หน้าแรก บทความสาระ
การพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ (ตอนที่๑)
คุณณรงค์ฤทธิ์ เพชรฤทธิ์ นักวิชาการอิสระ
11 กันยายน 2554 21:40 น.
 
การพิจารณาใหม่หรือการพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ (Resumption of  proceedings) เป็นบทกฎหมายที่มีไว้เพื่อการยุติธรรม (jus aequum) ที่มีบัญญัติในระบบกฎหมายของการพิจารณาข้อพิพาททุกประเภท ได้แก่ การขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง [1] การขอให้พิจารณาคดีอาญาใหม่ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๖[2] การพิจารณาใหม่ในชั้นพิจารณาของเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕๔ และการขอให้พิจารณาคดีปกครองใหม่ตามมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
       การพิจารณาคดีใหม่ แม้จะเป็นบทกฎหมายที่มีไว้เพื่อการยุติธรรมก็ตาม แต่มีผลกระทบกระเทือนต่อหลักกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงแน่นอนของกฎหมาย (Der Grundsatz der Rechtssicherheit) ซึ่งมีที่มาจากองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งของ “หลักนิติรัฐ (Rechtsstaats)” ที่เพื่อให้บุคคลมั่นใจในความมั่นคงนิติฐานะของตนเอง แต่ในบางกรณีที่การวินิจฉัยของผู้มีอำนาจวินิจฉัยได้กระทำโดยผิดพลาดหรือมีเหตุที่จะทำให้คำวินิจฉัยนั้นเปลี่ยนแปลงไป หากไม่นำเรื่องมาพิจารณาใหม่ก็จะเกิดความเป็นธรรมก็ต้องมีบทบัญญัติการพิจารณาใหม่
       การพิจารณาคดีใหม่ หมายความถึง กรณีที่ต้องมีการพิจารณาเรื่องใหม่อีกครั้งหนึ่งในประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วในคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดหรือเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว[3] เพื่อให้โอกาสแก่คู่ความหรือคู่กรณีได้ร้องขอให้ผู้มีอำนาจพิจารณาดำเนินกระบวนการพิจารณาเพื่อทบทวนแก้ไขคำวินิจฉัยเดิมหากมีเหตุที่จะทำให้คำวินิจฉัยเดิมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุที่กฎหมายบัญญัติ แต่ก็จะต้องกระทำภายในเวลาที่รวดเร็วที่สุดนับแต่รู้หรือควรรู้เหตุนั้นเพื่อมิให้กระทบกระทบต่อความมั่นคงในนิติฐานะโดยไม่เวลาที่จำกัด และผู้ที่จะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่จะต้องเป็นผู้ที่ไดรับผลกระทบโดยตรงจากคำวินิจฉัยที่จะขอให้พิจารณาใหม่นั้น
       การขอพิจารณาคดีปกครองใหม่ได้บัญญัติไว้ตามมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒[4] ว่า
        “มาตรา ๗๕ ในกรณีที่ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองเสร็จเด็ดขาดแล้ว คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนั้นอาจมีคำขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองนั้นใหม่ได้ในกรณีดังต่อไปนี้
       (๑) ศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ
       (๒) คู่กรณีที่แท้จริงหรือบุคคลภายนอกนั้นมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี หรือได้เข้ามาแล้วแต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณา
       (๓) มีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม
       (๔) คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ทำขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดและต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น
       การยื่นคำขอตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกไม่ทราบถึงเหตุนั้นในการพิจารณาคดีครั้งที่แล้วมา โดยไม่ใช่ความผิดของผู้นั้น
       การยื่นคำขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ต้องกระทำภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้นั้นได้รู้หรือควรได้รูถึงเหตุซึ่งอาจขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้ แต่ไม่เกินห้าปีนับแต่ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี”
        
        
        
       ๑. หลักเกณฑ์การขอพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่
        
       จากบัญญัติมาตรา ๗๕ ดังกล่าว การขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ มีหลักเกณฑ์คือ  กรณีที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ต้องเป็นกรณีที่ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีนั้นเสร็จเด็ดขาดแล้ว ผู้มีสิทธิยื่นคำขอจะต้องเป็นคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนั้น จะต้องมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งที่ระบุตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง  (๑) ถึง (๔) คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้ร้องจะต้องไม่ทราบถึงเหตุนั้นในการพิจารณาคดีครั้งที่แล้วมา โดยไม่ใช่ความผิดของผู้นั้น และจะต้องยื่นคำร้องภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้นั้นได้รู้หรือควรรู้ถึงเหตุซึ่งอาจขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้ แต่ไม่เกินห้าปีนับแต่ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาด  ดังจะกล่าวในรายละเอียดต่อไปนี้
        
       ๑.๑ กรณีที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ต้องเป็นกรณีที่ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีนั้นเสร็จเด็ดขาดแล้ว
       “คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีเสร็จเด็ดขาด” หมายความว่า กรณีที่ศาลปกครองได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีจนกระทั่งมีการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเนื้อหาแห่งคดีแล้ว หากในกรณีใดที่ศาลมิได้วินิจฉัยในเนื้อหาคดีไม่ถือว่าเป็นกรณีที่ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีนั้นเสร็จเด็ดขาดแล้ว
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๒๗๔/๒๕๔๗ (ประชุมใหญ่) ตามมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่จะมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ จะต้องเป็นกรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว ซึ่งหมายถึงกรณีที่ศาลได้ดำเนินกระบวนพิจารณาและได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเนื้อหาแห่งคดีแล้ว สำหรับคำสั่งคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ รวมทั้งศาลปกครองสูงสุดที่สั่งยื่นตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นดังกล่าว เป็นกรณีที่ยังไม่ได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเนื้อหาแห่งคดี จึงไม่ใช่คำสั่งชี้ขาดคดีปกครองเสร็จเด็ดขาด ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิยื่นคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองนั้นใหม่
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๕๖๖/๒๕๔๗ (ประชุมใหญ่) กรณีที่จะมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ตามมาตรา ๗๕ แห่งแห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒  จะต้องเป็นกรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว ซึ่งได้แก่ กรณีที่มีการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเนื้อหาแห่งคดีแล้ว การที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยื่นตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องของผู้ฟ้องไว้พิจารณา เป็นกรณีที่ยังไม่ได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเนื้อหาแห่งคดี จึงไม่ใช่คำสั่งชี้ขาดคดีปกครองเสร็จเด็ดขาด ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่
       ดังนั้น ในกรณีที่ศาลปกครองมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่ศาลปกครองได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีจนกระทั่งมีการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเนื้อหาแห่งคดีแล้ว (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๙๓/๒๕๕๒)[5]เช่น คำสั่งไม่รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณาเนื่องจากคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๖๗๗/๒๕๕๐)  คำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา เนื่องจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีมิได้เป็นการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครอง (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๙๘/๒๕๕๑)[6] คำสั่งไม่รับคำฟ้อง เนื่องจากไม่ใช่ผู้เดือนร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือนร้อนหรือเสียหาย  (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๖๗๗/๒๕๕๐ ที่ ๑๔๘/๒๕๕๑) คำสั่งไม่รับคำฟ้อง เนื่องจากคำขอตามคำฟ้องศาลปกครองไม่อาจบังคับให้ได้ตามมาตรา ๗๒ หรือเป็นกรณีที่ไม่จำเป็นต้องมีคำบังคับของศาล (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๗๑/๒๕๕๑) คำสั่งไม่รับคำฟ้อง เนื่องจากมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการแก้ไขความเดือนหรือเสียหายที่มีกฎหมายกำหนดไว้ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๗/๒๕๕๐)[7]  คำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาเนื่องจากผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีเมื่อพ้นระยะเวลาการฟ้องคดี (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๖๘๐/๒๕๕๑) ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาเพราะเหตุเงื่อนไขการฟ้องคดีตามข้อ ๓๐ ของระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๑๙/๒๕๕๑ ที่ ๒๙/๒๕๕๑ ที่ ๓๐/๒๕๕๑ที่ ๓๑/๒๕๕๑ ที่ ๓๒/๒๕๕๑ และที่ ๑๕๒/๒๕๕๑) คำสั่งไม่รับคำฟ้องเพิ่มเติมไว้พิจารณา เนื่องจากคำฟ้องเพิ่มเติมไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๔๐๑/๒๕๕๑ )[8]  คำสั่งไม่รับคำฟ้องเพิ่มเติมไว้พิจารณา เนื่องจากผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีเพิ่มเติมเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดี (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๐๔/๒๕๕๑) มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องแย้งของผู้ถูกฟ้องคดีไว้พิจารณา เนื่องจากๆไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๔๑๔/๒๕๕๒) คำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาเนื่องจากเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาที่คู่สัญญาจะต้องดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อน (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๒๘/๒๕๕๒) ในกรณีที่ผู้ฟ้องคดีขอถอนฟ้องและศาลมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีไปแล้ว (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๕๖๕/๒๕๕๐) คำสั่งไม่รับคำ ฟ้องไว้พิจารณา เนื่องจากดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามข้อ ๙๖ หรือฟ้องซ้ำตามข้อ ๙๗ ของระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๒๐/๒๕๕๑)[9]  แม้จะเป็นกรณีที่ศาลปกครองชั้นต้นรับคดีไว้พิจารณาจนมีคำพิพากษา แต่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเป็นคำฟ้องที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการฟ้องคดี การรับฟ้องของศาลปกครองชั้นต้นเป็นการพิจารณาผิดระเบียบ ก็ถือว่า เป็นคดีที่กรณีที่ศาลมิได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเนื้อหาแห่งคดี (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๕๒๒/๒๕๕๐)[10]  รวมถึง กรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามกฎหรือคำสั่งชั่วคราวหรือบรรเทาทุกข์ชั่วคราว (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๒๘/๒๕๕๒) คำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๘๓/๒๕๕๑) คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณา (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๒๗๕/๒๕๕๑) ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่ศาลปกครองได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีจนกระทั่งมีการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเนื้อหาแห่งคดีแล้ว
        
