หน้าแรก บทความสาระ
การพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ (ตอนที่๒)
คุณณรงค์ฤทธิ์ เพชรฤทธิ์ นักวิชาการอิสระ
11 กันยายน 2554 21:40 น.
 
๑.๓.๔  คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ทำขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดและต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น[1]
       กรณีเหตุที่จะขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งคดีปกครองใหม่ตามเหตุมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๔) เป็นเหตุที่แตกต่างจากเหตุตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) ถึง (๓) ในแง่ของมูลเหตุ เวลาที่เกิดเหตุ กล่าวคือ เหตุตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) ถึง (๓) เป็นเหตุที่เกิดระหว่างการพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาด ซึ่งมูลเหตุนั้นจะเกิดจากการกระทำของศาลปกครองเป็นหลักเว้นแต่มูลเหตุกรณีมีพยานหลักฐานที่มิได้เกิดจากการกระทำของศาลปกครอง แต่เป็นกรณีที่เหตุแห่งความยุติธรรมที่พยานหลักฐานเกิดขึ้นในระหว่างพิจารณาแต่ คู่กรณีหรือศาลไม่อาจค้นพบที่จะนำเสนอสู่สำนวนคดีในขณะนั้น ในการพิจารณาเหตุตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) ถึง (๓) จึงต้องดูเหตุดังกล่าวมิได้เกิดเพราะคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้ร้องนั้นมีส่วนผิดด้วย แต่เหตุตามกรณีมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๔) เหตุที่เกิดหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ภายหลังต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอันเป็นฐานของมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดเสร็จเด็ดขาดนั้นเปลี่ยนแปลงไป ถึงขนาดที่จะทำให้มีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดเสร็จเด็ดขาดเดิม ขัดกับกฎหมายในขณะนั้น เหตุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไปจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้ร้อง จึงไม่ต้องพิจารณาว่าคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้ร้องมีส่วนผิดหรือไม่ ดังจะกล่าวในรายละเอียดประเด็นในหัวข้อ ๑.๔
       ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ศาลอาศัยเป็นเหตุของคำพิพากษานั้น แม้ในขณะที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งจะเป็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่มีที่มาชอบด้วยกฎหมายก็ตาม[2]  แต่หากต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบัน ก็มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้ แต่ในขณะที่มีข้อเท็จจริงหรือกฎหมายเปลี่ยนแปลงไปนั้นไป หากมิได้มีการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ก็ไม่ทำให้คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดที่เสร็จเด็ดขาดไปแล้ว กลับกลายเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไป
       ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น หมายความว่าข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญต้องถึงขนาด ทำให้ถ้าหากมีข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างตามคำร้องขอในขณะที่ศาลทำคำพิพากษาหรือคำสั่ง ศาลปกครองจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในผลที่เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาหรือคำสั่งเดิม  (เป็นหลักการทดสอบในทางภาวะวิสัย คือ เอาข้อเท็จจริงหรือกฎหมายในปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับข้อกฎหมายหรือกฎหมายในขณะที่มีคำพิพากษาหรือมีคำสั่ง)
       ข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ หมายถึง ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วมีการรับรู้ถึงมีอยู่และสามารถทดสอบถึงผลของข้อเท็จจริงได้ตลอดไป มิใช่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นด้วยการวัดผลเพียงครั้งเดียว ไม่อาจที่จะทดสอบได้ในครั้งอื่นๆ เช่น การทดสอบความรู้ หรือ การสัมภาษณ์ประเมินผล เป็นต้น รวมถึงพยานหลักฐานที่ศาลรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติ หากต่อได้มีการพิสูจน์ในภายหลังว่า เป็นพยานหลักฐานเป็นเท็จ ถือว่าเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปด้วย
       ข้อกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไป หมายถึง กฎหมายระดับพระราชบัญญัติ และกฎของฝ่ายปกครอง เท่านั้น ไม่รวมถึงระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ใช้บังคับภายในในฝ่ายปกครอง และไม่ได้หมายถึงคำพิพากษาของศาล แม้ว่าองค์กรฝ่ายปกครองจะได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงระเบียบภายใน หรือศาลจะได้เปลี่ยนแปลงแนวคำพิพากษา ก็ไม่ถือว่ากฎหมายเปลี่ยนแปลงไป[3] รวมทั้งกรณีที่ศาลปกครองเปลี่ยนแปลงแนววินิจฉัยในการตีความเอกสาร การตีความสัญญา การตีความกฎหมาย การปรับบทกฎหมาย การให้เหตุผลในการทำคำพิพากษา การชั่งน้ำหนักประโยชน์เอกชนกับประโยชน์สาธารณะ ไม่ถือว่าเป็นกรณีข้อกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป
       กฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไป จะต้องเป็นกฎหมายที่ย้อนหลังได้เท่านั้น ในกรณีที่กฎหมายออกมาใหม่ที่มีลักษณะเป็นโทษหรือเป็นผลร้ายแก่ผู้ต้องเสียประโยชน์ กฎหมายดังกล่าวไม่มีผลย้อนหลัง จะถือเอาเหตุกฎหมายเปลี่ยนแปลงไปมาเป็นเหตุที่จะขอให้ศาลปกครองพิจารณาคดีใหม่ไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ในกรณีการกำหนดค่าทดแทนเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ตาม มาตรา ๒๑ วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ บัญญัติให้กำหนดค่าทดแทนโดยคำนึงถึง (๑) ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกา (๒) ราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่มีการตีราคาไว้เพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ (๓) ราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (๔) สภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์นั้น และ (๕) เหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคม โดยจะต้องพิจารณาประกอบกันทั้งหมด (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๑๐๐/๒๕๕๓) หากต่อมาฝ่ายนิติบัญญัติได้ตรากฎหมายใหม่ ยกเลิก มาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง (๑)(๒)(๔)(๕) บัญญัติให้การกำหนดค่าทดแทนให้ถือเอาราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเพียงอย่างเดียว ดังนี้ถ้าคดีมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดให้ฝ่ายปกครองใช้เงินค่าทดแทนเวนคืนเพิ่มเติมโดยศาลอาศัยฐานข้อกฎหมายมาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง (๑) ถึง (๕) ฝ่ายปกครองจะขอให้พิจารณาใหม่โดยอ้างเหตุข้อกฎหมายเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะข้อกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นไม่มีผลย้อนหลัง เป็นต้น ข้อกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีผลย้อนหลัง รวมถึง “กฎ” ที่ฝ่ายปกครองออกมาใหม่ที่มีลักษณะเป็นโทษหรือเป็นผลร้ายแก่ผู้ต้องเสียประโยชน์ด้วย แต่ถ้ากรณีที่องค์กรวิชาชีพลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำสั่ง และศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ต่อมามีกฎหมายเปลี่ยนแปลงโทษทางจรรยาบรรณวิชาชีพ โดยยกเลิกโทษเพิกถอนใบอนุญาต ให้เปลี่ยนเป็นพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเป็นเวลา ๕ ปี แทน กรณีนี้จึงจะถือว่า เป็นกรณีข้อกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากเป็นกฎหมายที่มีผลย้อนหลังได้ เป็นเหตุที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้[4]
       คำว่า “ขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับขณะนั้น” แยกพิจารณาได้ ๒ กรณี คือ กรณีข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป กฎหมายที่ใช้บังคับขณะนั้น หมายถึง กฎหมายในขณะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดเสร็จเด็ดขาด คือ การมีข้อเท็จจริงใหม่ที่เป็นฐานของการวินิจฉัยคดีจะทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเวลาที่มีคำสั่งพิพากษาหรือคำสั่ง กรณี กฎหมายเปลี่ยนแปลงไป กฎหมายที่ใช้บังคับขณะนั้น หมายถึง กฎหมายในขณะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ คือ คำวินิจฉัยโดยอาศัยฐานกฎหมายในขณะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดเสร็จเด็ดขาด บัดนี้ขณะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ คำวินิจฉัยโดยอาศัยฐานกฎหมายในขณะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดเสร็จเด็ดขาดไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อไป
       กรณีเหตุคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ทำขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดและต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น จากการศึกษาคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่เผยแพร่ ยังไม่พบการยื่นขอให้พิจารณาคดีใหม่ด้วยเหตุนี้
        
