หน้าแรก บทความสาระ
น้ำท่วมถึงดูไบ – ใครฟ้องใครได้?
คุณวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ http://www.facebook.com/verapat.pariyawong
1 มกราคม 2555 19:54 น.
 
สัปดาห์ที่แล้วมีข่าวอยู่ “สองเรื่อง” ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกัน แต่มีประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจยิ่งนัก
        
       เรื่องแรก คือ “กรณีการฟ้องคดีน้ำท่วม” ต่อศาลปกครองเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐบาล มีสมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อนฟ้องแทนประชาชนสามร้อยกว่าคน ตามมาด้วยสภาทนายความที่ฟ้องแทนประชาชนยี่สิบกว่าคน และมีข่าวว่าจะตามมาฟ้องกันอีกร้อยกว่าคน และอีกหลายคนสงสัยว่าจะเรียกค่าเสียหายได้จริงหรือไม่
        
       อีกเรื่อง คือ “กรณีการคืน (ออก) หนังสือเดินทาง” ให้คุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งรัฐบาลอธิบายว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามระเบียบโดยไม่เลือกปฏิบัติ และหนังสือเดินทางเล่มใหม่ได้ถูกส่งไปที่ดูไบแล้ว ส่วนผู้คัดค้านก็เห็นว่า รัฐบาลกระทำผิดกฎหมาย และเอื้อประโยชน์ให้คุณทักษิณโดยเฉพาะ
        
       บทความนี้จะวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมายว่า ประชาชนจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลกรณีน้ำท่วมได้หรือไม่ พร้อมวิเคราะห์แทรกว่า หากมีผู้เชื่อว่าการออกหนังสือเดินทางให้คุณทักษิณไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนการออกหนังสือเดินทางได้หรือไม่ ?
        
       ใครฟ้องใครได้บ้าง ?
        
       ผู้เขียนเคยวิเคราะห์ไปแล้ว (http://on.fb.me/uFUm3V) ว่า การแสวงหาความจริงและความเป็นธรรมโดยฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เพื่อให้รัฐบาล “ในฐานะฝ่ายปกครอง” รับผิดชอบต่อความเดือดร้อนเสียหายของประชาชนนั้น สามารถทำได้ อีกทั้งเป็นสิ่งที่พึงกระทำในสังคมประชาธิปไตย แต่กรณีการฟ้องตามมาตรา ๙ แห่ง พ.ร.บ. ศาลปกครองฯ นั้นมีหลายแบบ ซึ่งในกรณีนี้อาจกล่าวโดยสังเขปได้ว่ามีสามแบบ คือ
        
       - ฟ้องแบบแรก คือ ขอให้ฝ่ายปกครอง (รัฐบาล) หยุดกระทำหรือยกเลิกสิ่งที่ผิด (เช่น เลิกตั้งกระสอบทรายที่ทำให้น้ำขัง หรือเลิกตั้งเครื่องสูบน้ำอย่างเลือกปฏิบัติ ฯลฯ)
        
       - ฟ้องแบบที่สอง คือ ขอให้รัฐบาลทำหน้าที่ให้ถูกต้องครบถ้วนและไม่ล่าช้า (เช่น เร่งระบายน้ำให้ผู้เดือดร้อนเสียหายอย่างเท่าเทียมกัน หรือจัดทำและดำเนินการตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ)
        
       - ฟ้องแบบที่สาม คือ ขอให้รัฐบาลชดใช้เงินหรือทรัพย์สินในกรณีมีการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่น
        
       การฟ้อง “สองแบบแรก” นั้น หาก “การกระทำ” หรือ “งดเว้นการกระทำ” นั้นเป็นกรณีที่รัฐบาลใช้อำนาจทางปกครอง ศาลย่อมสามารถตรวจสอบได้ว่าการนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ (ซึ่งศาลก็ย่อมมีดุลพินิจที่จะพิจารณาว่ารัฐบาลได้ดำเนินการไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ อย่างสมสัดส่วนหรือไม่) หากรัฐบาลทำไม่ถูก ก็ต้องยกเลิกหรือเพิกถอนแล้วแต่กรณี แต่หากเป็นสิ่งที่ถูก แต่ทำไม่ครบหรือหรือทำช้า ก็ต้องไปทำให้ถูกต้อง
        