       .ผู้มีสิทธิยื่นคำขอจะต้องเป็นคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนั้น
       ผู้ที่มีสิทธิยื่นคำขอการขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่มี ๒ ประเภทคือ คู่กรณี กับ บุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนั้น
       คู่กรณี หมายความว่า  ผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดี และให้หมายความรวมถึงบุคคล หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเข้ามาเป็นคู่กรณีด้วยการร้องสอด ไม่ว่าจะโดยความสมัครใจเองหรือโดยถูกคำสั่งศาลปกครองเรียกเข้ามาในคดี ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นผู้มีส่วนได้เสีย หรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนั้นและเพื่อประโยชน์แห่งการดำเนินกระบวนพิจารณาให้รวมถึงผู้มีสิทธิกระทำการแทนด้วย[11]  ดังนั้น คู่กรณีจึงเป็นผู้มีสิทธิยื่นคำขอให้การขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองนั้นใหม่ได้โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าผู้ที่ถูกกระทบจากผลแห่งคดีหรือไม่ก็ตาม คู่กรณีรวมถึงทายาทของคู่กรณีด้วย เช่น ทายาทของเจ้าของที่ดินซึ่งในคดีเดิมผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของเจ้าของที่ดินคำพิพากษาศาลปกครองย่อมผลแห่งคดีย่อมผูกพันทายาทเจ้าของที่ดิน ผู้ร้อง ซึ่งเป็นทายาทเจ้าของที่ดิน จึงมิใช่บุคคลภายนอกผู้ถูกกระทบจากผลแห่งคดีแต่อย่างใด แต่เป็นคู่กรณีในฐานะผู้ฟ้องคดี จึงอาจยื่นคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๘๗๘/๒๕๕๐)
       บุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนั้น หมายความว่า บุคคลภายนอก ที่มีผลประโยชน์ได้เสียที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองให้ได้รับผลกระทบจากผลคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยโดยตรง  คำว่า ผลกระทบโดยตรง หมายถึง ประเด็นแห่งคดีที่เกิดจากการกระทำหรือความรับผิดของฝ่ายปกครองเมื่อศาลพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว กระทบต่อบุคคลในการกระทำที่ฟ้องร้อง
       บุคคลภายนอกที่มีกระบวนพิจารณาคดีปกครองมีผลกระทบถึงส่วนได้เสียหรือมีผลในทางกฎหมายต่อบุคคลภายนอก หากบุคคลภายนอกได้มีโอกาสเข้ามาในคดีจะทำให้มีสิทธิโต้แย้งแสดงหลักฐานในกระบวนพิจารณาของศาลได้ แต่ถ้าบุคคลภายนอกไม่เข้ามาในกระบวนพิจารณาที่กระทบต่อตนเองเนื่องจากศาลมิได้มีคำสั่งเรียกให้เข้าในคดีถือว่า บุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดี (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๓๘/๒๕๕๒)
       ลำพังผลกระทบทางพฤตินัย เช่น ผลกระทบของบุคคลในครัวที่ขาดรายได้ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และมีความเป็นอยู่อย่างลำบาก จากกรณีสามีหรือภรรยาถูกออกจากราชการ ไม่ถือเป็นผลเป็นกระทบโดยตรง เพราะเหตุที่ฟ้องร้องกับผลกระทบที่ผู้ร้องได้รับมิใช้ผลโดยตรงที่สืบเนื่องจากการกระทำของฝ่ายปกครอง การขาดรายได้ของสามีหรือภรรยาจากคำสั่งทางปกครองนั้นไกลกว่าเหตุ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๔๔/๒๕๕๑) นอกจากนั้น การปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมีผลกระทบอีกชั้นหนึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจากการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำชี้ขาด ไม่ถือว่าเป็นผู้ได้รับผลประทบโดยตรง หากบุคคลภายนอกได้รับความเดือนหรือเสียหายก็ชอบที่จะใช้สิทธิฟ้องร้องอีกคดีหนึ่งต่างหาก (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๕๕๖/๒๕๕๒) หรือกรณีการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งทางปกครองมีผลเฉพาะผู้ฟ้องคดี ไม่ทำให้บุคคลภายนอกมีส่วนได้เสียในประโยชน์ที่ถูกกระทบโดยตรง แม้จะทำให้บุคคลภายนอกจะถูกกระทบต่อสิทธิก็ตาม แต่มิใช่เป็นในทางกฎหมายที่ถูกกระทบโดยตรง คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๕๕๖/๒๕๕๒)
       มีปัญหาว่า ถ้าปรากฏเหตุหนึ่งเหตุใดตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) ถึง (๔) และศาลปกครองพบเอง โดยที่คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกมิได้ร้องขอ ศาลปกครองจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาได้เองหรือไม่[12] ก็กรณีตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ มิได้บัญญัติโดยชัดแจ้ง และตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ก็มิได้กำหนดไว้ชัดแจ้งเช่นเดียวกัน จึงต้องพิจารณาตามข้อ ๕ วรรคสองของระเบียบดังกล่าว กำหนดว่า “ในกรณีที่กฎหมายหรือระเบียบตามวรรคหนึ่งมิได้กำหนดเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ ให้ดำเนินการตามหลักกฎหมายทั่วไปว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง” หลักกฎหมายทั่วไปว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองที่สำคัญคือ วิธีพิจารณาคดีปกครองตามระบบไต่สวนตามระเบียบฯ ข้อ ๕ วรรคหนึ่ง และภารกิจของศาลปกครองคือ การประกันความศักดิ์สิทธิของหลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครอง[13] จะเห็นได้ว่า มีปรากฏเหตุที่จะทำให้คำพิพากษาหรือคำสั่งเดิมเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งที่มีฐานที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุที่จะทำให้คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อไป จึงเป็นภารกิจที่ศาลปกครองจะต้องตรวจสอบถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายที่พบในกระบวนพิจารณาคดีของตน ศาลปกครองจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นมาพิจารณาได้เอง  แต่อาจมีความเห็นแย้งว่า ระบบศาลคือ การพิจารณาข้อพิพาท คือจะต้องมีข้อพิพาทเกิดขึ้นและจะต้องมีผู้ร้องขอให้ชี้ขาดข้อพิพาท หากไม่มีผู้ฟ้องคดีหรือมีผู้ร้องขอศาลจะลงไปเกี่ยวข้องไม่ได้ เพราะการกระทำทางตุลาการมีลักษณะปฏิกิริยา (passive) คือ จะต้องรอให้มีการเสนอข้อพิพาทจากคู่กรณีก่อน ผู้พิพากษาจึงจะพิจารณาคดีได้[14] ตามหลัก “ที่ใดไม่มีผู้ฟ้องคดี ที่นั่นไม่มีผู้พิพากษา”[15]  กรณีนี้แม้จะมีเหตุที่จะพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ แต่ถ้าบุคคลภายนอกหรือคู่กรณีเห็นว่าตนเองไม่จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาใหม่ หรือผลกระทบที่รับนั้นไม่เป็นภาระแก่ตนเองที่ไม่อาจรับได้ จึงไม่ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ก็ได้ (คือ ยังพอใจและรับได้กับคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น)[16] ศาลปกครองก็ไม่สมควรที่จะคาดเดาว่า คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกที่ได้รับกระทบนั้น จะต้องได้รับการเยียวยาโดยการพิจารณาใหม่ทุกกรณีเสมอไป แม้คดีปกครองมีกระบวนพิจารณาที่เหมาะสมกับสภาพของคดีได้แก่ วิธีพิจารณาระบบไต่สวน อย่างไรก็ดี การพิจารณาคดีปกครองยังคงต้องเคารพหลักทั่วไปของระบบวิธีพิจารณาคดี อันเป็นหลักการที่มุ่งเน้นให้มีการพิจารณาคดีอย่างยุติธรรมและมีประสิทธิภาพ เช่น การฟังความสองฝ่าย การพิจารณาไปตามกรอบของคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง การคัดค้านตุลาการ เป็นต้น[17]  ดังนั้น ถ้าไม่มีผู้ร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลปกครองจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาเองไม่ได้ ตามหลักไม่พิจารณาเกินคำขอ ซึ่งเป็นหลักกฎหมายวิธีพิจารณาคดีทั่วไป ผู้เขียนด้วยกับความเห็นของฝ่ายหลัง
        
