|
|
จะช้าหรือเร็วรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 จะต้องถูกแก้ แต่ที่แน่นอนในหมวดของสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทยที่ว่าด้วยการนับถือศาสนาที่ว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพสมบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนคงไม่ถูกแก้ไขไปด้วย เพราะเป็นแบบมาตรฐานทั่วไปของรัฐธรรมนูญ
ประเด็นที่จะยกมาก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าการรณรงค์หรือการบังคับให้ปฏิญาณตนว่า จะยึดมั่นหรือจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์นั้น ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะบุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพที่จะไม่นับถือศาสนา ฉะนั้น การบังคับหรือการรณรงค์ แม้กระทั่งคำกล่าวของบุคคลสำคัญในบ้านเมืองที่ให้ยึดมั่นหรือจงรักภักดีต่อศาสนา จึงเป็นการบังคับขืนใจให้ผู้อื่นกระทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบหรือศรัทธาในแง่ของการปฏิบัติ(หรือไม่ปฏิบัติ)ตามพิธีกรรมตามความเชื่อของตนนั่นเอง
เมื่อกล่าวถึงการไม่นับถือศาสนาสำหรับคนไทยเราแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นของแปลกประหลาดแต่ในต่างประเทศเป็นสิ่งธรรมดามาก จากเว็บไซต์ http://www2.ttcn.ne.jp/~honkawa/9460.html ได้แสดงผลการสำรวจจำนวนร้อยละของผู้ไม่นับถือศาสนาในประเทศต่าง ๆ ดังนี้
เอสโตเนีย 75.5%,อาเซอร์ไบจาน 74%,แอลเบเนีย 60-75%,สาธารณรัฐประชาชนจีน 59-71%,สวีเดน 46-85%,สาธารณรัฐเช็ค 59%(ยังไม่รวมผู้ที่ไม่กรอกข้อมูลในแบบสำรวจอีก 8%),ญี่ปุ่น 51.8%,รัสเซีย 48.1 %,เบลารุส 47.8%,เวียดนาม 46.1%,เนเธอร์แลนด์ 44.0%,ฟินแลนด์ 28-60%,ฮังการี 42.6%,ยูเครน 42.4%,อิสราเอล 41.0%,ลัตเวีย 40.6%,เกาหลีใต้ 36.4%,เบลเยียม 35.4%,นิวซีแลนด์ 34.7%(จาก 87.3%ของผู้สอบถาม),ชิลี 33.8%,เยอรมนี 32.7%,ลักเซมเบอร์ก 29.9%,สโลเวเนีย 29.9%,ฝรั่งเศส 27.2%(ชาย 30.6% หญิง 23.9%,),เวเนซูเอลา 27.0%,สโลเวเกีย 23.1%,เมกซิโก 20.5%,ลิทัวเนีย 19.4%, เดนมาร์ก 19%,ออสเตรเลีย 18.7%(จากผู้ตอบ 88.8%ซึ่งรวมถึง 29.9%ของผู้ที่ไม่ตอบและตอบไม่ชัดเจน),อิตาลี 17.8%,สเปน 17%,แคนาดา 16.2%,อาร์เจนตินา 16.0%,สหราชอาณาจักร15.5%(23.2%ไม่ตอบ),แอฟริกาใต้ 15.1%,สหรัฐอเมริกา 15.0%(จาก 94.6%ของผู้ตอบ) ฯลฯ น่าเสียดายที่ไม่มีข้อมูลการสำรวจของประเทศไทยเรา แต่ผมเชื่อว่าคงมีจำนวนมากที่ระบุศาสนาลงในเฉพาะทะเบียนบ้าน โดยไม่ได้มีการนับถือหรือปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาที่ตนระบุไว้ แต่ก็ไม่กล้าประกาศว่าตนไม่นับถือศาสนาใดใด เพราะเกรงผลกระทบตามมาทางสังคม
การมีศาสนาก็คงจะเป็นเหมือนกับหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ผลดีของการมีศาสนาก็คือเมื่อมนุษย์เชื่อมั่นในศาสนาที่ตนเองนับถืออย่างแท้จริงแล้ว มนุษย์ก็จะไม่ทำความชั่ว จะทำแต่ความดี ซึ่งย่อมที่จะเป็นผลดีทั้งต่อจิตใจของตนเอง และต่อสังคม โลกก็มีสันติภาพ
ส่วนผลเสียก็คือการแต่งเติมคำสอนออกไปมากมายจนผิดเพี้ยน มีการเพิ่มเติม พิธีกรรมจนกลายเป็นการปฏิบัติที่งมงายไร้เหตุผล ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ผู้ที่นับถือเข้าใจหรือเห็นแจ้งในชีวิตขึ้นมาได้ มีการอาศัยศาสนาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากผู้ที่นับถือในลักษณะของธุรกิจการพาณิชย์ไป มีการปฏิบัตินอกลู่นอกทางจากคำสอนดั้งเดิมจนเป็นที่กังขาว่า ฤาศาสนานั้นๆจะไม่ใช่ของดีที่แท้จริง