       ๑.๔ คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้ร้องจะต้องไม่ทราบถึงเหตุนั้นในการพิจารณาคดีครั้งที่แล้วมา โดยไม่ใช่ความผิดของผู้นั้น
       ในกรณีที่มีเหตุคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ทำขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดและต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น จะถือเอาคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้ร้องจะต้องไม่ทราบถึงเหตุนั้นในการพิจารณาคดีครั้งที่แล้วมา โดยไม่ใช่ความผิดของผู้นั้นเป็นหลักเกณฑ์ด้วยหรือไม่ หากตีความตามตัวอักษรแล้ว หลักเกณฑ์ข้อนี้บัญญัติในวรรคสอง และตามวรรคสองบัญญัติว่า “การยื่นคำขอตามวรรคหนึ่ง....”  ซึ่งรวมถึงทุกเหตุตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) ถึง (๔) ทั้งหมด กรณีที่อ้างเหตุคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ทำขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดและต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น จึงต้องพิจารณาความผิดของผูร้องด้วย  แต่ผู้เขียนเห็นว่า เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์กฎหมายแล้ว เหตุที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) ถึง (๓) เป็นที่เกิดขึ้นระหว่างการพิจารณาจนถึงวันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเสร็จเด็ดขาด แต่เหตุตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๔) เป็นเหตุที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเสร็จเด็ดขาดแล้ว ตามมาตรา ๗๕ วรรคสอง บัญญัติว่า “ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกไม่ทราบถึงเหตุนั้นในการพิจารณาคดีครั้งที่แล้วมา โดยไม่ใช่ความผิดของผู้นั้น”  การที่จะทราบถึงเหตุนั้นในการพิจารณาคดีครั้งที่แล้วมา คือจะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นในระหว่างการพิจารณาคดีเท่านั้น เฉพาะโดยธรรมชาติของข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดและต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปที่เกิดขึ้นภายหลังมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเสร็จเด็ดขาด ผู้ร้องจึงไม่อาจที่จะทราบถึงเหตุในระหว่างพิจารณาคดีได้ และข้อกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นก็เกิดขึ้นโดยการตราของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารบัญญัติ และองค์กรบัญญัติ  สภาพการณ์ของระบบการตรากฎหมายดังกล่าว คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้ร้องย่อมไม่มีร่วมในการกระทำความผิดแน่นอน ดังนั้น ความในมาตรา ๗๕ วรรคสองจึงไม่รวมถึงเหตุตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๔) ด้วย
       การไม่ทราบถึงเหตุนั้นในการพิจารณาคดีครั้งที่แล้วมา โดยไม่ใช่ความผิดของคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้ร้องนั้น  กรณีที่ถือว่าเป็นความผิดของผู้ร้อง จะเกิดจากการจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ได้ การอ้างว่าเหตุที่ทราบถึงเหตุตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) ถึง (๓) จะเกิดจากผู้ร้องหลงลืมก็ดี สับสนก็ดี เข้าใจผิดก็ดี ไม่มีความรู้ข้อกฎหมายก็ดี เป็นเหตุอ้างไม่ได้  หรือ จะอ้างอยู่ระหว่างหลบหมายจับในคดีอาญาทำให้ไม่ทราบเหตุก็ไม่ได้เช่นกัน[5] ความผิดของผู้ร้อง รวมถึงความผิดของตัวแทนผู้ร้องด้วย เช่น ความผิดของผู้รับมอบอำนาจคู่กรณี หรือความผิดของบุคคลที่อยู่ครอบครัวของคู่กรณีที่รับหมายจากศาลปกครองแล้วไม่นำหมายหรือหนังสือของศาลให้แก่คู่กรณีทราบ ทำให้คู่กรณีเสียสิทธิในโต้แย้งคำฟ้อง คำให้การ หรือเสียสิทธิทำคำชี้แจง[6] เป็นต้น ดังนี้ การไม่ทราบถึงเหตุในการพิจารณาคดีครั้งที่แล้วมา โดยไม่ใช่ความผิดของคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้ร้อง  จึงต้องเป็นการไม่ทราบที่เกิดจากพฤติการณ์อื่นนอกเหนือจากการกระทำของผู้ร้องหรือผู้ร้องมีส่วนร่วมด้วย
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๓๕๙/๒๕๕๒ ผู้ร้องมิได้เข้ามาในกระบวนพิจารณาคดีเนื่องจากความผิดของผู้ร้องเองการที่ผู้ร้องทั้งสิบได้รับหมายแจ้งคำสั่งศาลโดยชอบเกี่ยวกับการเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี และมีสิทธิที่จะร้องเข้ามาในคดีได้ แต่มิได้เข้ามาในกระบวนพิจารณาคดีอันเกิดจากความผิดของผู้ร้องทั้งสิบเอง จึงไม่อยู่ในบังคับของเงื่อนไขในการขอให้พิจารณาคดีใหม่ ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
        