       ๑.๓เหตุที่จะขอให้พิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่
       กฎหมายจะต้องจำกัดเหตุที่จะขอให้พิจารณาพิพากษาคดีใหม่โดยชัดแจ้ง ถ้าไม่จำกัดเหตุไว้จะทำให้ทำลายหลักความมั่นคงในนิติฐานะได้ เหตุที่จะขอให้พิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ มาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ ๔ ประการ คือ
       (๑) ศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ
       (๒) คู่กรณีที่แท้จริงหรือบุคคลภายนอกนั้นมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี หรือได้เข้ามาแล้วแต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณา
       (๓) มีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม
       (๔) คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ทำขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดและต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น
        
        ๑.๓.๑ ศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ[18]
       เหตุที่จะขอให้พิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) แบ่งได้ ๒ กรณี คือ กรณีแรก ศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด กับ กรณีที่สอง มีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ
       กรณีแรก ศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด
       การรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด คือ การรับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนคดี หรือ กรณีที่ศาลไม่ได้รับฟังข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในสำนวนจากคำฟ้อง คำให้การ คำคัดค้านคำให้การ หรือคำให้การเพิ่มเติมหรือรับฟังโดยคลาดเคลื่อน (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๑๐๙/๒๕๕๑ ที่ ๑๑๐/๒๕๕๑ และที่ ๑๑๑/๒๕๕๑)
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๑๙๑/๒๕๕๓การที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่โดยอ้างว่าศาลฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด อันเป็นการใช้สิทธิในฐานะคู่กรณีขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีที่ศาลปกครองได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้วตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ต้องเป็นกรณีที่ศาลปกครองไม่ได้รับฟังข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในสำนวนจากคำฟ้อง คำให้การ คำคัดค้านคำให้การ และคำให้การเพิ่มเติมหรือรับฟังโดยคลาดเคลื่อน
       การรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญที่มีผลว่าหากรับฟังข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแล้วจะมีผลทำให้คำพิพากษาหรือคำสั่งเสร็จเด็ดขาดนั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย เพราะถ้าข้อเท็จจริงที่ไม่สาระสำคัญที่จะทำให้ผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาหรือคำสั่งเสร็จเด็ดขาด ก็เป็นการไร้ประโยชน์ที่จะเปิดกระบวนการพิจารณาคดีใหม่
       ส่วนการรับฟังข้อเท็จจริงในสำนวนโดยการชั่งน้ำหนักพยานของศาลว่า ข้อเท็จจริงในคดีรับฟังเป็นยุติว่าอย่างไร ถือว่าเป็นดุลพินิจของศาลปกครอง ดังนั้นในกรณีที่ศาลหยิกยกพยานหลักฐานทั้งหมดหรือบางส่วนขึ้นมาชั่งน้ำหนักว่าจะเชื่อถือในข้ออ้างฝ่ายใดหรือพยานหลักฐานมีน้ำหนักว่าข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติเป็นอย่างไร แม้ผู้ร้องจะอ้างว่า การฟังพยานหลักฐานจะเป็นข้อบกพร่องสำคัญที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๔๑๓/๒๕๕๑) หรือจะอ้างว่าการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลไม่สมเหตุสมผล ก็เป็นดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยาน มิใช่รับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด  แม้ศาลจะไม่หยิบยกพยานหลักฐานบางฉบับหรือหยิบยกพยานหลักฐานบางฉบับขึ้นมาพิจารณาโดยไม่พิจารณาพยานหลักฐานในบางส่วนหรือทั้งหมดในสำนวนคดี มีผลทำให้เชื่อถือข้อเท็จจริงตามอีกฝ่ายหนึ่งอ้าง และไม่เชื่อตามอีกฝ่ายหนึ่งอ้าง เป็นการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ไม่ถือว่าเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด (คำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่ ๑๑๐/๒๕๕๑ และที่ ๑๑๑/๒๕๕๑)  เช่น ศาลฟังพยานบุคคลแล้วรับฟังว่าเชื่อผู้ฟ้องคดีกระทำความผิด ทั้งไม่มีการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๙/๒๕๕๓) และแม้ว่าอ้างว่า คู่กรณีฝ่ายหนึ่งจะนำเสนอพยานหลักฐานไม่ครบถ้วนและไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ก็มิใช่เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด เพราะการที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำเสนอพยานหลักฐานไม่ครบถ้วนและไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ศาลปกครองมีดุลพินิจในชั่งน้ำหนักพยานหรือทำการแสวงหาความจริงได้ตามระบบไต่สวน การรับฟังตามพยานหลักฐานที่แต่ละฝ่ายนำเสนอจึงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล มิใช่กรณีการรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๖๕๓/๒๕๕๐) หรืออ้างว่า พยานหลักฐานที่ศาลนำมารับฟังนั้นเป็นพยานหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ถือว่าเป็นการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังข้อเท็จจริงของศาล มิใช่กรณีรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๘๒๔/๒๕๕๑)
       การอ้างว่าศาลรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดนั้น จะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่อ้างในคำขอให้พิจารณาใหม่จะต้องประเด็นเดียวกันเหตุผลที่ศาลปกครองได้วินิจฉัย (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๔๔๐/๒๕๕๑) ข้อเท็จจริงประเด็นเดียวกันเหตุผลที่ศาลปกครองได้วินิจฉัย ถ้าศาลปกครองชั้นต้นกับศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยในประเด็นข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน จะถือเอาข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุผลวินิจฉัยของคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นที่สุด  (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๕๕๒/๒๕๕๐)
       การวินิจฉัยปรับบทกฎหมายและการตีความกฎหมายของศาลปกครอง หากศาลปกครองพิพากษาหรือมีคำสั่งเสร็จเด็ดขาดโดยปรับบทกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งในคดีไปแล้วหรือตีความกฎหมายไปในทางใดทางหนึ่ง การปรับข้อเท็จจริงเข้ากับบทบัญญัติของกฎหมายเพื่อนำมาสู่ผลการวินิจฉัย การให้เหตุประกอบข้อเท็จจริงหรือการให้เหตุประกอบข้อกฎหมาย มิใช่กรณีการรับฟังข้อเท็จจริง จึงถือไม่ได้ว่าศาลฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดอันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๖๕๓/๒๕๕๐) เช่น ศาลปกครองวินิจฉัย ข้อเท็จจริงตามสำนวนคดีรับฟังได้ว่าการกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการประมาทเลินเล่อร้ายแรง แต่ผู้ร้องอ้างว่า ตามข้อเท็จจริงในสำนวนคดีอีกส่วนหนึ่งไม่เป็นถือว่าผู้ฟ้องประมาทเลินเล่อ  ถือว่าเป็นการโต้แย้งการปรับบทกฎหมายของศาล ไม่ใช่กรณีรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๔๔๓/๒๕๕๒) หรือ การที่ศาลปกครองอ้างตัวบทกฎหมายหนึ่ง แต่ไม่อ้างบทกฎหมายหนึ่งมาประกอบการวินิจฉัยคดี (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๒๙๑/๒๕๕๒)เป็นต้นแม้ต่อมาในภายหลังศาลปกครองจะมีการวินิจฉัยในการปรับบทกฎหมายในทางตรงกันข้ามหรือแตกต่างกัน หรือศาลปกครองตีความกฎหมายไปในทางตรงกันข้ามหรือแตกต่างกันก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นกรณี ศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด[19] การให้เหตุผลในการทำคำพิพากษาของศาล มิใช่กรณีการรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๙/๒๕๕๓)และการชั่งน้ำหนักประโยชน์ของเอกชนกับประโยชน์สาธารณะหรือชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์สาธารณะด้วยกัน แล้วเลือกเอาประโยชน์ในทางใดทางหนึ่งตามหลักความได้สัดส่วนในการพิจารณาเพิกเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง มิใช่การรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด  (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๑๖๒-๖๓๓/๒๕๕๒) รวมทั้งการตีความเอกสารหรือตีความสัญญาก็ถือว่าเป็นดุลพินิจของศาลปกครอง ก็ไม่ถือว่าเป็นการรับฟังข้อเท็จจริง แม้ต่อมาองค์กรหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นจะตีความเอกสารหรือตีความสัญญาแตกต่างกันก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นการฟังข้อเท็จจริงที่ผิดพลาด และพยานหลักฐานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากตีความขององค์กรหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่น ไม่ถือว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๔๙๕/๒๕๕๑)[20]
