[1]นักกฎหมายอาวุโส สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ
[2] ผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณ ท่านวิทยากร Mr. Miroslav Svab เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยนิวเคลียร์อาวุโส ด้านการวางโครงสร้างกำกับดูแลความปลอดภัยการใช้ประโยชน์จากพลังงานนิวเคลียร์แห่งทบวงการปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA), Mr. Youn Won Park ผู้อำนวยการสถาบันความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์แห่งสาธารณรัฐเกาหลีใต้ (KINS) และ Mr. Jacky Mochel ผู้อำนวยการสำนักงานองค์กรกำกับดูแลความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์แห่งประเทศฝรั่งเศส ตลอดจนตัวแทนประเทศในกลุ่มเอเชียทุกท่านซึ่งเข้าร่วมประชุมสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้ในหัวข้อ
โครงสร้างระบบกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐด้านการใช้ประโยชน์จากพลังงานนิวเคลียร์ของประเทศ จัดขึ้น ณ สถาบันความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์แห่งสาธารณรัฐเกาหลีใต้ เมืองแดจอน ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ วันที่ 9-12 พฤศจิกายน 2553 ที่ได้กรุณาเอื้อเฟื้อให้ความรู้จากประสบการณ์ตรงของแต่ละท่าน อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้เขียน
[3] เทคโนโลยีเชิงวิศวกรรมนิวเคลียร์และส่วนประกอบใช้สอยที่จำเป็นในการนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์ ในที่นี้ ผู้เขียน หมายถึง เครื่องควบคุมปฏิกิริยานิวเคลียร์ให้อยู่ในสถานะที่ปลอดภัยเพื่อการนำพลังงานนิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นในสภาวะที่ถูกควบคุมดังกล่าวนั้น มาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ รวมถึงอุปกรณ์ส่วนประกอบอื่นๆทั้งหลายที่จำเป็นต้องจัดให้มี(เช่น อุปกรณ์ส่วนงานจัดเก็บรักษาเชื้อเพลิงใช้แล้ว และอุปกรณ์ส่วนงานกำจัดกากกัมมันตรังสี) เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล หรือที่ในเชิงเทคนิคทางนิวเคลียร์ เรียกว่า nuclear reactors and its facilities
[4] ขอขอบพระคุณ ท่านวิทยากร Mr. Jacky Mochel ผู้อำนวยการสำนักงานองค์กรกำกับดูแลความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์แห่งประเทศฝรั่งเศส ที่ได้กรุณาเอื้อเฟื้อให้ความรู้จากประสบการณ์ตรง
[5] ขอขอบพระคุณ ท่านวิทยากร Mr. Youn Won Park ผู้อำนวยการสถาบันความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์แห่งสาธารณรัฐเกาหลีใต้ (KINS)ที่ได้กรุณาเอื้อเฟื้อให้ความรู้จากประสบการณ์ตรง
[6] มาตรา 9 (6) แห่งพระราชบัญญัติ พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ. 2504 (ฉบับที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติม ปี พ.ศ.2508)
[7] ในที่นี้ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย ( nuclear reactor for R&E purpose ) ความหมายในเชิงเทคนิค หมายถึงเครื่องควบคุมการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ให้สามารถนำพลังงานรังสีที่ได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดขึ้น(ระบายความร้อนที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาทิ้งไป)มาใช้ประโยชน์ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งแตกต่างจาก เครื่องปฏิกรณ์กำลัง ( nuclear power reactor for power plant) ซึ่งเป็นเครื่องควบคุมการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ให้สามารถนำพลังงานความร้อนที่ได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดขึ้น(รังสีที่เกิดขึ้นจะถูกแปลงให้เป็นพลังงานความร้อนด้วย) มาใช้ประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้าอย่างปลอดภัย
[8] มาตรา 4 (1)และ (2) ประกอบกับมาตรา 9 (2)แห่งพระราชบัญญัติ พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ. 2504 (ฉบับที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติม ปี พ.ศ.2508)
[9] มาตรา 4 (3) และ (4)ประกอบกับมาตรา 9 (2) ,(4) และ(5) แห่งพระราชบัญญัติ พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ. 2504 (ฉบับที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติม ปี พ.ศ.2508)
[10] มาตรา 4 (4) วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติ พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ. 2504 (ฉบับที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติม ปี พ.ศ.2508)