       ๑.๕จะต้องยื่นคำร้องภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้นั้นได้รู้หรือควรรู้ถึงเหตุซึ่งอาจขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้แต่ไม่เกินห้าปีนับแต่ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาด
       มาตรา ๗๕ วรรคสาม บัญญัติว่า“การยื่นคำขอให้พิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งใหม่ต้องกระทำภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้นั้นได้รู้หรือควรรู้ถึงเหตุซึ่งอาจขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้ แต่ไม่เกินห้าปีนับแต่ศาลปกครองได้มีคำสั่งพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาด”
       ระยะเวลาการยื่นคำขอให้พิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งใหม่ต้องกระทำภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้นั้นได้รู้หรือควรรู้ถึงเหตุซึ่งอาจขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้ แต่ไม่เกินห้าปีนับแต่ศาลปกครองได้มีคำสั่งพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาด ความหมายว่า จะต้องยื่นขอพิจารณาคดีใหม่ภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่รู้เหตุหรือควรรู้ถึงเหตุขอพิจารณาคดีใหม่ แต่จะต้องไม่เกิน ๕ ปี นับแต่ศาลปกครองได้มีคำสั่งพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาด หากเกินระยะเวลา ๕ ปี นับแต่ศาลปกครองได้มีคำสั่งพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดแล้ว แม้จะเพิ่งรู้เหตุ และยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายระยะเวลา ๙๐ วันนับแต่วันรู้เหตุ ก็ถือว่าเป็นเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ยื่นขอให้พิจารณาใหม่  กล่าวคือ ไม่ว่ากรณีใดๆ ห้ามยื่นคำร้องขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่เมื่อพ้นกำหนดห้าปีนับแต่ศาลปกครองได้มีคำสั่งพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาด
       การนับวันที่รู้เหตุหรือควรรู้ถึงเหตุที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ ภายในระยะเวลาเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้นั้นได้รู้หรือควรรู้ถึงเหตุขอให้พิจารณาคดีใหม่นั้น  จะต้องนับแต่เมื่อรู้ระหว่างการพิจารณาหรือรู้ภายหลังเมื่อศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดเสร็จเด็ดขาดแล้ว
       ในกรณีที่ผู้ร้องอ้างมีกรณีเหตุขอให้พิจารณาใหม่ที่ผู้ร้องรู้ในระหว่างพิจารณาคดี[7] ในกรณีที่ผู้ร้องเป็นคู่กรณีระหว่างพิจารณาคดีจะต้องใช้ช่องทางการพิจารณาผิดระเบียบตามระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ข้อ ๗ ได้ หรือกรณีที่พบพยานหลักฐานใหม่ก็ยื่นพยานหลักฐานใหม่เข้ามาในคดีระหว่างพิจารณาได้ ในกรณีที่ผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอก ผู้ร้องจะต้องใช้ช่องทางการร้องสอดเข้าในคดีตาม ระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ข้อ ๗๘ เพื่อเสนอพยานหลักฐานใหม่หรือขอให้ศาลเพิกถอนการผิดระเบียบได้ หากคู่กรณีไม่ร้องขอให้เพิกถอนการพิจารณาผิดระเบียบหรือไม่เสนอพยานหลักใหม่ที่ตนทราบหรือคู่กรณีไม่ร้องสอดเข้าในคดี ก็ถือว่าเป็นความผิดของผู้ร้อง โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องกำหนดระยะเวลา แม้จะยื่นภายในกำหนดระยะเวลาก็ตาม  ผู้ร้องจะมายื่นขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายหลังศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดแล้วไม่ได้ แต่มีกรณีนี้มีคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่น่าสนใจคือ
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๓๗๘/๒๕๕๑ เมื่อศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ร้องขอพิจารณาคดีใหม่ได้รู้ถึงคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นแล้ว โดยเห็นว่าตนเป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคำพิพากษาในคดีดังกล่าว เนื่องจากเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยตลอด แต่มิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี การที่ผู้ร้องขอพิจารณาคดีใหม่มิได้ร้องขอพิจารณาคดีใหม่ในขณะนั้น กลับใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษา กรณีจึงเห็นได้ว่าผู้ร้องขอพิจารณาคดีใหม่ได้รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการขอให้พิจารณาคดีใหม่ในวันยื่นคำอุทธรณ์แล้ว เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องไว้พิจารณา ผู้ร้องจึงกลับมายื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่อีกครั้งเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันยื่นอุทธรณ์ จึงเป็นการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เกินกำหนดระยะเวลาตามมาตรา ๗๕ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
       จากคำสั่งศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว อาจทำให้เห็นว่า การรู้เหตุที่จะขอให้พิจารณาใหม่อาจเกิดขึ้นในระหว่างพิจารณาก็ได้ เมื่อรู้เหตุระหว่างพิจารณาก็จะต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในขณะนั้น การมายื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่เมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันยื่นอุทธรณ์ จึงเป็นการยื่นคำร้องเกินกำหนดระยะเวลา แต่ผู้เขียนเห็นว่า  การนับวันที่รู้เหตุหรือควรรู้ถึงเหตุที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่จะต้องนับภายหลังศาลปกครองได้มีคำสั่งพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดแล้วเท่านั้น  ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๗๘/๒๕๕๑ ผู้เขียนเห็นด้วยในผล แต่ไม่เห็นด้วยในเหตุผลการวินิจฉัยตามคำสั่งนี้  เพราะไม่ควรรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เพราะเหตุความผิดของของผู้ร้อง เมื่อพิจารณาวินิจฉัยได้ว่าเป็นความผิดของผู้ร้อง ก็ไม่จำต้องพิจารณาว่าได้ยื่นคำร้องภายในกำหนดระยะเวลาหรือไม่
       การนับกำหนดระยะเวลา นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุซึ่งอาจขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ ถ้าผู้ร้องอ้างเหตุ ศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดก็ดี  คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกได้เข้ามาแล้วแต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณาก็ดี มีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรมก็ดี การรู้เหตุนั้นได้ก็จะต้องทราบจากคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาด ดังนั้น วันที่รู้จึงถือเอาวันที่คู่กรณีมาฟังคำพิพากษาหรือคำสั่ง หรือวันที่ได้รับแจ้งคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นวันที่อย่างช้าที่สุดผู้ร้องได้ทราบเหตุ
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๕๕๑/๒๕๕๐ ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่โดยอ้างว่าศาลตัดสิทธิไม่ให้เข้าร่วมดำเนินกระบวนพิจารณาในวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกและวันนัดฟังคำพิพากษา ถือเป็นข้อบกพร่องในกระบวนพิจารณาคดี ทำให้คำพิพากษายกฟ้องไม่เป็นธรรมกรณีนี้ต้องถือว่าวันที่ผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งคำพิพากษาเป็นวันที่ได้รู้หรือควรรู้ถึงเหตุซึ่งอาจขอให้พิจารณาพิพากษาคดีใหม่
       แต่ถ้ามีพฤติการณ์อื่นที่ทำให้ทราบว่าผู้ร้องควรจะรู้เหตุของการพิจารณาใหม่ก่อนหน้านั้นก็จะต้องระยะเวลาที่ควรรู้เหตุตามพฤติการณ์นั้น
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๓๖๖/๒๕๕๑ ผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่า  ศาลปกครองสูงสุดได้รับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดในประเด็นเกี่ยวกับจำนวนเงินค่าทดแทนที่ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิได้รับ ผู้ฟ้องคดีจึงได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๐ ถึงผู้ถูกฟ้องคดี ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีจ่ายเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้น กรณีจึงถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีได้รู้ถึงเหตุซึ่งอาจขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้อย่างช้าที่สุดในวันที่ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นหนังสือถึงผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงต้องยื่นคำขอภายในเก้าสิบวันนับแต่วันดังกล่าว คือ ภายในวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๐
       ในกรณีที่ผู้ร้องขอให้พิจารณาใหม่โดยอ้างเหตุว่า เป็นคู่กรณีที่แท้จริงหรือบุคคลภายนอกนั้นมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี การนับระยะเวลาที่รู้หรือควรรู้ จะนับแต่วันที่บุคคลภายนอกได้วันที่รู้คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดที่มีผลกระทบต่อตน
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๓๐๕/๒๕๕๒วันที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองคดีนี้เดิมศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๔๗ ว่า การจดทะเบียนชื่อสกุลของบิดาของผู้ร้องซ้ำกับชื่อสกุลของบิดาของผู้ฟ้องคดีซึ่งได้จดทะเบียนใช้นามสกุลนี้มาก่อน โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเพิกถอนการจดทะเบียนชื่อสกุลซ้ำภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงแจ้งให้ผู้ร้องทราบและให้ส่งคืนหนังสือสำคัญการขอตั้งชื่อสกุล ตามหนังสือลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ผู้ร้องได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ดังนั้น จึงถือได้ว่าในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ หรืออย่างช้าที่สุดในวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ซึ่งเป็นวันที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์การเพิกถอนชื่อสกุลต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นวันที่ผู้ร้องได้รู้หรือควรรู้ถึงคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น การที่ผู้ร้องยื่นคำขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๗ จึงเป็นการยื่นคำขอที่มิได้กระทำภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้ร้องได้รู้หรือควรรู้ถึงเหตุซึ่งอาจขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
       ในกรณีคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกขอให้พิจารณาใหม่โดยอ้างเหตุว่า มีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญก็ดี ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญก็ดี การนับระยะเวลาที่รู้หรือควรรู้ จะนับแต่วันที่คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกได้รู้ หรือนับแต่วันที่มีโอกาสแรกที่จะได้รู้มีพยานหลักฐานใหม่หรือรู้ว่ามีข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป แล้วแต่วันใดจะเกิดขึ้นก่อน ก็ให้นับแต่วันนั้น
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๕๘๘/๒๕๕๒วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกากรณีผู้ฟ้องคดียื่นคำ ขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่โดยอ้างคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ ๕๔๗๔/๒๕๕๑ เป็นพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ เมื่อศาลจังหวัดเชียงรายได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๑ จึงถือว่าวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๑ เป็นวันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา และคดีเป็นอันถึงที่สุด กรณีจึงถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีได้รู้ถึงเหตุซึ่งอาจขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้อย่างช้าที่สุดในวันดังกล่าว เมื่อผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒ จึงเป็นการยื่นคำขอเมื่อพ้นระยะเวลาเก้าสิบวันนับแต่วันที่รู้ถึงเหตุซึ่งอาจขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่
        