       แต่ในกรณีที่ศาลปกครองตีความข้อเท็จจริงอันเรื่องเทคนิคด้านที่ต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านผิดพลาด เช่น การแปลค่าทางธรณีของธาตุชั้นแร่ผิดพลาด กรณียังไม่มีแนววินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด แต่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นกรณีรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด มิใช่การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาล
       กรณีศาลปกครองรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด จะต้องเป็นการฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดที่เกิดขึ้นในกระบวนพิจารณาชั้นใด ประเด็นนี้ ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ กำหนดชั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริงจากคำฟ้อง คำให้การ คำคัดค้านคำให้การ และคำให้การเพิ่มเติม และตุลาการเจ้าของสำนวนมีอำนาจแสวงหาข้อเท็จจริงแห่งคดีได้ตามความเหมาะสม โดยอาจแสวงหาข้อเท็จจริงจากพยานบุคคลพยานเอกสาร พยานผู้เชี่ยวชาญ หรือพยานหลักฐานอื่นนอกเหนือจากพยานหลักฐานของคู่กรณีที่ปรากฏในคำฟ้อง คำให้การ คัดค้านคำให้การ หรือคำให้การเพิ่มเติม โดยตุลาการเจ้าของสำนวนมีอำนาจออกคำสั่งเรียกคู่กรณีหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำได้ตามที่เห็นสมควร โดยคำสั่งศาลดังกล่าวต้องกำหนดประเด็นข้อเท็จจริงที่จะทำการไต่สวนให้ชัดเจน และศาลต้องแจ้งกำหนดการไต่สวนให้คู่กรณีที่เกี่ยวข้องทราบล่วงหน้าเพื่อเปิดโอกาสให้คู่กรณีนั้นคัดค้านหรือชี้แจงข้อเท็จจริงได้ ในระหว่างการแสวงหาข้อเท็จจริงแห่งคดีตามอำนาจหน้าที่นั้น ตุลาการเจ้าของสำนวนต้องเปิดโอกาสให้คู่กรณีได้ทราบถึงข้ออ้างหรือข้อโต้แย้งของแต่ละฝ่าย และให้คู่กรณีแสดงพยานหลักฐานของฝ่ายตนเพื่อยืนหรือหักล้างข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายได้[21] จะเห็นได้ว่า ข้อเท็จจริงที่เข้ามาในสำนวนมี ๒ กรณี กรณีแรกข้อเท็จจริงที่มาจากคู่กรณีคือ ข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การ คำคัดค้านคำให้การ และคำให้การเพิ่มเติม กรณีที่สองข้อเท็จจริงที่มาจากการแสวงหาข้อเท็จจริงของตุลาการเจ้าของสำนวน และเมื่อตุลาการเจ้าของสำนวนเห็นว่าข้อเท็จจริงเพียงพอแล้วก็จะสรุปข้อเท็จจริงแล้วส่งให้คู่กรณีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน  และกำหนดวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ในวันที่ตุลาการออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก คู่กรณีมีสิทธิยื่นคำแถลงรวมทั้งนำพยานหลักฐานมาสืบประกอบคำแถลงประเด็นข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงเพื่อยืนยันหรือหักล้างข้อเท็จจริงในวันนั่งพิจารณาคดี ตามแนวคำสั่งศาลปกครองสูงสุด หากคู่กรณีเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลปกครองได้สรุปสำนวนผิดพลาดจะต้องโต้แย้งในการแถลงการณ์วันนั่งพิจารณาคดี การที่คู่กรณีไม่โต้แย้งในวันนั่งพิจารณาครั้งแรก แล้วจะโต้แย้งว่าศาลรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดในภายหลังไม่ได้ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๑๙๑/๒๕๕๓) หากพิจารณาอย่างผิวเผินแล้วก็น่าจะเห็นว่า การรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดจะเกิดขึ้นได้เฉพาะชั้นตอนการสรุปข้อเท็จจริงของตุลาการเจ้าของสำนวนเท่านั้น แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะในชั้นการวินิจฉัยจัดทำคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่พิจารณาโดยองค์คณะ องค์คณะอาจจะพิจารณาเอกสารในสำนวนแล้วมีความเห็นในข้อเท็จจริงแตกต่างจากสรุปข้อเท็จจริงที่ตุลาการเจ้าสำนวนได้สรุปไว้แล้วก็ได้ และองค์คณะอาจจะเห็นพิจารณาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมนอกเหนือสรุปข้อเท็จจริงก็ได้ ฉะนั้นการรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดจึงอาจจะเกิดในขั้นตอนการวินิจฉัยคดีโดยองค์คณะที่ปรากฏในส่วนการวินิจฉัยข้อเท็จจริงประกอบการให้เหตุผลในการตัดสินชี้ขาดคดีก็ได้
       ถ้าคู่กรณีเห็นว่าการสรุปข้อเท็จจริงของตุลาการเจ้าสำนวนผิดพลาดก็จะต้องโต้แย้งในการพิจารณาครั้งแรก และในกรณีตุลาการองค์คณะรับฟังข้อเท็จจริงในการวินิจฉัยและทำคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น คู่กรณีก็จะต้องโต้แย้งในการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่ง หากคู่กรณีมิได้โต้แย้งการรับข้อเท็จจริงในขั้นตอนดังกล่าวถือว่า คู่กรณียอมรับข้อเท็จจริงตามที่ตุลาการเจ้าสำนวนได้สรุปข้อเท็จจริงหรือตามตุลาการองค์คณะรับฟังข้อเท็จจริงแล้วแต่กรณี จะมาโต้แย้งภายหลังว่า ศาลปกครองรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือจะอ้างว่า มีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม เพื่อขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นความผิดของคู่กรณีเอง (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๑๐๙/๒๕๕๓)
       กรณีที่สอง มีพยานหลักฐานใหม่
       พยานหลักฐานใหม่ หมายความว่า  พยานหลักฐานที่เป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่ก่อนศาลปกครองพิพากษาหรือมีคำสั่งเสร็จเด็ดขาดในคดี แต่คู่กรณีหรือศาลไม่ทราบถึงความมีอยู่ของหลักฐานนั้นที่จะนำเข้าสู่ในสำนวนคดี ซึ่งมิใช่ความผิดของคู่กรณี ส่วนพยานหลักฐานที่เกิดภายหลังศาลปกครองพิพากษาหรือมีคำสั่งเสร็จเด็ดขาดในคดี แม้จะมีผลทำทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญก็ไม่ถือว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ แต่ถือว่าเป็นกรณีข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นซึ่งจะกล่าวต่อไป  ดังนี้ ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานใหม่จะต้องสามารถหักล้างพยานหลักฐานเดิมที่ศาลปกครองนำมาวินิจฉัยในคดีได้ หากไม่สามรถหักล้างพยานหลักฐานที่ศาลรับฟังแล้วให้เปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจที่จะขอให้พิจารณาพิพากษาใหม่ได้ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๒๗๖/๒๕๕๑)
       ดังนั้น พยานหลักฐานใดที่มีอยู่ในสำนวนอยู่แล้ว แม้พยานหลักฐานนั้นศาลมิได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณาวินิจฉัยก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ แต่เป็นเรื่องเป็นการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและเป็นการให้เหตุผลในการทำคำพิพากษา  (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๕๑๕/๒๕๕๐)
       พยานหลักฐานใหม่นั้นจะต้องมีผลอันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ และต้องมีผลว่าหากรับตามพยานหลักฐานใหม่แล้วจะมีผลทำให้คำพิพากษาหรือคำสั่งเสร็จเด็ดขาดนั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย ดังนั้น ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานใหม่จะต้องเป็นประเด็นข้อเท็จจริงเดียวกันเหตุผลที่ศาลปกครองได้พิจารณาวินิจฉัยในคดีด้วย แม้จะเป็นพยานหลักฐานแต่หากเป็นคนประเด็นเดียวกันก็ไม่ถือว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่มีผลอันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไป เช่น การอ้างคำพิพากษาศาลฎีกา แม้จะเป็นพยานหลักฐานใหม่ แต่ประเด็นที่ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นคนละประเด็นกับประเด็นเหตุผลที่ศาลปกครองวินิจฉัย (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๑๕๘/๒๕๕๐) หรือในคดีฟ้องร้องการกระทำผิดวินัย แม้ในคดีอาญาในการกระทำเดียวกันศาลยุติธรรมในคดีอาญาจะพิพากษายกฟ้องหรือพนักงานอัยการได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องผู้ฟ้องคดีแล้ว ก็ตาม แต่การพิจารณาความผิดวินัยมีหลักเกณฑ์คนละกรณีกับความผิดอาญา การที่ศาลในคดีอาญาพิพากษายกฟ้องหรือ พนักงานอัยการได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องผู้ฟ้องคดีแล้ว คำพิพากษาในคดีอาญาถือว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่ที่มีผลอันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไป (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๔๗๐/๒๕๕๐, ๕๑๕/๒๕๕๐) พยานหลักฐานใหม่นั้นจะต้องเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังในข้อเท็จจริงเป็นยุติแล้ว ถ้าหากมีการโต้แย้งในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพยานหลักฐานใหม่อยู่ เช่น จะต้องมีการพิสูจน์สิทธิ์ตามเอกสารหลักฐานที่อ้างในคำร้อง ไม่ถือว่า เป็นพยานหลักฐานใหม่ที่มีผลอันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไป (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๑๖๔/๒๕๕๐, ที่ ๑๖๕/๒๕๕๐ และที่ ๑๖๖/๒๕๕๐) และพยานหลักฐานใหม่จะต้องเป็นพยานหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมาย  (ความเห็นคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เรื่องเสร็จที่ ๑๐๔๐/๒๕๔๗)
        