       ////////////////////////////////////////
       แทรกเรื่อง “หนังสือเดินทางคุณทักษิณ”:
       - อาศัยหลักการเดียวกับเรื่องน้ำท่วม ศาลปกครองย่อมมีอำนาจตรวจสอบว่า กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะฝ่ายปกครอง ได้ใช้อำนาจออกหนังสือเดินทางให้คุณทักษิณโดยถูกต้องได้หรือไม่ หากเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบ เช่น เลือกปฏิบัติหรือใช้ดุลพินิจโดยมิชอบเพื่อเอื้อประโยชน์คุณทักษิณเป็นการเฉพาะ ศาลย่อมเพิกถอนการออกหนังสือได้
       - แต่มีปัญหาอยู่ว่า ศาลปกครองอาจจะไม่รับฟ้องคดีดังกล่าว เพราะผู้ฟ้องอาจไม่ใช่ผู้เสียหายตาม มาตรา ๔๒ แห่ง พ.ร.บ. ศาลปกครองฯ กล่าวคือ กฎหมายกำหนดว่า ผู้ที่จะฟ้องคดีต่อศาลปกครองนั้นจะต้องผู้เดือดร้อนเสียหายจากการที่คุณทักษิณได้รับหนังสือเดินทาง  ซึ่งอาจไม่ชัดเจนเหมือนกรณีน้ำท่วมที่ผู้ฟ้องประสบภัย หรือกรณีกลับกันหากคุณทักษิณจะฟ้องว่าตนถูกกระทรวงการต่างประเทศในอดีตยึดหนังสือเดินทางอย่างเลือกปฏิบัติ ฯลฯ
       - กระนั้นก็ดี ก็น่าคิดต่อว่า หากผู้ฟ้องทั่วไปไม่ใช่ ผู้เดือดร้อนเสียหายจากการที่คุณทักษิณได้รับหนังสือเดินทางแล้วไซร้ ถ้อยคำของอีกมาตรา คือ มาตรา ๔๓ แห่ง พ.ร.บ. ศาลปกครองฯ นั้น จะกว้างพอที่จะตีความให้ผู้ตรวจการแผ่นดินมีสิทธิฟ้องแม้จะไม่มีผู้เดือดร้อนเสียหายเหมือนกับกรณีมาตรา ๔๒ ได้หรือไม่?)
       ////////////////////////////////////////
        
       ส่วนการฟ้องกรณีน้ำท่วม “แบบที่สาม” ที่เรียกค่าเสียหายให้รัฐบาลใช้เป็นตัวเงินนั้น ไม่ใช่ว่าจะฟ้องเรียกและคิดคำนวณตามความเป็นจริงได้ง่ายๆ เพราะผู้ฟ้องอาจต้องเจอกับ “ด่านหิน” อย่างน้อยสองด่านด้วยกัน
        
       ด่านแรก รัฐสภาได้ตรากฎหมายที่ออกแบบมาเป็น “เกราะกำบัง”  ให้ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะในยามที่เกิดสาธารณภัย กฎหมายที่ว่าก็คือ มาตรา ๔๓  แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งบัญญัติหลักการสำคัญไว้สองประการ คือ
        
       - มาตรา ๔๓ วรรคแรก บัญญัติว่า “...หาก [ฝ่ายปกครองที่จัดการปัญหาน้ำท่วม] ได้ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ และได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดทั้งปวง”
        
       - มาตรา ๔๓ วรรคสอง บัญญัติว่า “...หากเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้ใดซึ่งมิใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัยนั้น ให้ทางราชการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้นั้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง”
        
       จากข้อกฎหมายใน “ด่านแรก” ผู้เขียนมี “ข้อสังเกตในแนวฝ่ายรัฐบาล” ดังนี้
        
       ประการแรก รัฐสภาได้ “มอบเกราะหนา” ให้แก่ฝ่ายรัฐบาล  โดยกำหนดในกฎหมายว่า ในยามที่เกิดสาธารณภัย เช่น กรณีน้ำท่วม ซึ่งคงไม่อาจควบคุมดูแลให้สมบูรณ์แบบได้นั้น ฝ่ายรัฐบาลจะต้องรับผิดก็ต่อเมื่อจงใจ หรือ “ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” เท่านั้น
        
       ประการที่สอง รัฐสภาได้ “ยึดอาวุธ” จากฝ่ายตุลาการ โดยกำหนดในกฎหมายว่า ในยามที่เกิดสาธารณภัย เช่น กรณีน้ำท่วม ซึ่งรัฐบาลอาจช่วยเหลือไม่ทั่วถึงและย่อมมีผู้เดือดร้อนเสียหายเป็นจำนวนมากนั้น หากฝ่ายรัฐบาลจะต้องรับผิดชดใช้ความเสียหายให้แก่ผู้ที่ไม่ได้รับประโยชน์จากความช่วยเหลือ กฎหมายก็ยึดอำนาจการกำหนดค่าเสียหายไปจากฝ่ายตุลาการ และมอบให้เป็นอำนาจของฝ่ายรัฐบาลที่จะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายชดเชยให้แก่ประชาชน
        