       ๑.๖ หลักเกณฑ์อื่น ๆ
       จากหลักเกณฑ์การขอพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ข้างต้น มีปัญหาว่า  ภายหลังที่ผู้กรณีหรือบุคคลภายนอกทราบเหตุที่จะขอให้พิจารณาใหม่ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) ถึง (๕) แล้ว ถ้าคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้ได้รับผลกระทบ ได้กระทำการใดๆ อันถือว่ารับเอาผลประโยชน์จากคำพิพากษาหรือคำสั่งเสร็จเด็ดขาด หรือให้การสัตยาบันไปแล้ว จะยื่นขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่[8]  แม้จะมีกฎหมายบัญญัติไว้ก็ตาม แต่การผู้ร้องรับเอาผลประโยชน์หรือให้สัตยาบันแล้ว แต่กลับมายื่นขอให้พิจารณาคดีใหม่ในภายหลัง ถือว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ซึ่งหลักว่าบุคคลจะถือเอาประโยชน์จากการกระทำอันขัดต่อพฤติกรรมก่อนๆ ของตนไม่ได้ (venire contra factum proprium)[9] ตามหลักวิธีพิจารณาความทั่วไปถือว่าเป็นเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย[10] ผู้ร้องที่รับเอาผลประโยชน์จากคำพิพากษาหรือคำสั่งเสร็จเด็ดขาดหรือให้การสัตยาบันแล้ว จึงเป็นผู้ไม่มีสิทธิยื่นคำขอให้พิจาณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่
        
       ๒. ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคำขอให้พิจารณาคดีใหม่
        
       ตามมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ไม่ได้บัญญัติชัดแจ้งว่า ศาลปกครองที่มีอำนาจพิจารณาคำขอให้พิจารณาคดีใหม่จะเป็นศาลใด[11] จึงมีประเด็นปัญหาว่า ผู้ร้องจะต้องยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ต่อศาลปกครองใด ซึ่งมี ๔ กรณี คือ  กรณีแรกถ้าเหตุที่อ้างตามคำร้องขอเกิดขึ้นในชั้นศาลใด ศาลชั้นมีอำนาจพิจารณา เช่น อ้างว่าศาลปกครองชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด ก็ให้ยื่นต่อศาลปกครองชั้นต้น  หรือ อ้างว่าศาลปกครองสูงสุดมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษา  ก็ให้ยื่นต่อศาลปกครองสูงสุด เพราะถ้าเหตุที่เกิดขึ้นโดยศาลปกครองสูงสุด แล้วจะให้ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาว่า การกระทำของศาลปกครองสูงสุดมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาก็จะเป็นการก้าวล่วงอำนาจศาลปกครองสูงสุด  กรณีที่สอง ถ้าคำพิพากษาหรือคำสั่งเสร็จเด็ดขาดในชั้นศาลใด ให้ศาลนั้นมีอำนาจพิจารณา  กรณีที่สามจะต้องยื่นต่อศาลปกครองชั้นต้นทุกกรณี  กรณีที่สี่ คดีเดิมที่ขอให้พิจารณาใหม่อยู่ในเขตอำนาจศาลใด ก็ให้ศาลนั้นพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ปัญหานี้แม้แต่ในปฏิบัติก็ไม่ลงรอยเดียวกันทำให้ผู้ร้องขอมีความสับสนในประเด็นเขตอำนาจศาลที่มีอำนาจพิจารณาพอสมควร แต่ก็มีแนวคำวินิจฉัยของคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่อาจใช้พิจารณาเป็นแนวทางได้ คือ
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๓๓๘/๒๕๕๒  ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีหรือได้เข้ามาแล้ว แต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณา หรือมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ได้ และเมื่อคดีปรากฏเหตุว่าข้อเท็จจริงที่ศาลปกครองชั้นต้นฟังมาไม่พอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดี และศาลเห็นว่ามีเหตุอันสมควร ก็มีอำนาจกำหนดให้ศาลปกครองชั้นต้นซึ่งประกอบด้วยตุลาการศาลปกครองชั้นต้นอื่นที่มิใช่องค์คณะเดิม เป็นองค์คณะพิจารณาคดีนี้ใหม่ ทั้งนี้ตามข้อ ๑๑๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของผู้ร้องไว้พิจารณาและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดีโดยองค์คณะใหม่ของศาลปกครองชั้นต้น
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๒๕/๒๕๕๓ผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่า คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดจึงมีข้อบกพร่องใดๆ ในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่มีผลทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เห็นว่า การที่ศาลปกครองสูงสุดมิได้กำหนดดอกเบี้ยให้จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดจึงไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่มีผลทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรมแต่ประการใดแต่ประการใดที่ผู้ฟ้องคดีอาจขอให้พิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำ สั่งชี้ขาดคดีใหม่ได้ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณา
       จากคำสั่งศาลปกครองสูงสุดทั้งสอง แสดงให้เห็นว่า  ไม่ว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดจะเสร็จเด็ดขาดศาลปกครองชั้นต้นหรือศาลปกครองสูงสุดก็ตาม  หรือเหตุที่อ้างขอให้พิจารณาใหม่จะเกิดในชั้นพิจารณาของศาลปกครองชั้นต้นหรือศาลปกครองสูงสุดก็ตาม ถ้าคดีเดิมอยู่เขตอำนาจของศาลปกครองใดก็ให้ยื่นต่อศาลปกครองนั้น ถ้าคดีเดิมอยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองชั้นต้นตามมาตรา ๙ ก็ให้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ต่อศาลปกครองชั้น ถ้าคดีอยู่ในอำนาจศาลปกครองสูงสุดตามมาตรา ๑๑ ก็ให้ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ต่อศาลปกครองสูงสุด[12] เช่น คดีเดิมอยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองสงขลา แม้คดีจะเสร็จเด็ดขาดโดยคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด และแม้จะอ้างเหตุขอให้พิจารณาคดีใหม่ว่า ศาลปกครองสูงสุดรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด ก็จะต้องยื่นต่อศาลปกครองสงขลา และศาลปกครองสงขลามีอำนาจพิจารณาคำร้องขอ เป็นต้น
       การพิจารณาว่า เป็นกรณีการขอให้พิจารณาใหม่หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาในเนื้อหาและคำขอว่ามีความประสงค์ที่จะให้มีการทบทวนคำพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่หรือไม่ แม้จะได้ยื่นในรูปของคำฟ้องแต่หากในเนื้อหาและคำขอว่ามีความประสงค์ที่จะให้มีการทบทวนคำพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ถือว่าเป็น กรณีคำขอให้พิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่  ( คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๑๔๖/๒๕๕๑) และคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่จะต้องแสดงเหตุที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่อย่างชัดแจ้ง โดยแสดงให้เห็นว่าเมื่อปรากฏเหตุที่ขอให้พิจารณาคดีใหม่แล้วจะทำให้คำพิพากษาหรือคำสั่งเด็ดขาดนั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย[13]
        
       ๓. ผลของคำสั่งศาลปกครองที่คำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่
        
       ผลของคำสั่งศาลปกครองที่มีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ มีปัญหาในการวิเคราะห์ได้ ๓ ประเด็น คือ ประเด็นแรก คำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ จะต้องพิจารณาคดีใหม่ทั้งหมดหรือพิจารณาคดีเฉพาะบางส่วนก็ได้ ประเด็นที่สอง การอุทธรณ์คำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาหรือยกคำร้องขอให้พิจารณา ประเด็นที่สาม ผลกระทบต่อคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดที่เสร็จเด็ดขาดไปแล้ว
        