       ๑.๓.๒  คู่กรณีที่แท้จริงหรือบุคคลภายนอกนั้นมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีหรือได้เข้ามาแล้วแต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณา[22]
       เหตุที่จะขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๒) แบ่งได้ ๒ กรณีคือ กรณีแรก คู่กรณีที่แท้จริงหรือบุคคลภายนอกนั้นมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี และกรณีที่สอง คู่กรณีที่แท้จริงหรือบุคคลภายนอกได้เข้ามาแล้วแต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณา
        
       กรณีแรก คู่กรณีที่แท้จริงหรือบุคคลภายนอกนั้นมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี
       คำว่า คู่กรณีที่แท้จริง เป็นถ้อยคำทางกฎหมายที่คลุมเครือ ในทางวิชาการยังไม่สามารถหาคำจำกัดความที่เป็นแก่นและสาระสำคัญได้  หากจะให้ความหมาย คู่กรณีที่แท้จริง คือ บุคคลซึ่งโดยกฎหมายวิธีพิจารณาคดีปกครองแล้วจะต้องเป็นคู่กรณีในกระบวนพิจารณาทางปกครอง แต่มิได้เข้ามาเป็นคู่กรณี คู่กรณีที่แท้จริงจึงไม่ถือว่าเป็นบุคคลภายนอก แต่ในทางความหมายที่ถูกต้องควรถือ คู่กรณีที่แท้จริง ก็คือ บุคคลภายนอกที่ควรจะเป็นคู่กรณีแต่ไม่เข้ามาเป็นคู่กรณีเช่นกัน การบัญญัติกฎหมายคำว่า “คู่กรณีที่แท้จริง” จึงเป็นถ้อยคำเกินความจำเป็นและทำให้มีปัญหาในการตีความ เพราะคำว่า คู่กรณีที่แท้จริงนี้อยู่รวมในความหมาย “บุคคลภายนอกนั้นมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี” และเป็นถ้อยคำที่ราบรื่นเป็นเนื้อเดียวกันในบทบัญญัติในมาตราหนึ่งๆ เพราะมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่งใช้ถ้อยคำว่า “คู่กรณี” แต่ในวรรคหนึ่ง (๒) ใช้ถ้อยคำว่า “คู่กรณีที่แท้จริง” ซึ่งทำให้สับสนจนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นบุคคลประเภทเดียวกัน ทั้งที่เป็นบุคคลคนละประเภท กล่าวคือ ถ้อยคำ “คู่กรณี” คือบุคคลที่อยู่ในกระบวนพิจารณาคดีปกครอง  แต่ “คู่กรณีที่แท้จริง” คือ บุคคลภายนอกที่ไม่ได้เข้าเป็นคู่กรณีในกระบวนพิจารณาคดีปกครอง
       การที่จะอ้างเป็นบุคคลภายนอกนั้นมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี หรือได้เข้ามาแล้วแต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณา เพื่อขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ จะต้องเป็นกรณีคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกไม่มีส่วนผิดในกระบวนพิจารณาที่ตนเองไม่เข้ามาเป็นคู่กรณีหรือในกระบวนพิจารณาที่อ้างว่าถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรม เช่น ผู้ร้องมิได้เข้ามาในกระบวนพิจารณาคดีเนื่องจากความผิดของผู้ร้องเองการที่ผู้ร้องทั้งสิบได้รับหมายแจ้งคำสั่งศาลโดยชอบเกี่ยวกับการเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี และมีสิทธิที่จะร้องเข้ามาในคดีได้ แต่มิได้เข้ามาในกระบวนพิจารณาคดีอันเกิดจากความผิดของผู้ร้องทั้งสิบเอง (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๕๙/๒๕๕๒)
       บุคคลภายนอกนั้นมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี เหตุที่มิได้เข้ามาในการการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีจะต้องมิใช่เกิดจากความผิดของบุคคลภายนอกนั้น และบุคคลภายนอกจะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยโดยตรง 
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๓๖/๒๕๔๗ ผู้ร้องขอให้พิจารณาใหม่เป็นเจ้าอาวาสวัดอาจาโรรังสีที่ตั้งอยู่ในที่ดินสาธารณะป่าช้าบ้านคำข่า ซึ่งเป็นที่ดินแปลงพิพาท โดยวัดดังกล่าวเป็นผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงพิพาทและเป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจกระทบจากผลแห่งคดีตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น แต่มิได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีโดยมิใช่ความผิดของผู้ร้อง ตามนัยมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๒) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ นอกจากนี้ หากวัดอาจาโรรังสีได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่สาธารณประโยชน์ดังกล่าวอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติแล้วเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๔) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กรณีจึงมีเหตุที่จะพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีนี้ใหม่ตามคำขอของผู้ร้อง
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๑๔๖/๒๕๕๑ กรณีฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของนายกเทศมนตรีตำบลปราณบุรีที่แจ้งให้ผู้ฟ้องคดียื่นคำขอรับใบอนุญาตดัดแปลงอาคารและรื้อถอนอาคาร คำสั่งห้ามมิให้ใช้หรือเข้าไปในส่วนใดๆ ของอาคารดังกล่าว และคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ นั้น เมื่อคำสั่งของนายกเทศมนตรีและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามผลแห่งคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลปกครองชั้นต้นในอีกคดีหนึ่งที่ผู้ฟ้องคดีมิได้เป็นคู่กรณี ซึ่งศาลพิพากษาให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างอาคารของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการบังคับตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลปกครองชั้นต้นในคดีดังกล่าว จึงถือได้ว่าคำฟ้องคดีนี้ที่แท้จริงแล้วเป็นคำขอให้ศาลปกครองพิจารณาคดีใหม่  หากบุคคลนั้นมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีดังกล่าว เนื่องจากไม่ทราบว่ามีการฟ้องคดีและศาลปกครองก็มิได้มีคำสั่งให้เข้ามาเป็นคู่กรณีในคดีด้วยการร้องสอดย่อมมีสิทธิยื่นคำขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวใหม่ได้ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
       คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๓๓๘/๒๕๕๒หากศาลปกครองชั้นต้นเห็นว่า กระบวนการไต่สวนของอนุกรรมการไต่สวนไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ควรที่จะได้ตรวจสอบบันทึกคำให้การของผู้ถูกกล่าวหาหรือพยานที่ดำเนินการโดยสำนักงาน ป.ป.ช. การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาโดยสรุปว่าบันทึกคำให้การดังกล่าวตรงกับเอกสารรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงหรือจากการนำส่งของผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยมิได้รับฟังพยานหลักฐานโดยตรงจากผู้ร้อง (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) อาจมีผลทำให้การรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดได้ ประกอบกับเมื่อจะวินิจฉัยว่าผู้ร้องชี้มูลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจสอบพยานและเอกสารหลักฐานจากผู้ร้องเป็นสำคัญด้วย ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีหรือได้เข้ามาแล้ว แต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณา หรือมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ได้
       ด้วยความเคารพต่อคำสั่งศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว ผู้เขียนไม่เห็นพ้องด้วยคำสั่งศาลปกครองสูงสุดนี้ เนื่องจาก ในกระบวนการเตรียมจัดทำคำสั่งทางปกครอง ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการภายในของฝ่ายปกครอง ไม่มีผลกระทบต่อบุคคลภายนอก ไม่ถือว่าเป็นคำสั่งทางปกครอง คณะอนุกรรมการไต่สวนจึงเพียงแต่เจ้าหน้าที่เตรียมการ ไม่ถือว่าเป็นบุคคลภายนอก และไม่ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษา หากยอมรับเจ้าหน้าที่ผู้เตรียมการในกระบวนการออกคำสั่งทางปกครองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ในฐานะบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำพิพากษาแล้ว ย่อมเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ของเตรียมออกคำสั่งทางปกครองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เกือบทุกกรณีที่เจ้าหน้าที่อยู่ออกคำสั่งแพ้คดี ทั้งที่ หากในข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีว่า กระบวนการเตรียมออกคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยเหตุหนึ่งเหตุใด  เจ้าหน้าที่ผู้เตรียมการออกสั่งทางปกครองดังกล่าวมาสามารถที่จะให้ข้อมูลและจัดเตรียมให้เจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งทำคำให้การโต้แย้งต่อศาลปกครองได้ ดังนี้ เจ้าหน้าที่ผู้จัดเตรียมออกคำสั่งจึงเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งจึงมีฐานะเป็นคู่กรณีด้วย มิใช่เป็นบุคคลภายนอกแต่อย่างใด
       จากการศึกษาคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเท่าที่เผยแพร่พบว่า เหตุที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ได้มีเฉพาะเหตุกรณีคู่กรณีที่แท้จริงหรือบุคคลภายนอกนั้นมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีเท่านั้น ส่วนเหตุอื่นตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) (๒) และ (๔) ยังไม่พบว่า ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่
        
       กรณีที่สอง คู่กรณีที่แท้จริงหรือบุคคลภายนอกได้เข้ามาแล้วแต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณา
       คู่กรณีที่แท้จริงหรือบุคคลภายนอกได้เข้ามาแล้วแต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณา ในความหมายที่ถูกต้องแล้ว บุคคลหรือผู้ร้องที่จะผู้เหตุนี้ มิใช่เป็นบุคคลภายนอก (รวมถึงคู่กรณีที่แท้จริงด้วย) เพราะบุคคลที่เข้าได้มาในกระบวนพิจารณาคดีปกครองแล้วถือว่าเป็น “คู่กรณี” ทั้งสิ้น[23]
       การจะอ้างว่า คู่กรณีถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณาได้นั้น จะต้องเป็นการถูกตัดโอกาสที่มิใช่เกิดจากการกระทำของคู่กรณีเอง การกระทำของคู่กรณี หมายถึง การกระทำที่เกิดจากการจงใจหรือประมาทเลินเล่อของคู่กรณีหรือตัวแทนของคู่กรณี ไม่ว่าการกระทำนั้นจะเกิดจากความเข้าใจผิด ไม่รู้ข้อกฎหมายหรือสับสนเกี่ยวกับระเบียบวิธีพิจารณาคดีก็ตาม เช่น จะอ้างว่าหลงลืมไม่ได้   การให้ขอพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่เพราะได้เข้ามาแล้วแต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณา หมายถึง การถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมจากกระบวนพิจารณาที่เกิดจากการกระทำของศาลปกครองเอง (รวมถึงการกระทำของหน่วยงานธุรการของศาลปกครองด้วย) เช่น คู่กรณีขอให้ศาลเรียกพยานหลักฐานสำคัญเข้ามาในคดี แต่ศาลปกครองไม่เรียกพยานหลักฐานดังกล่าว ถ้าพยานหลักฐานดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาคดีจะให้ข้อเท็จจริงในทำคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป หรือ ศาลได้มีหมายเรียกพยานหลักฐานเข้าในสำนวนแล้ว แต่หน่วยงานธุรการไม่ได้นำพยานหลักฐานเข้าไปในสำนวนเพื่อเสนอต่อศาล เป็นต้น แต่ต้องไม่ใช่กรณีที่ศาลปกครองหรือตุลาการเจ้าของสำนวนใช้ดุลพินิจในการแสวงหาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า เป็นกรณีที่สมควรเรียกพยานหลักฐานเข้ามาสู่สำนวนคดี
        
