีรอดจากการถูกจับกุมตัวได้
       การไม่มีหลักฐานอย่างชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่าโทษประหารมีผลในเชิงป้องกันอาชญากรรม ชี้ให้เห็นถึงความไร้ประโยชน์และอันตรายจากการเชื่อในสมมติฐานเรื่องผลในเชิงป้องกัน และนำข้อมูลนั้นมากำหนดนโยบายใช้โทษประหารของรัฐ มิหนำซ้ำยังจะเป็นผลทางตรงข้ามดังข้อคิดเห็นของนักโทษประหารชีวิตที่ผมได้มีโอกาสพบปะพูดคุยด้วยได้ให้ความเห็นว่ากรณียาเสพติดที่มีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิตทำให้ราคายาเสพติดสูงขึ้นอย่างมากหลายเท่าตัว ทำให้เกิดแรงจูงใจให้คนกระทำความผิดโดยไม่ได้เกรงกลัวต่อโทษประหารชีวิต
       
       ฉะนั้น จึงสรุปได้ว่าโทษประหารเป็นการลงโทษที่รุนแรงต่อชีวิต แต่ไม่มีผลรุนแรงต่อการลดจำนวนของอาชญากรรมแต่อย่างใด
       
       ------------------
       หมายเหตุผู้เขียน หลายครั้งที่ผมพูดหรือเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มักจะได้รับการโต้แย้งว่าผมไม่มีญาติพี่น้องถูกฆาตกรรมจึงพูดหรือเขียนเช่นนี้ ซึ่งหลายครั้งเช่นกันที่ผมตอบว่าคุณพ่อบังเกิดเกล้าของผมก็เสียชีวิตจากการฆาตกรรม แต่ผมก็ยังคงยืนยันในการรณรงค์ยกเลิกโทษประหารชีวิตครับ


 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ผลในทางปฏิบัติ เมื่อครบรอบหกปีของการปฏิรูปการเมือง
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544