       ๓.๑ คำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ จะต้องพิจารณาคดีใหม่ทั้งหมดหรือพิจารณาคดีเฉพาะบางส่วนก็ได้
       คำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่  ศาลปกครองจะสั่งให้พิจารณาใหม่ทั้งหมดหรือให้พิจารณาเฉพาะบางส่วนก็ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุและเนื้อหาของคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ซึ่งถ้าเหตุที่อ้างและรับได้ว่า เหตุที่ปรากฏนั้นจะมีผลให้เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดทั้งหมด ศาลปกครองก็จะสั่งให้พิจารณาใหม่ทั้งหมด แต่ถ้าเหตุที่อ้างมีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดบางประเด็นหรือบางส่วน ศาลก็สั่งให้พิจารณาคดีใหม่เฉพาะบางส่วนหรือเฉพาะประเด็นก็ได้ ไม่จำต้องพิจารณาคดีใหม่ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น คดีกรณีฟ้องร้องสัญญาทางปกครองว่า ฝ่ายปกครองบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบ และเรียกค่าเสียหาย ต่อมาศาลปกครองมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดว่า ฝ่ายปกครองบอกเลิกสัญญาโดยชอบ แต่ให้ฝ่ายปกครองชดใช้ค่าการงานที่ทำไปแล้ว และกำหนดค่าการงานตามเอกสารที่ปรากฏในสำนวนคดี ปรากฏว่า ฝ่ายปกครองปกปิดเอกสารเกี่ยวกับการงานบางส่วนที่ผู้ฟ้องทำไปแล้ว ทำให้ศาลปกครองคำนวณค่าการงานบางส่วนผิดพลาด ต่อมาผู้ฟ้องคดีพบเอกสารหลักฐานดังกล่าวจึงได้ร้องขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่โดยอ้างเหตุ มีพยานหลักฐานใหม่ หากศาลมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ก็อาจมีคำสั่งให้พิจารณาเฉพาะประเด็นค่าการงานที่ทำไปแล้ว ส่วนประเด็นว่าบอกเลิกสัญญาโดยชอบหรือไม่ ไม่เหตุที่จะต้องพิจารณาคดีใหม่ จึงไม่จำต้องสั่งให้พิจารณาใหม่ทั้งหมด เป็นต้น
        
       ๓.๒ การอุทธรณ์คำสั่งยกรับคำร้องไว้พิจารณาหรือคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่
       ผลของคำสั่งศาลปกครองยกคำร้องขอให้พิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ ผู้ร้องมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายในสามสิบวันนับแต่ศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำสั่งพิพากษาหรือคำสั่ง ตามมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๓๘/๒๕๕๒, ๒๕/๒๕๕๓, ๓๖/๒๕๔๗)
       แต่กรณีที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่กรณีเดิมอุทธรณ์คำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่ต่อศาลปกครองสูงสุดไม่ได้ เนื่องคำสั่งอนุญาตขอให้พิจารณาคดีใหม่ เป็นคำสั่งรับคำสั่งฟ้องอย่างหนึ่ง เพราะ คำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เป็นคำร้องขอที่เป็นถือว่า “คำฟ้อง” ตามมาตรา ๓[14] แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ คำสั่งศาลปกครองที่สั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณาให้เป็นที่สุด ตามข้อ ๓๐ วรรคสอง ของระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังนี้ คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่กรณีเดิมอุทธรณ์จึงไม่อาจอุทธรณ์คำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ แต่ถ้าหากศาลปกครองชั้นต้น มีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ และได้มีคำพิพากษาหรือคำชี้ขาดใหม่ ต่อมาคู่กรณีเดิมหรือผู้ร้องมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ตามมาตรา ๗๓  และในชั้นการพิจารณาศาลปกครองสูงสุด ถ้าศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ไม่เข้าเงื่อนไขที่จะขอให้พิจารณาใหม่ได้ ตามมาตรา ๗๕ เพราะคำร้องไม่เข้าเหตุขอพิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา ๗๕ (๑) ถึง (๔) ก็ดี เป็นคำร้องขอที่ยื่นเกินกำหนดระยะเวลาก็ดี หรือผู้ร้องมีส่วนผิดก็ดี การที่ศาลปกครองชั้นต้นรับคำร้องขอไว้พิจารณาและดำเนินกระบวนพิจารณา จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายมีคำขอ ศาลปกครองสูงสุดย่อมมีอำนาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบได้ตามข้อ ๗ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๔๔/๒๕๕๒) และมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ [15]
        