[11] ผู้เขียนตั้งประเด็นข้อสงสัยว่า คำว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามบทบาทในการใช้อำนาจปกครองของรัฐมนตรีฯตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติ พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ. 2504 (ฉบับที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติม ปี พ.ศ.2508) นี้ มีความแตกต่างกับ อนุกรรมการ ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการ พ.ป.ส.อย่างไร ซึ่งผู้เขียนเองก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ว่า เหตุใดจึงต้องแบ่งแยกอำนาจในการใช้อำนาจปกครองในเรื่องนี้ ซึ่งคำตอบในประเด็นข้อสงสัยนี้มีความเกี่ยวโยงกับสถานะขององค์กรของสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) เพราะหากพิจารณาประกอบกับความตามมาตรา 19 ของพระราชบัญญัติเดียวกันนี้ ที่บัญญัติให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) มีสถานะเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบราชการสำนักนายกรัฐมนตรี(ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ปัจจุบัน) แต่มีสถานะเป็นหน่วยงานสำนักงานเลขานุการที่ปฏิบัติงานขึ้นตรงกับคณะกรรมการ พ.ป.ส. ซึ่งอาจถือว่าเป็นองค์กรอิสระแบบองค์กรเดี่ยวในรูปคณะกรรมการ ในการใช้อำนาจกำกับดูแลในเรื่องนี้ ที่โดยปกตินอกจากอำนาจหน้าที่การแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการ ให้ปฏิบัติงานเฉพาะด้านเพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลฯตามมาตรา 10 แล้ว ก็ควรจะต้องมีอำนาจในการแต่งตั้ง พนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ในองค์กรสำนักงานด้วย โดยเทียบเคียงกับแนวการวางกรอบอำนาจหน้าที่ระบบบริหารองค์กรของรัฐ ที่มีสถานะเป็นองค์การมหาชน ตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 และองค์การมหาชนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์กร (เช่น พระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2534 ) เพราะในทางปฏิบัติ รัฐมนตรีฯก็มีอำนาจบังคับบัญชาสั่งการและแต่งตั้ง ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 อยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องนำมาบัญญัติให้อำนาจโดยตรงไว้ตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย และที่สำคัญหากในกรณีที่เกิดข้อขัดแย้งในการมอบหมายและสั่งการระหว่างผู้ใช้อำนาจกำกับดูแลเชิงนโยบาย(คณะกรรมการพ.ป.ส.)และผู้ใช้อำนาจกำกับดูแลเชิงใช้อำนาจปกครอง(รัฐมนตรีฯ) ในการสั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติให้เป็นไปตามกระบวนการกำกับดูแล สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.)จะปฏิบัติอย่างไร อาทิเช่น สมมุติว่าหากเกิดกรณีที่คณะกรรมการ พ.ป.ส.กำหนดนโยบายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ(ปส.) ซึ่งโดยปกติทำหน้าที่ตรวจและแจ้งนำพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเข้าทำการยึดวัสดุพลอยได้จากผู้ใช้ซึ่งไม่มีใบอนุญาต และให้ส่งดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมเฉพาะวัสดุพลอยได้ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ และให้ยกเว้นวัสดุพลอยได้ที่ใช้เพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้นที่หากตรวจพบ ต้องเรียกผู้ใช้ซึ่งไม่มีใบอนุญาตนั้น มาดำเนินการแจ้งและยื่นคำขอรับใบอนุญาตให้ถูกต้อง แต่ถ้าในขณะนั้นรัฐบาลไม่มีนโยบายในการผ่อนผันให้ออกใบอนุญาต ให้แก่ผู้มีวัสดุพลอยได้ซึ่งเกิดจากการผลิตได้เองภายในประเทศทุกกรณี และให้ดำเนินการอย่างเข้มงวดและเฉียบพลันเพื่อป้องกันอันตราย โดยเหตุผลด้านการควบคุมความปลอดภัยการใช้วัสดุพลอยได้และความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ รัฐมนตรีฯ จึงมีความจำเป็นต้องมีการสั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ หากตรวจพบวัสดุพลอยได้กรณีดังกล่าวให้มีอำนาจยึดไว้เป็นของกลางได้ก่อนทันที แล้วจึงส่งดำเนินคดีในภายหลังในทุกกรณี โดยไม่ต้องแจ้งและนำพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเข้าทำการยึด ซึ่งขัดแย้งกัน กรณีดังกล่าวพนักงานเจ้าหน้าที่จะยึดถือปฏิบัติตามมติคณะกรรมการ หรือตามอำนาจสั่งการของรัฐมนตรีฯ เป็นต้น
[12] แม้ตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติ พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ. 2504 ฉบับที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติม ปี พ.ศ.2508 จะบัญญัติให้อำนาจสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) จะมีบทบาทเป็นสำนักงานเลขานุการและมีอำนาจหน้าทีดำเนินกิจการให้เป็นไปตามมติที่คณะกรรมการพ.ป.ส กำหนดเท่านั้นก็ตาม แต่สำหรับการดำเนินการในเชิงใช้อำนาจปกครอง ผู้เขียนเห็นว่าหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวด้วยการกระทำในเชิงใช้อำนาจปกครองนั้น นอกจากคณะกรรมการ พ.ป.ส. จะมีมติมอบหมายอำนาจดังกล่าวเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะเพียงพอที่จะให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.)กระทำการใช้อำนาจปกครองแทนคณะกรรมการพ.ป.ส.ได้ทันที น่าจะต้องออกเป็นกฎหมายระดับบังคับใช้รองรับมติมอบอำนาจเช่นนั้นด้วย
[13] สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานของรัฐประเภทองค์การมหาชนจัดตั้งขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2549 ซึ่งออกและมีผลบังคับใช้ตามความในพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542