       ๑.๓.๓  กรณีมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม[24]
       เมื่อพิจารณาประกอบเหตุในการอ้างพิจารณาใหม่ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) กรณีศาลปกครองรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด หากจะตีความโดยมุ่งหมายถึงเจตนารมณ์ในนิติสมบัติที่กฎหมายต้องการแล้ว “กรณีมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม”  เหตุที่ศาลปกครองรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกรณีมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรมด้วย เพราะถ้ามีการรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดก็ถือเป็นกรณีมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณา แต่ข้อข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณามีความหมายกว้างกว่าการรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด ดังนั้น ในการพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ศาลปกครองมักจะวินิจฉัยกรณีเหตุศาลปกครองรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดไปพร้อมกับข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรมไปด้วยกัน (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๖๓๕/๒๕๕๐)
       ข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม มีหมายความทำนองเดียวกับ กรณีที่คู่กรณีถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณาได้ คือ ข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาจะต้องเป็นการถูกตัดโอกาสที่มิใช่เกิดจากการกระทำของคู่กรณีเอง และข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาเกิดจากการกระทำของศาลปกครองเอง
       ข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาคดี ได้แก่ ข้อบกพร่องอันเกิดขึ้นในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการแสวงหาข้อเท็จจริง การรับฟังพยานหลักฐาน การสรุปสำนวนของตุลาการเจ้าของสำนวน ตลอดจนการนั่งพิจารณาคดี และการพิพากษาคดีของศาล แต่ข้อบกพร่องอันจะเป็นเหตุให้มีการขอให้พิจารณาพิพากษา หรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ได้นั้น จะต้องเป็นข้อบกพร่องสำคัญอันมีผลต่อคำวินิจฉัยของศาล เช่น เมื่อตุลาการเจ้าของสำนวนมีคำสั่งรับคำฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีดังกล่าวสามารถจะวินิจฉัยชี้ขาดได้จากข้อเท็จจริงในคำฟ้องโดยไม่ต้องดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งตุลาการผู้แถลงคดีปกครองก็ได้ทำคำแถลงการณ์ไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสรุปสำนวนของตุลาการเจ้าของสำนวนและองค์คณะก็ได้คำพิพากษาไปโดยอาศัยข้อเท็จจริงในคำฟ้องเท่านั้น ซึ่งหากตุลาการเจ้าของสำนวนดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไปให้ครบขั้นตอนตามที่ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ได้กำหนดไว้แล้วก็จะได้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอันจะมีผลทำให้คำวินิจฉัยของศาลเปลี่ยนแปลงไป[25]
       กรณีเหตุมีตุลาการองค์คณะคนใดคนหนึ่งมีเหตุที่จะถูกคัดค้านตามมาตรา ๖๓ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๑ หรือมีเหตุอื่นใดที่มีสภาพร้ายแรงที่ทำให้กระทบต่อความเป็นกลาง แต่คู่กรณีมิได้คัดค้าน เพราะมิใช่ความผิดของคู่กรณี แต่ได้รู้ในภายหลัง ดังนี้ถือว่าเป็น ข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรมได้ แต่ถ้าคู่กรณีรู้อยู่แล้วในขณะที่พิจารณาคดีเดิม ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิคัดค้านในการพิจารณาคดีเดิมนั้น จะอ้างเพื่อขอให้พิจารณาพิพากษาคดีใหม่ไม่ได้ ถือว่าเป็นการล่วงเลยระยะเวลาการคัดค้านตุลาการ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๔๔๐/๒๕๕๑ )  แต่การแสวงหาข้อเท็จจริงของศาลแม้คู่กรณีจะอ้างพยานหลักฐานใดแต่หากศาลเห็นว่าไม่จำเป็นแก่คดี ศาลก็มีดุลพินิจไม่เรียกพยานหลักฐานดังกล่าวได้ตามข้อ ๕ วรรคหนึ่ง และข้อ ๕๐ วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ดังนั้น การที่ศาลไม่ดำเนินการเรียกพยานมาไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงตามคำขอของผู้ฟ้องคดีก็เพราะศาลเห็นแล้วว่า พยานหลักฐานดังกล่าวไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป และไม่จำเป็นแก่คดี และเป็นดุลพินิจของศาลในการแสวงหาข้อเท็จจริงตามความเหมาะสม การที่ศาลไม่ดำเนินการตามคำขอของผู้ฟ้องคดีไม่เป็นข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม ( คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๔๔๐/๒๕๕๑) ข้ออ้างว่า คำพิพากษาของศาลปกครองคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง และไม่เป็นธรรม เมื่อเปรียบกับคำพิพากษาในคดีอื่นที่ในข้อพิพาททำนองกัน ไม่ถือว่ากรณีมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม  (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๖๒/๒๕๕๒)[26] ทั้งนี้เพราะข้อเท็จจริงและการอ้างเป็นแห่งคดีแตกต่างกัน หรืออ้างว่า ศาลพิจารณาพยานหลักฐานและเอกสารในสำนวนไม่ครบถ้วน ไม่ถือว่าเป็นกรณีให้ศาลฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด หรือมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม (คำสั่งทางปกครองสูงสุดที่ ๖๙๓/๒๕๕๒) ทั้งนี้เพราะการพิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนคดีเป็นดุลพินิจในการับฟังพยานหลักฐานของศาลปกครอง หรืออ้างว่า คำพิพากษาของศาลปกครองที่เสร็จเด็ดขาดนั้นขัดต่อกฎหมาย หรือไม่มีกฎหมายที่จะให้อำนาจศาลปกครองพิพากษาได้ ไม่ถือว่ากรณีมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๒๕/๒๕๕๓)  ข้ออ้างที่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลปกครองสูงสุดในการวินิจฉัยคดี ไม่เป็นเหตุขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๒๙๑/๒๕๕๒)
       

       
       

       

       [1] ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๑๙๙ จัตวา มาตรา ๑๙๙ เบญจ  แต่ขอบเขตเหตุขอให้พิจารณาคดีใหม่แคบมาก เฉพาะขาดนัดยื่นคำให้การเท่านั้น จึงมีปัญหาที่พบในปัจจุบันว่า กรณีมีการนำพยานสืบเท็จ  ต่อมาได้มีการพิสูจน์ในภายหลังว่า พยานเบิกความเท็จหรือมีการสำพยานหลักฐานเป็นเท็จ คู่ความไม่อาจที่ขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ได้ เพราะไม่เข้าเหตุการณ์ขอให้พิจารณาคดีใหม่ จึงต้องฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ และเรียกค่าเสียหายจากผู้นำเสนอพยานเท็จหรือผู้เบิกความเท็จ แต่ก็ไม่ได้มีเพิกถอนคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีที่ถึงสุดไปแล้วที่มีการนำเสนอพยานเท็จนั้น (แต่ในคดีอาญาถ้าพยานเบิกความเท็จ สามารถขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้) จึงยังเป็นช่องว่างที่ทำให้ผู้ไม่สุจริตใช้กระบวนการสร้างพยานหลักฐานเป็นเท็จเพื่อประโยชน์ทางคดีที่ทำให้คู่ความไม่อาจแก้ไขได้ในภายหลัง รวมทั้งกรณีการสมยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน แต่บุคคลภายนอกไม่อาจที่ขอให้พิจารณาคดีใหม่เพื่อเพิกคำพิพากษาตามยอมได้ นับว่าเป็นข้อบกพร่องที่ปรากฏในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่สมควรจะได้รับการทบทวนแก้ไข
       

       

       [2] พระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๕ บัญญัติว่า “คดีใดที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้บุคคลใดต้องรับโทษอาญาในคดีนั้นแล้ว อาจมีการร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้ เมื่อปรากฏว่า
       (๑) พยานบุคคลซึ่งศาลได้อาศัยเป็นหลักในการพิพากษาคดีอันถึงที่สุดนั้น ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในภายหลังแสดงว่าคำเบิกความของพยานนั้นเป็นเท็จ หรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริง
       (๒) พยานหลักฐานอื่นนอกจากพยานบุคคลตาม (๑) ซึ่งศาลได้อาศัยเป็นหลักในการพิจารณาพิพากษาคดีอันถึงที่สุดนั้น ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในภายหลังแสดงว่าเป็นพยานหลักฐานปลอมหรือเป็นเท็จ หรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริง หรือ
       (๓) มีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีซึ่งถ้าได้นำมาสืบในคดีอันถึงที่สุดนั้น จะแสดงว่าบุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นไม่ได้กระทำความผิด”
       

       

       [3] ฤทัย หงส์สิริ , “การทบทวนคำสั่งทางปกครอง”, ใน รวมบทความทางวิชาการกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ พนม เอี่ยมประยูร บรรณาธิการ, กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๔๑ล หน้า ๑๒๖.
       