       ๓.๓ ผลกระทบต่อคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดที่เสร็จเด็ดขาดไปแล้ว
       เมื่อศาลปกครองมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ จะมีผลกระทบกระเทือนต่อคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดที่เสร็จเด็ดขาดไปแล้วอย่างไร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ไม่กล่าวไว้แต่อย่างใด จึงทำให้เกิดปัญหาผลต่อคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดที่เสร็จเด็ดขาดไปแล้วใน ๒ ทิศทาง คือ
       กรณีแรก คำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่เป็นการเพิกถอนคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีที่เสร็จเด็ดขาดไปแล้วไปในตัว  โดยยึดถือตาม หลักความยุติธรรม[16] เป็นสำคัญ กล่าวคือ ในเมื่อศาลปกครองมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ เพราะรับฟังได้ว่าเหตุตามมาตรา ๗๕ (๑)  ถึง (๔) เช่น รับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด มีพยานหลักฐานใหม่ กระบวนพิจารณาไม่ยุติธรรม ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเปลี่ยนแปลง หากจะให้คำพิพากษาหรือสำสั่งเดิมมีผลต่อไป ซึ่งบางกรณีจะต้องบังคับคดีไปตามคำพิพากษา ก็จะไม่เป็นการยุติธรรม เพราะมีเหตุที่จะทำให้คำพิพากษาหรือคำสั่งเปลี่ยนแปลง หากให้ถือเอาคำพิพากษามีผลต่อไป และมีการบังคับคดีไป หากศาลแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาหรือคำสั่ง บางกรณีก็ยากที่จะเยี่ยวยาในภายหลังได้ คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดเดิมจึงถูกยกเลิกไปในตัว จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดใหม่
       กรณีที่สอง คำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ มีเป็นไม่มีผลต่อคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีที่เสร็จเด็ดขาด คำพิพากษาหรือคำสั่งที่เสร็จเด็ดขาดมีผลต่อไปจนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นโดยยึดถือเอา หลักความมั่นคงในนิติฐานะ[17] เป็นสำคัญ กล่าวคือ ถึงแม้มาตรา ๗๕ การขอให้พิจารณาคดีใหม่เป็นบทกฎหมายเพื่อความยุติธรรม แต่ทราบใดที่ศาลปกครองยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดกลับหรือแก้คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดที่เสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ก็จะต้องถือว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดที่เสร็จเด็ดขาดไปแล้วยังมีผลบังคับอยู่ ซึ่งมีผลทำให้คำพิพากษาหรือคำสั่งที่เสร็จเด็ดขาดไปแล้วรักษานิติฐานะของคู่กรณีไว้ตลอดเวลา ทำให้คู่กรณีมีความมั่นใจในนิติฐานะของตนตามคำพิพากษาในการปฏิบัติตามคำพิพากษา โดยไม่ถูกกระทบจากคำสั่งคำสั่งรับคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ไว้พิจารณา โดยที่ไม่แน่ชัดว่า ในการพิจารณาคดีใหม่จะมีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาหรือคำสั่งหรือไม่ จึงต้องยึดถือตามคำพิพากษาหรือคำสั่งที่เสร็จเด็ดขาดไปแล้วปฏิบัติต่อไป
       ประเด็นนี้ การพิจารณาคดีใหม่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๙ เบญจ วรรคสาม บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “เมื่อศาลได้มีคำสั่งอนุญาตตามคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามวรรคสองคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและคำพิพากษาหรือคำสั่งอื่น ๆของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาในคดีเดียวกันนั้น และวิธีการบังคับคดีที่ได้ดำเนินไปแล้ว ให้ถือว่าเป็นอันเพิกถอนไปในตัว...” ดังนั้น ในคำสั่งของศาลที่อนุญาตให้พิจารณาคดีแพ่งใหม่ จึงไม่จำเป็นต้องสั่งเพิกถอนคำพิพากษาหรือคำสั่งเดิมแต่อย่างใด[18] มีผลทำให้การดำเนินการใดๆ ตามคำพิพากษามีผลถูกเพิกถอนไปด้วย เช่น เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ คำพิพากษาโดยคู่คามขาดนัดของศาลชั้นต้นและวิธีการบังคับคดีที่ได้ดำเนินการไปแล้วนั้น ถือว่าเป็นการเพิกถอนไปในตัวตามมาตรา ๒๐๙ วรรคแรก เดิม (ตรงกับมาตรา ๑๙๙ เบญจ วรรคสามปัจจุบัน) การที่โจทก์ให้นายทะเบียนบันทึกการหย่าตามคำพิพากษาในทะเบียนสมรส จึงถูกเพิกถอนไปในด้วย สถานะบุคคลของโจทก์จำเลยยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากการเป็นสามีภริยากัน (คำพิพากษาศาลฎีกา ๑๓๓๐/๒๕๓๘)[19]
       แต่การพิจารณาคดีใหม่ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๖ บัญญัติในทางตรงข้ามกัน คือ มาตรา ๑๒ บัญญัติว่า “ในระหว่างดำเนินการพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ หาบุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดกำลังรับโทษนั้นอยู่ ศาลชั้นต้นที่รับคำร้องจะสั่งปล่อยบุคคลนั้นชั่วคราวโดยมีประกันหรือมีประกันและหลักประกันด้วยก็ได้” จากบทบัญญัติดังกล่าว คำพิพากษาเดิมมีผลบังคับต่อไป แต่กฎหมายให้ดุลพินิจแก่ศาลในการปล่อยตัวชั่วคราวได้
       ในกรณีที่กฎหมายไม่ได้บัญญัติเกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดีปกครองในส่วนของผลคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดที่เสร็จเด็ดขาด เมื่อศาลปกครองมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ จึงต้องพิจารณา ตามระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ข้อ ๕ วรรคสอง “ในกรณีที่กฎหมายหรือระเบียบตามวรรคหนึ่งมิได้กำหนดเรื่องใดไว้โดยเฉพาะให้ดำเนินการตามหลักกฎหมายทั่วไปว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง”  จึงมีปัญหา จะนำมาตรา ๑๙๙ เบญจ วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาบังคับใช้โดยอนุโลม ในฐานะที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นกฎหมายวิธีพิจารณาความทั่วไปหรือไม่  เห็นว่า  การที่จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาบังคับใช้โดยอนุโลม จะต้องกฎหมายบัญญัติไว้อย่างชัดแจ้ง  เนื่องจากคดีปกครองมีลักษณะพิเศษต่างไปจากคดีแพ่งและคดีอาญาจึงต้องมีวิธีพิจารณาที่เหมาะสมกับสภาพของคดีปกครองเอง  กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองมีความแตกต่างและเป็นเอกเทศจากกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนจากการที่ไม่มีบทบัญญัติเป็นบททั่วไปให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาบังคับใช้โดยอนุโลมเหมือนกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลชำนัญพิเศษต่างๆ เว้นแต่บางเรื่องที่ระบุให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้เฉพาะเช่น เรื่องการบังคับคดี (มาตรา ๙๒ วรรคห้า) หรือเรื่องการละเมิดอำนาจศาล (มาตรา ๖๔) เป็นต้น[20] ดังนั้น ผู้เขียนเห็นว่า จะนำมาตรา ๑๙๙ เบญจ วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาบังคับใช้โดยอนุโลม ไม่ได้  เพราะขัดแย้งกับหลักกฎหมายวิธีพิจารณาคดีปกครองทั่วไป
       ในปัญหานี้ ผู้เขียนเห็นว่า แม้มาตรา ๗๕ จะเป็นบทบัญญัติเพื่อความยุติธรรม แต่เป็นบทยุติธรรมที่กำหนดเหตุที่จะให้มีการพิจารณาใหม่เท่านั้น ในส่วนผลวิธีพิจารณาคดีจะต้องเป็นไปตามหลักวิธีพิจารณาคดีปกครองทั่วไป ซึ่งระบบกฎหมายวิธีพิจารณาความ โดยพิจารณาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ทั้งระบบแล้วพบว่า ที่มีเจตนาจะคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดมีความมั่งคงแน่นอน คู่กรณียึดถือและปฏิบัติตามคำพิพากษาด้วยความเชื่อโดยสุจริตในความมั่นคงในนิติฐานะของตนเองตามหลักความมั่นคงแน่นอนของกฎหมายเป็นสำคัญ จึงถือเป็นหลักว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดที่เสร็จเด็ดขาดมีผลบังคับต่อไป จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
       อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงความเป็นธรรมในการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง เพื่อให้การยาเยียวแก้ไขยากแก่การกลับคืนสู่สภาพเดิม ในกรณีศาลปกครองมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ จะต้องมีคำสั่งให้ชัดแจ้งเกี่ยวกับผลการบังคับคดีหรือการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดเดิม  โดยพิจารณาผลการปฏิบัติตามคำพิพากษาเป็นสำคัญ กล่าวคือ  จะต้องพิจารณาประเภทของคำพิพากษาว่า ถ้าเป็นคำพิพากษาประเภทใด ตามหลักทฤษฎีกฎหมายวีพิจารณาความ หากพิเคราะห์ถึงประเภทของคำพิพากษาโดยคำนึงถึงผลแล้ว อาจแยกประเภทของคำพิพากษาออกเป็น ๓ ประเภทใหญ่ๆ คือ ๑) คำพิพากษาก่อตั้งสิทธิ  เป็นคำพิพากษาที่ศาลพิพากษากำหนดสภาพการณ์ในทางกฎหมาย เป็นคำพิพากษาที่ไม่จำเป็นต้องมีการบังคับคดี เพราะผลในทางกฎหมายจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อศาลมีคำพิพากษา ๒) คำพิพากษาให้ดำเนินการ เป็นคำพิพากษาที่ศาลพิพากษาให้คู่ความดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง คำพิพากษาประเภทนี้เป็นคำพิพากษาที่หากผู้แพ้คดีไม่ปฏิบัติ จะต้องมีการบังคับตามคำพิพากษา ๓) คำพิพากษายืนยันสิทธิ เป็นคำพิพากษาที่ศาลพิพากษายืนยันการดำรงอยู่หรือไม่ดำรงอยู่ของสิทธิหน้าที่ หรือนิติสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่ง คำพิพากษายืนยันสิทธิเป็นคำพิพากษาที่ไม่จำเป็นต้องมีการบังคับคดี เช่น คำพิพากษาแสดงความเป็นโมฆะของคำสั่งทางปกครอง คำพิพากษาแสดงว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสัญชาติไทย เป็นต้น[21] จะเห็นได้คำพิพากษาประเภทคำพิพากษาให้ดำเนินการเท่านั้นที่จะต้องมีการบังคับคดี ซึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับผลกระทบของคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ แต่คำพิพากษาประเภทคำพิพากษาก่อตั้งและสิทธิคำพิพากษายืนยันสิทธิ  ที่ไม่จำต้องมีการบังคับคดี จึงไม่ผลกระทบคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่  ดังนั้น ในการที่ศาลปกครองมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ถ้าคดีเดิมเป็นคดีประเภทให้ดำเนินการแล้ว ศาลปกครองจะต้องมีคำสั่งให้ชัดเจนว่าจะให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่นหรือไม่ โดยพิจารณาคำนึงถึงยาเยียวแก้ไขยากแก่การกลับคืนสู่สภาพเดิมในกรณีศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดใหม่เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดเดิมเป็นสำคัญ
        