       กล่าวให้เข้าใจโดยง่ายก็คือ หากผู้เหยื่อน้ำท่วมจะฟ้องให้รัฐบาลรับผิดชดใช้ค่าเสียหายนั้น จะฟ้องแค่ว่ารัฐบาล ประมาท หรือไม่ระมัดระวัง หรือทำงานผิดพลาดล่าช้าจนประชาชนเสียหายไม่ได้ แต่ศาลจะต้องพอใจว่าความประมาทผิดพลาดนั้น “ร้ายแรง” ผิดมาตรฐานที่จะยอมรับได้ และสุดท้ายแม้ฟ้องได้สำเร็จว่าประมาทอย่าง “ร้ายแรง”  จริง ศาลก็มิอาจก้าวล่วงเข้าไปกำหนดจำนวนเงินที่รัฐบาลต้องจ่ายให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามคำฟ้องได้ ศาลเพียงแต่อาจบังคับให้รัฐบาลชดใช้เงินตามหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลเองเป็นผู้กำหนด
        
       แม้ข้อกฎหมายที่กล่าวมาจะเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ฟ้องคดี แต่ผู้เขียนก็มี “ข้อสังเกตในแนวผู้ฟ้องคดี” ดังนี้
        
       ประการแรก ผู้ฟ้องคดีสามารถโต้แย้งได้ว่า มาตรา ๔๓ ดังกล่าวนั้น มิได้เป็นเกราะป้องกันให้ฝ่ายรัฐบาลได้ทุกกรณี เพราะการจัดการปัญหาน้ำท่วมนั้น ย่อมมีการกระทำหรืองดเว้นการกระทำ “บางส่วน” ที่นอกเหนือไปจากการใช้อำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ ซึ่งการเหล่านั้นย่อมอยู่นอกเหนือไปจากเกราะกำบังที่กำหนดไว้เพื่อกรณีตามกฎหมายฉบับดังกล่าวเป็นการเฉพาะเท่านั้น อีกทั้งถ้อยคำในวรรคสองที่ว่า “ผู้ใดซึ่งมิใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัยนั้น” จะต้องตีความอย่างแคบว่าเป็นกรณีของผู้ที่รัฐบาลเลือกให้ไม่ได้รับประโยชน์เท่านั้น มิใช่ใครก็ได้ที่เดือดร้อนเสียหาย ดังนั้น ผลบังคับใช้ของกฎกระทรวงที่ว่าจึงจำกัดเฉพาะมาก
        
       ประการที่สอง หากสุดท้ายศาลตีความว่า การกระทำของฝ่ายรัฐบาลได้รับความคุ้มครองจาก “เกราะ” ตามมาตรา ๔๓ ดังกล่าวแล้วไซร้ ผู้ฟ้องคดีก็ยังคงมีช่องทางที่จะโต้แย้ง “อาวุธ” ของฝ่ายรัฐบาล กล่าวคือ ฟ้องเพื่อโต้แย้งกฎกระทรวงที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยความเสียหายนั้นได้ โดยผู้ฟ้องคดีจะต้องตั้งฟ้องต่อศาลปกครองให้ชัดว่าผู้ฟ้องประสงค์โต้แย้งกฎกระทรวงฉบับใดเพื่อให้ศาลปกครองมีคำสั่งเพิกถอน และกฎกระทรวงนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเหตุใด เช่น เลือกปฏิบัติ หรือสร้างขั้นตอนยุ่งยาก หรือเป็นดุลพินิจที่ไม่ชอบ ซึ่งหากสุดท้ายศาลปกครองไม่ติดใจเรื่องระยะเวลาการฟ้องคดีอีกทั้งเห็นพ้องและเพิกถอนกฎดังกล่าว ฝ่ายรัฐบาลก็ย่อมต้องไปดำเนินการตรากฎกระทรวงให้ถูกต้อง แต่ศาลจะเป็นผู้ใช้ดุลพินิจกำหนดเนื้อหากฎกระทรวงแทนฝ่ายรัฐบาลไม่ได้
        
       ////////////////////////////////////////
       แทรกเรื่อง “หนังสือเดินทางคุณทักษิณ”:  ฉันใดก็ฉันนั้น แม้ผู้ที่คัดค้านอาจไม่สามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนการออกหนังสือเดินทางได้โดยตรง แต่ก็อาจลองพิจารณาการโต้แย้งความชอบด้วยกฎหมายของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๒๑ ซึ่งให้ดุลพินิจฝ่ายปกครองให้ “สามารถ” กระทำหรือไม่กระทำการได้อย่างกว้างขวางเช่นกัน แต่กระนั้นก็ยังต้องพิจารณาว่าผู้ฟ้องนั้นเดือดร้อนเสียหายจากกฎระเบียบดังกล่าวอย่างไร และมีกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะฟ้องแทนได้หรือไม่
       ////////////////////////////////////////
       การฟ้องเรื่องน้ำท่วมที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้ เป็นเพียง “ด่านแรก” ที่มีตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐
        