       

       [4] ต่อไปในบทความนี้ ถ้ามิได้กล่าวไว้เป็นอย่างอื่น มาตราที่กล่าวอ้าง หมายถึง มาตราในบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
       

       

       [5] คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๑๒/๒๕๕๒, ๓๓๐/๒๕๕๒,  ๓๖๕/๒๕๕๒,  ๓๗๔/๒๕๕๒,  ๔๘๗/๒๕๕๒, ๕๕๒/๒๕๕๒, ๔๑/๒๕๕๓, ๕๓/๒๕๕๓ และ ๑๓๓/๒๕๕๓ วินิจฉัยทำนองเดียวกัน
       

       

       [6] คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๕๑/๒๕๕๑, ๓๙๙/๒๕๕๑, ๔๕๕/๒๕๕๑, ๔๘๑/๒๕๕๑ และ ๗๓๕/๒๕๕๑ วินิจฉัยทำนองเดียวกัน
       

       

       [7] คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๒๖๓/๒๕๕๐, ๓๔๕/๒๕๕๐, ๓๗๙/๒๕๕๐, ๔๓๑/๒๕๕๐, ๖๐๘/๒๕๕๐, ๘๐๒/๒๕๕๐ - ๘๐๗/๒๕๕๐, ๘๑๐/๒๕๕๐ - ๘๑๔/๒๕๕๐, ๘๔๐/๒๕๕๐ - ๘๔๓/๒๕๕๐, ๘๕๕/๒๕๕๐ - ๘๖๐/๒๕๕๐ และ ๘๙๕/๒๕๕๐ วินิจฉัยทำนองเดียวกัน
       

       

       [8] คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๕๕๘/๒๕๕๑, ๗๓๐/๒๕๕๑ วินิจฉัยในทำนองเดียวกัน
       

       

       [9] คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๒๑/๒๕๕๑, ๒๒/๒๕๕๑, ๒๓/๒๕๕๑, ๒๔/๒๕๕๑, ๒๕/๒๕๕๑, ๒๖/๒๕๕๑, ๒๗/๒๕๕๑ และ ๒๘/๒๕๕๑ วินิจฉัยในทำนองเดียวกัน
       

       

       [10] คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๑๖๔/๒๕๕๐, ๑๖๕/๒๕๕๐, ๑๖๖/๒๕๕๐ และ ๔๓๑/๒๕๕๐ วินิจฉัยทำนองเดียวกัน
       

       

       [11] มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
       

       

       [12] ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙  ไม่มีปัญหานี้ ถ้าเจ้าหน้าที่พบเหตุด้วยตนเองก็สามารถเพิกถอนคำสั่งทางปกครองได้ตามบทบัญญัติส่วนที่ ๖ การเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง มาตรา ๔๙ ถึงมาตรา ๕๓ ซึ่งกระบวนการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองเป็นอำนาจของเจ้าที่หน้าที่จะริเริ่มได้เองตามหลัก ex offcio  เพราะการกระทำทางปกครองเป็นการกระทำทางกริยา (active) ทั้งการวางแผน การริ่เริ่มปฏิบัติการด้านต่างๆ ลักษณะเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (dynamic)
       

       

       [13] ประสาท พงษ์สุวรรณ์, “กฎหมายว่าด้วยคดีปกครองไทย” ใน รวมบทความทางวิชาการ เล่ม ๒: กฎหมายปกครอง ภาควิธีสบัญญัติ, กรุงเทพฯ: สำนักงานศาลปกครอง, ๒๕๔๘, หน้า ๒๓๘-๒๔๑.
       

       

       [14] สมยศ เชื้อไทย, หลักกฎหมายมหาชนเบื้องต้น, พิมพ์ครั้งที่ ๓ , กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๕๐, หน้า ๒๑๙.
       

       

       [15] วรเจตน์ ภาคีรัตน์, “ข้อความคิดเบื้องต้นกับคำวินิจฉัยและผลผูกพันของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ” เอกสารประกอบการบรรยาย หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตทางกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการศึกษาที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๓, หน้า ๔.
       

       

       [16] คำพิพากษาบางกรณีแม้จะไม่เที่ยงธรรม (justice) แต่ถ้าคู่ความยอมรับหรือรับได้ในผลคำพิพากษาว่าพึ่งพอใจเป็นยุติและถือว่าเป็นธรรมเพียงพอสำหรับตน ถือได้ว่า เป็นคำพิพากษาที่ยุติธรรม คือ ยอมรับเป็นยุติว่าเป็นธรรม
       

       

       [17] โภคิน พลกุล, “สาระสำคัญของกฎหมายว่าด้วยศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง”, วารสารวิชาการศาลปกครอง ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-เมษายน ๒๕๔๔), หน้า ๑๑๐. และประสาท พงษ์สุวรรณ์, “กฎหมายว่าด้วยคดีปกครองไทย” หน้า ๒๘๔.
       

       

       [18] พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การขอให้พิจารณาใหม่ตาม มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง (๑) บัญญัติมีเพียงเฉพาะ“มีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ” ส่วนการรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดไม่ได้บัญญัติไว้
        
       

       

       [19] แต่จะถือว่าเป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ทำขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดและต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นหรือไม่นั้น ในชั้นนี้ผู้เขียนเห็นว่าไม่เข้าเหตุตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๔) ซึ่งจะได้กล่าวรายละเอียดในข้อที่ ๑.๓.๔ ต่อไป
       

       

       [20] การตีความเอกสาร ตีความสัญญา การตีความกฎหมาย การปรับบทกฎหมาย การให้เหตุผลในการทำคำพิพากษา การชั่งน้ำหนักประโยชน์เอกชนกับประโยชน์สาธารณะ โดยเนื้อแท้แล้ว มิใช่เป็นการรับฟังพยานหลักฐาน แต่เป็นดุลพินิจวินิจฉัย ส่วนการให้เหตุผลในข้อเท็จจริงและการให้เหตุผลในข้อกฎหมายเป็นการอธิบายความของการใช้ดุลพินิจวินิจฉัย
       

       

       [21]วรพจน์ วิศรุตพิชญ์, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวศาลปกครอง, กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๔๔, หน้า ๑๗๙-๑๘๓.
       

       

       [22] พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การขอให้พิจารณาใหม่ตาม มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง (๒) บัญญัติทำนองเดียวกัน “คู่กรณีที่แท้จริงมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาทางปกครอง หรือได้เข้ามาในกระบวนพิจารณาครั้งก่อนแล้วแต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณาทางปกครอง”
       

       

       [23] ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ คำนิยาม “คู่กรณี” ความรวมถึงบุคคล หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเข้ามาเป็นคู่กรณีด้วยการร้องสอด ไม่ว่าจะโดยความสมัครใจเองหรือโดยถูกคำสั่งศาลปกครองเรียกเข้ามาในคดีด้วย
       

       

       [24] พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การขอให้พิจารณาใหม่ตาม มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง (๑)ถึง(๔) ไม่ได้บัญญัติเหตุนี้ไว้
       

       

       [25] อำพล  เจริญชีวินทร์, คำอธิบายการฟ้องและการดำเนินคดีในศาลปกครอง, พิมพ์ครั้งที่ ๔, กรุงเทพฯ: นิติธรรม, ๒๕๕๐, หน้า ๕๘๒.
       

       

       [26]คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๖๓/๒๕๕๒, ๓๙๗/๒๕๕๒  และ ๔๑๘/๒๕๕๒ วินิจฉัยทำนองเดียวกัน
       

       



 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ผลในทางปฏิบัติ เมื่อครบรอบหกปีของการปฏิรูปการเมือง
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544