       ๔. การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีตามคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่
        
       เมื่อศาลปกครองมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนใหม่ไม่ว่าทั้งหมดหรือเฉพาะบางส่วน กระบวนพิจารณาคดีก็จะต้องกระทำเหมือนกับการพิจารณาคดีปกติ คือ จะต้องทำส่งสำเนาคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ซึ่งถือว่าเป็นคำฟ้องให้แก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่กรณีเดิมเพื่อทำคำให้การ คำแก้คำให้การ คำให้การเพิ่มเติม การแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมโดยตุลาการเจ้าของสำนวน การสรุปข้อเท็จจริง การนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกใหม่  และมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดใหม่ โดยคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดใหม่คู่กรณีมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง
       สำหรับตุลาการองค์คณะที่จะทำหน้าที่พิจารณาคดีใหม่ ศาลปกครองสูงสุดได้วางแนวว่าให้องค์คณะตุลาการศาลปกครองชั้นต้นอื่นที่มิใช่องค์คณะเดิม เป็นองค์คณะพิจารณาใหม่
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๓๓๘/๒๕๕๒ เมื่อคดีปรากฏเหตุว่าข้อเท็จจริงที่ศาลปกครองชั้นต้นฟังมาไม่พอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดี และศาลเห็นว่ามีเหตุอันสมควร ก็มีอำนาจกำหนดให้ศาลปกครองชั้นต้นซึ่งประกอบด้วยตุลาการศาลปกครองชั้นต้นอื่นที่มิใช่องค์คณะเดิม เป็นองค์คณะพิจารณาคดีนี้ใหม่ ทั้งนี้ตามข้อ ๑๑๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของผู้ร้องไว้พิจารณาและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดีโดยองค์คณะใหม่ของศาลปกครองชั้นต้น  
       ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดนี้ มีผู้ให้ข้อสังเกตว่า “ศาลปกครองสูงสุดนำข้อ ๑๑๒ วรรคหนึ่ง (๓) มาใช้ในการพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ โดยได้กำหนดให้ศาลปกครองชั้นต้นซึ่งประกอบด้วยตุลาการศาลปกครองชั้นต้นอื่นที่มิใช่องค์คณะเดิม เป็นองค์คณะพิจารณาคดีนี้ใหม่ แต่ข้อ ๑๑๒ เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับอำนาจในการพิจารณาอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น โดยบทบัญญัติดังกล่าวมิได้กำหนดให้นำไปใช้กับการพิจารณาคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา ๗๕ แต่อย่างใด”[22] ซึ่งผู้เขียนไม่เห็นพ้องด้วย  ผู้เขียนเห็นด้วยกับคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เพราะการขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ เป็นการทบทวนคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี มีลักษณะเดียวกันกับการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่ง ในกรณีที่มีช่องว่างทางกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดีในส่วนของกระบวนพิจารณาคดีตามคำสั่งให้พิจารณาพิพากษาคดีใหม่ ระเบียบฯ ภาค ๓ วิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลสูงสุดที่เกี่ยวกับการพิจารณาอุทธรณ์ เป็นกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งสามารถนำไปใช้กับการพิจารณาคดีใหม่ได้โดยเทียบเคียง[23]
        
       ๕. สรุป
       จากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นจะเห็นได้ว่า  การพิจารณาคดีใหม่เป็นบทกฎหมายที่มีไว้เพื่อการยุติธรรม ซึ่งเป็นการทบทวนคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดการพิจารณาคดีใหม่อีกครั้งหนึ่งในประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้แล้ว หากมีเหตุที่จะทำให้คำวินิจฉัยเดิมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุที่กฎหมายบัญญัติ แต่ทั้งนี้จะต้องไม่กระทบต่อความมั่นคงในนิติฐาน การขอพิจารณาคดีปกครองใหม่ได้บัญญัติไว้ตามมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ต้องเป็นกรณีที่ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีนั้นเสร็จเด็ดขาดแล้ว ผู้มีสิทธิยื่นคำขอจะต้องเป็นคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนั้น กำหนดเหตุที่จะขอให้พิจารณาใหม่ ๔ กรณี คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้ร้องจะต้องไม่ทราบถึงเหตุนั้นในการพิจารณาคดีครั้งที่แล้วมา โดยไม่ใช่ความผิดของผู้นั้น และจะต้องยื่นคำร้องภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้นั้นได้รู้หรือควรรู้ถึงเหตุซึ่งอาจขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้ แต่ไม่เกินห้าปีนับแต่ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาด  นับว่าเป็นหลักเกณฑ์การขอพิจารณาใหม่ที่สอดคล้องกับหลักความยุติธรรม และไม่กระทบกระเทือนต่อหลักความมั่นคงในฐานะนิติ ที่เหตุขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่แคบและไม่กว้างเกินไป มีระยะเวลาที่จำกัดในการยื่นคำร้องขอ แต่การพิจารณาคดีปกครองใหม่ตามบัญญัติไว้เพียงมาตราเดียว บทบัญญัติบางถ้อยคำไม่ชัดแจ้งจึงมีปัญหาในการตีความกฎหมายที่ไม่สอดคล้องเป็นระบบเดียวกันทั้งที่เป็นตัวบทกฎหมายที่อยู่ในมาตราเดียวกัน เช่น การตีความคำบุคคลภายนอกที่มิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี การตีความการนับกำหนดระยะเวลา เป็นต้น และเหตุที่อ้างในขอให้พิจารณาใหม่ จากการศึกษาพบว่า ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยอนุญาตให้ดำเนินกระบวนพิจารณาเพียงกรณีคือบุคคลภายนอกมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี ส่วนเหตุอื่นๆ เกือบทุกคำร้องขอศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยไม่เข้าเงื่อนไขเหตุขอให้พิจารณาใหม่ อีกทั้งบทบัญญัติมาตรา ๗๕ ยังขาดรายละเอียดในกระบวนพิจารณาขอคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ในหลายประเด็น ได้แก่ การยื่นคำร้อง ศาลที่มีอำนาจพิจารณา ผลคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีให้ที่มีต่อคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดเดิม ผลการบังคับคดีที่ดำเนินการไปแล้ว การส่งสำเนาแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งคัดค้านหรือไม่ สิทธิการอุทธรณ์คำสั่งยกคำร้องขอหรือคำสั่งรับคำร้องขอ องค์คณะตุลาการที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดใหม่ เป็น ต้น แม้ว่า บางกรณีศาลปกครองสูงสุดจะวางแนวตีความและแนวปฏิบัติที่ชัดเจนพอสมควร แต่บางส่วนก็ควรจะแก้ไขให้เกิดความชัดเจน ซึ่งบางกรณีเช่น รายละเอียดในกระบวนพิจารณาขอคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่สามารถกระทำได้โดยแก้ไขระเบียบที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ เพิ่มเติมหมวด การพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติของคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกต่อไป
        
        
        
       

       
       

       

       [1] พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การขอให้พิจารณาใหม่ตาม มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า “ถ้าคำสั่งทางปกครองได้ออกโดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดและต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่คู่กรณี”
       

       

       [2] ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศาสนต์, กฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง, กรุงเทพฯ: จิรรัชการพิมพ์, ๒๕๔๐. หน้า ๓๒๖-๒๓๗.
       

       

       [3] วรเจตน์ ภาคีรัตน์, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายปกครองและการกระทำทางปกครอง, พิมพ์ครั้งที่ ๓, กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๔๙. หน้า ๒๓๖.
       