ผลเสียที่สำคัญก็คือ ความใจแคบของศาสนิก ที่มักจะเชื่อตามกันมาว่าหากใครที่เปลี่ยนศาสนาไปนับถือศาสนาอื่นหรือเปลี่ยนเป็นไม่นับถือศาสนาเป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรง สมควรที่จะต้องถูกรับโทษทัณฑ์อย่างแสนสาหัสตราบนานเท่านาน แม้จะตายไปแล้วก็ตามสำหรับศาสนาที่เชื่อในโลกนี้โลกหน้า
บางครั้งการนับถือศาสนาก็กลับกลายเป็นการเพิ่มข้อผูกมัดให้แก่ชีวิตของผู้นับถือศาสนามากขึ้น เพราะอันเนื่องมาจากเหตุของข้อบังคับในศาสนานั่นเอง แทนที่ศาสนาจะช่วยให้มีอิสรภาพ ก็กลับเป็นว่าศาสนากลายเป็นสิ่งครอบงำหรือผูกมัดให้ผู้นับถือสูญเสียอิสรภาพในการคิด การพูด และการกระทำที่แม้ว่าจะถูกต้องตามหลักสากลก็ตาม
ฉะนั้น จึงไม่เป็นการแปลกประหลาดอันใดที่ผู้มีปัญญาทั้งหลายจะแสวงหาแนวทางที่บริสุทธิ์ ดีงาม ไม่งมงาย ไม่ไร้เหตุผล เป็นสากล และช่วยให้เข้าใจในชีวิต บางคนจึงละทิ้งศาสนาเดิมของตนแล้วกลายเป็น คนไม่นับถือศาสนา(irreligious persons)ไปในที่สุด ซึ่งนับวันคนไม่นับถือศาสนาเช่นนี้จะเพิ่มทวีมากขึ้นในโลกปัจจุบัน
เมื่อไม่มีศาสนาแล้วจะเป็นอย่างไร
ประเด็นนี้ไม่น่าเป็นห่วงสำหรับผู้ที่มีสติปัญญามาก แต่น่าเป็นห่วงสำหรับผู้ที่มีสติปัญญาน้อยหรือไม่มีสติปัญญา เพราะผู้ที่มีสติปัญญาน้อยค่อนข้างเสี่ยงที่จะทำความชั่วได้ง่าย ด้วยเหตุอันมาจากการขาดเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจหรือภูมิคุ้มกัน เพราะเขาไม่เชื่อในผลแห่งการกระทำ จึงพยายามแสวงหาและเสพความสุขให้เต็มอิ่มในปัจจุบัน เพราะเชื่อว่าตายไปแล้วก็ไม่ได้เสพอีก ซึ่งการแสวงหาและการเสพในทางที่ผิดนี้ยิ่งเพิ่มความทุกข์ให้กับตนเองและสังคมด้วย
ในทางกลับกันสำหรับผู้ที่มีสติปัญญามากย่อมเห็นว่าไม่ว่าจะตายไปแล้วหรือไม่ก็ตาม การทำความชั่วนั้นย่อมมีผลเสีย การทำความดีย่อมมีผลดีในตัวของมันเองอยู่แล้ว ดังนั้น ผู้ที่มีสติปัญญาอย่างแท้จริงแม้ไม่มีศาสนาเขาก็ยังทำแต่ความดีและไม่ทำความชั่วได้เหมือนกับคนที่มีศาสนา เพราะผู้ที่ทำความดีนั้นชีวิตของเขาก็ย่อมที่จะมีแต่ความสงบสุข ไม่เดือดร้อน เพราะการทำความดีของเขาในปัจจุบันแม้ตายไปแล้วถ้าโลกหน้ามีจริงเขาก็ย่อมได้รับอย่างแน่นอน แต่หากโลกหน้าไม่มีจริง เขาก็ไม่ขาดทุนเพราะเขาได้รับผลดีอยู่แล้วในปัจจุบัน ซึ่งผมของดเว้นที่จะยกตัวอย่างบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สังคมเคารพยกย่องว่าเป็น คนดีหลายๆท่านที่เป็นผู้ไม่ได้นับถือศาสนาใดใด เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นการโฆษณาชวนเชื่อให้หันมาไม่นับถือศาสนาหรือเป็นการสร้างศาสดาใหม่ขึ้นมาในบรรดาของผู้ที่ไม่นับถือศาสนาไปเสีย
กล่าวโดยสรุปก็คือ ใครเชื่อ ใครนับถือศาสนาไหนก็นับถือไป ใครไม่เชื่อ ใครไม่นับถือศาสนาก็ย่อมเป็นสิทธิส่วนตัวที่ย่อมไม่อาจถูกละเมิดหรือถูกบังคับให้ต้องนับถือศาสนาใดใด ดังที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้และดังเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง และถ้าจะให้ดีหาก สสร.55จะบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้ชัดๆไปเลยว่าบุคคลมีสิทธิเสรีภาพในการนับถือหรือไม่นับถือศาสนาก็จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไม่ต้องมาเถียงหรือตีความกันให้ยุ่งยากและเสียเวลา
-----------------------
|
|
|
|
|