       แต่สมมติว่าผ่านด่านแรกมาได้ ก็ยังมีด่านที่สอง ซึ่งได้แก่  มาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งให้อำนาจศาลว่า หากสุดท้ายฝ่ายรัฐบาลต้องรับผิดชอบจ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องจริง และหากศาลสามารถกำหนดค่าเสียหายได้เอง กฎหมายก็มิได้บังคับว่าศาลจะต้องกำหนดค่าเสียหายเต็มจำนวนตามความเป็นจริงเท่านั้น แต่ศาลสามารถพิจารณาความเป็นธรรมเฉพาะกรณี อีกทั้งสามารถหักส่วนความผิดออกได้หากเป็นกรณีที่การละเมิดนั้นเกิดจากความบกพร่องของระบบงานส่วนรวม ซึ่งจะไปโทษเพียงใครหรือหน่วยงานใดโดยเฉพาะไม่ได้
        
       กล่าวคือ สุดท้ายแล้ว แม้ศาลจะเห็นว่ารัฐบาลผิดจริง ก็ใช่ว่าผู้เสียหายที่ฟ้องคดีจะได้รับการชดเชยเต็มจำนวน หรือเต็มตามที่ขอต่อศาล แต่ศาลย่อมกำหนดให้ตามความเป็นธรรม เพราะสุดท้ายเงินที่ฝ่ายรัฐบาลจะต้องนำมาจ่าย ก็มิได้นำมาจากไหนนอกไปจากภาษีของประชาชนทุกคน
        
       บทส่งท้าย: ศาลเท่านั้นหรือ ที่ช่วยเหยื่อน้ำท่วมได้ ?
        
       ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่และข้าราชการที่พยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุดตามกำลังความสามารถ และที่สำคัญที่สุด ขอเป็นกำลังใจให้นักกฎหมายที่คอยช่วยเหลือให้ประชาชนผู้เดือดร้อนได้ตื่นตัวและรับทราบช่องทางในการใช้สิทธิทางศาล ให้เกิดพลวัตที่ดีงามตามวิสัยประชาธิปไตย ไม่ว่าจะฟ้องเป็นเรื่องที่กล่าวมา หรือเรื่องอื่นไม่ว่าจะเป็นกรณี “มาตรา ๑๑๒” (http://on.fb.me/tgYHAP)  หรือกรณีกฎหมายอภัยโทษ-นิรโทษกรรม (http://on.fb.me/w0eznn) หรือการพัฒนาข้อเสนอนิติราษฎร์ไปสู่การชำระคราบรัฐประหารออกจากกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นระบบ (http://on.fb.me/nd9GR1 http://youtu.be/4k9LLjhCOHc  และ http://youtu.be/4e0j6bwLV6Y)
        
       ผู้เขียนขอให้พวกเราประชาชนพึงระลึกว่า ช่องทางทางศาลซึ่งมีข้อจำกัดทางกฎหมายนั้น ไม่ได้เป็นเพียงช่องทางเดียวที่จะเรียกร้องการชดใช้เยียวยาจากรัฐบาลได้ เราประชาชนยังคงมีช่องทางอื่น คือ ช่องทางทางรัฐสภา โดยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายเพื่อให้สภากำหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาพวกเราอย่างเสมอภาค ถ้วนหน้า อีกทั้งบังคับให้รัฐบาลตัดลดรายจ่ายอย่างเป็นระบบ พร้อมกับการฟื้นฟูและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของชาติโดยหลีกเลี่ยงการกู้เงินในยามที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง โดยคนไทยทุกคน ไม่ว่าที่ประเทศไทย ดูไบ หรือที่ใด ย่อมสามารถร่วมแบ่งเบาภาระในรูปแบบการจ่ายภาษีหรือเงินช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษได้อย่างพร้อมเพียงกัน
        
       แนวคิด “ท่วมหมื่นชื่อ” ในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายดังกล่าว ผู้เขียนเองได้จัดทำเป็น “ร่างกฎหมาย” พร้อมคำอธิบายเรียบร้อยแล้ว (http://www.facebook.com/10000flood) เหลือแต่เพียงให้ภาคประชาชน หรือแม้แต่ภาคการเมือง ได้นำไปปรับปรุงแก้ไขและเสนอผลักดันตามวิถีประชาธิปไตยต่อไป เพื่อให้พวกเราก้าวข้ามวิกฤตน้ำท่วมไปด้วยกันอย่างแท้จริง
        
        
        


 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ผลในทางปฏิบัติ เมื่อครบรอบหกปีของการปฏิรูปการเมือง
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544