       

       [4] แต่ในกรณีนี้ ผู้ฟ้องคดีจะต้องยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งขอให้พิจารณาใหม่ตามมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ จะคำร้องขอต่อศาลปกครองเพื่อขอให้พิจารณาคดีใหม่โดยให้ศาลปกครองเปลี่ยนแปลงคำสั่งของฝ่ายปกครองมิได้ เพราะเป็นการร้องขอให้ศาลปกครองก้าวล่างไปจัดการการดำเนินงานของฝ่ายบริหารเสียเอง อันขัดแย้งกับหลักแบ่งแยกอำนาจ
       

       

       [5] เทียบตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๐๕๐/๒๕๓๙
       

       

       [6] เทียบตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๕๐๐/๒๕๔๒
       

       

       [7] การรู้เหตุขอให้พิจารณาใหม่ในระหว่างพิจารณาคือ เหตุตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) ถึง (๓) เท่านั้น ไม่รวมถึงเหตุตาม (๔) ที่เกิดขึ้นภายหลังการพิจารณาคดี ดังที่กล่าวมาแล้ว
       

       

       [8] กรณีการพิจารณาคดีผิดระเบียบ ตามระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ข้อ ๗ ผู้คำร้องกรณีการพิจารณาผิดระเบียบจะต้องไม่ดำเนินการอื่นใดขึ้นมาใหม่ภายหลังที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้ว หรือต้องมิให้ได้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้น
       

       

       [9] กิตติศักดิ์ ปรกติ, หลักสุจริตและเหตุเหนือความคาดหมายในการชำระหนี้, กรุงเพทฯ: วิญญูชน, ๒๕๕๔, หน้า ๒๒, ๖๖.
       

       

       [10] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๐๑๖-๔๐๒๐/๒๕๒๖, ๖๔๒๘/๒๕๔๖ วางหลักว่า การฟ้องคดีโดยใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับเรียบร้อย ศาลหยิบยกขึ้นมาพิจารณาได้เอง อ้างใน กิตติศักดิ์ ปรกติ, เรื่องเดิม. หน้า ๗๔,๘๒-๘๓.
       

       

       [11] แต่ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๖ บัญญัติชัดแจ้งว่า คำร้องให้พิจารณาคดีอาญาใหม่ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นที่ได้พิพากษาคดีนั้นหรือศาลอื่นที่ได้มีเขตอำนาจแทนศาลนั้นตาม มาตรา ๘ และเมื่อไต่สวนแล้ว ให้ส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณาคำร้อง คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด ตามมาตรา ๑๐
       

       

       [12] เปรียบเทียบกับการขอให้พิจารณาใหม่ตามมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่จะต้องยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งนั้น มิใช่ยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๙๖๑/๒๕๔๘) อ้างใน มูลนิธิวิจัยและพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางปกครอง, คำอธิบายหลักกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙, พิมพ์ครั้งที่ ๓, กรุงเทพฯ: ประชาชน, ๒๕๕๔, หน้า ๒๒๐.
       

       

       [13] เทียบนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๔๐/๒๕๔๓, ๖๑๕/๒๕๔๕, ๓๑๓๒/๒๕๔๕
       

       

       [14]มาตรา ๓  “คำฟ้อง” หมายความว่า การเสนอข้อหาต่อศาลไม่ว่าจะได้เสนอต่อศาลปกครองชั้นต้นหรือศาลปกครองสูงสุด ไม่ว่าจะได้เสนอในขณะที่เริ่มคดีโดยคำฟ้องหรือคำร้องขอ หรือเสนอในภายหลังโดยคำฟ้องเพิ่มเติมหรือแก้ไข หรือฟ้องแย้ง หรือโดยสอดเข้ามาในคดีไม่ว่าด้วยความสมัครใจหรือถูกบังคับ หรือโดยมีคำขอให้พิจารณาใหม่
       

       

       [15] การพิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๙ เบญจ วรรคสี่ บัญญัติว่า “คำสั่งศาลที่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ให้เป็นที่สุด แต่ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด”
       การพิจารณาคดีใหม่ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๖  มาตรา ๙ บัญญัติว่า  “ศาลสั่งรับคำร้องและดำเนินการพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ต่อไป คำสั่งของศาลในกรณีเช่นนี้ให้เป็นที่สุด” และมาตรา ๑๐ บัญญัติว่า  “ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำร้องนั้นมีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ให้ศาลอุทธรณ์สั่งรับคำร้องและสั่งให้ศาลชั้นต้นที่รับคำร้องดำเนินการพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ต่อไป แต่ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำร้องนั้นไม่มีมูล ให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องนั้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด”
       

       

       [16] รายละเอียด หลักความยุติธรรมในกฎหมายปกครอง โปรดอ่าน กลมชัย รัตนสกาววงศ์, หลักกฎหมายปกครองเยอรมัน, กรุงเทพฯ: ศูนย์ยุโรปศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๔. หน้า ๑๐๓-๑๐๖.
       

       

       [17] รายละเอียด หลักความมั่นคงในนิติฐานะ โปรดอ่าน มานิตย์ วงศ์เสรี, “หลักการคุ้มครองความเชื่อถือหรือความไว้วางใจโดยสุจริตของประชาชน” ใน http://www.admincourt.go.th/00_web/09_academic/document/03_technical_papers/ sujjarit_20081020.pdf  และ วรนารี สิงโต “การคุ้มครองความเชื่อโดยสุจริตกรณียกเลิกเพิกถอนคำสั่งทางปกครองในระบบกฎหมายเยอรมัน” ใน http://web.krisdika.go.th/data/activity/act116.pdf
       

       

       [18] ไพโรจน์ วายุภาพ, คำอธิบายกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค ๒ วิธีพิจารณาวิสามัญในศาลชั้นต้น หมวด ๒ การพิจารณาโดยขาดนัด, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (ไม่ปรากฏสถานที่พิมพ์) ๒๕๕๐. หน้า ๙๒.
       

       

       [19]  สมชัย ฑีฆาอุตมากร, ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค ๒ วิธีพิจารณาในศาลชั้นต้น, พิมพ์ครั้งที่ ๔, กรุงเทพฯ: พลสยามพริ้นติ้ง, ๒๕๕๒. หน้า ๔๑๖-๔๑๕.
       

       

       [20] ประสาท พงษ์สุวรรณ และสุรีย์ เผ่าสุขถาวร, “หลักกฎหมายทั่วไปว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง”, วารสารวิชาการศาลปกครอง ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๒ (พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๔๕), หน้า ๙๖.
       

       

       [21] วรเจตน์ ภาคีรัตน์, “ข้อความคิดเบื้องต้นกับคำวินิจฉัยและผลผูกพันของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”  อ้างแล้ว หน้า ๑๑-๑๒.
       

       

       [22] ศูนย์ศึกษาคดีปกครอง สำนักวิจัยและวิชาการ, สรุปหลักกฎหมายจากคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ (ครึ่งปีหลัง), หน้า ๓๐๙. ใน http://www.admincourt.go.th/attach/news_attach/2010/10/191053.pdf
       

       

       [23] เป็นลักษณะของการใช้กฎหมายโดยเทียบเคียงอย่างหนึ่งเพื่ออุดช่องว่างกฎหมาย ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของการใช้และการตีความกฎหมายตามหลักนิติวิธีระบบซีวิลลอว์ โปรดอ่าน สมยศ เชื้อไทย, คำอธิบายวิชาหลักกฎหมายแพ่ง : หลักทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ ๑๕, กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๕๑. หน้า ๑๙๑-๑๙๖. หยุด แสงอุทัย, ช่องว่างกฎหมาย, พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๕๒. และ วรเจตน์ ภาคีรัตน์, “การใช้การตีความกฎหมายมหาชน” ใน การใช้การตีความกฎหมาย, พิรุณา ติงศภัทิย์, บรรณาธิการ, กรุงเทพฯ: กองทุนศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์, ๒๕๕๒, หน้า ๓๓๗-๓๔๓.
       

       



 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ผลในทางปฏิบัติ เมื่อครบรอบหกปีของการปฏิรูปการเมือง
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544