| ความรับผิดทางอาญาของแพทย์ตามร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข | 
                    | 
 
 
 | 
 
  | 
  
 
   
     
       | คุณไกรพล อรัญรัตน์
นิสิตชั้นปีที่ ๔ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | 
         
     | 
  
  
     | 
 | 
    
 
 | 
 
 
  | 
  
  
 
 
  | 
  | 
  | 
  
 
 |   | 
 
  | 
 
 
                ภายหลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ได้ผ่านขั้นตอนการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีแล้วนั้น ได้เกิดปรากฎการณ์ที่สำคัญมากครั้งหนึ่งในวงการสาธารณสุขของประเทศไทยนั่นก็คือการพร้อมใจกันออกมาคัดค้านร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวของบรรดาบุคลากรด้านสาธารณสุขจำนวนมาก รวมถึงมีการแสดงความเห็นระหว่างบรรดานิสิตนักศึกษาแพทย์และนักเรียนที่มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นแพทย์ในอนาคต ในเชิงต่อต้านกฎหมายฉบับนี้เป็นจำนวนมากอีกด้วย 
                       สาเหตุที่บรรดากลุ่มบุคลาการด้านสาธารณสุขยกขึ้นเป็นข้อคัดค้านร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข นั้น มีมากมายหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น การทุจริตคอรัปชั่นจากกองทุนชดเชยความเสียหาย , การทำลายความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย เป็นต้น แต่สาเหตุประการหนึ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นสิ่งที่บุคลากรด้านสาธารณสุขหลายๆคนกังวลและหวั่นใจอยู่ลึกๆนั้นก็คือ ความสงสัยในข้อที่ว่า กฎหมายฉบับนี้จะทำให้โอกาสในการติดคุกของบุคลากรด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้นหรือไม่ นั่นเอง 
                       แท้จริงแล้วต้องกล่าวว่าระบบกฎหมายของประเทศไทย ได้เล็งเห็นถึงความเสี่ยงในการรับโทษตามกฎหมายของบุคลากรด้านสาธารณสุขที่มีความเสี่ยงมากกว่าผู้ประกอบวิชาชีพอื่นๆ จึงได้สร้างระบบคุ้มครองความรับผิดตามกฎหมายขึ้นมาเพื่อคุ้มครองบุคลากรด้านสาธารณสุข โดยมีการบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ดังนี้ 
                        มาตรา ๘๐ รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านสังคม การสาธารณสุข การศึกษา และวัฒนธรรม ดังต่อไปนี้..... 
       (๒) ส่งเสริม สนุบสนุน และพัฒนาระบบสุขภาพที่เน้นการสร้างเสริมสุขภาพอันนำไปสู่สุขภาวะที่ยั่งยืนของประชาชน รวมทั้งจัดและส่งเสริมให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพและส่งเสริมให้เอกชนและชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาสุขภาพและการจัดบริการสาธารณสุข โดยผู้มีหน้าที่ให้บริการดังกล่าวซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรม ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย  
       จะเห็นได้ว่าในมาตรา ๘๐ วรรค ๒ ตอนท้าย มีความหมายในทำนองที่ว่า ถ้าหากบุคลากรด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง รอบคอบ ตามมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมแล้ว ก็จะไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ในกรณีกลับกันถ้าหากบุคลากรด้านสาธารณสุขปฏิบัติหน้าที่บกพร่องไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมแล้วนั้น ก็มีโอกาสที่จะต้องรับผิดตามกฎหมายได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชนผู้มาใช้บริการสาธารณสุขด้วย 
       ที่กล่าวว่า หากปฏิบัติหน้าที่บกพร่องไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาชีพแล้วจะต้องรับผิดตามกฎหมายนั้น หมายถึงทั้งความรับผิดทั้งทางแพ่ง (ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน) และทางอาญา อย่างไรก็ดี ในที่นี้จะขอกล่าวถึงในแง่ของคดีอาญาเท่านั้น 
       ในทางกฎหมายอาญา บุคคลที่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลที่ประกอบวิชาชีพเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ หากเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย บาดเจ็บสาหัส หรือบาดเจ็บธรรมดานั้น จะต้องรับผิดตามที่ประมวลกฎหมายอาญากำหนดเอาไว้ เช่น 
        มาตรา ๒๙๑ ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปีและปรับไม่เกินสองหมื่นบาท 
        มาตรา ๓๐๐ ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
        มาตรา ๓๙๐ ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
       ตัวอย่างความผิดที่ยกมานี้ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาที่บุคลากรสาธารณสุขอาจจะได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพหรือเรียกง่ายๆว่าจากการกระทำโดยประมาทนั่นเอง ซึ่งศาลก็จะใช้ดุลยพินิจเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป 
       อย่างไรก็ตาม ในร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ได้วางบทบัญญัติที่มีความสำคัญมากเกี่ยวกับการรับโทษทางอาญาของบุคลากรด้านสาธารณสุข ไว้ในมาตรา ๔๕ ดังนี้คือ 
        มาตรา ๔๕ ในกรณีที่ผู้ให้บริการสาธารณสุขถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาฐานกระทำการโดยประมาทเกี่ยวเนื่องกับการให้บริการสาธารณสุข หากศาลเห็นว่าจำเลยกระทำผิด ให้ศาลนำข้อเท็จจริงต่างๆของจำเลยเกี่ยวกับประวัติ พฤติการณ์แห่งคดี มาตรฐานทางวิชาชีพ การบรรเทาผลร้ายแห่งคดี การรู้สำนึกในความคิด การที่ได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามมาตรา ๓๓ หรือมาตรา ๓๙ การชดใช้เยียวยาความเสียหายและการที่ผู้เสียหายไม่ติดใจให้จำเลยได้รับโทษ ตลอดจนเหตุผลอื่นอันสมควร มาพิจารณาประกอบด้วย ในการนี้ ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดหรือจะไม่ลงโทษเลยก็ได้ 
       จะเห็นได้ว่ามาตรา ๔๕ ของร่างพระราชบัญญัตินี้ ได้บังคับศาลให้พิจารณาองค์ประกอบอื่นๆด้วย กล่าวคือ ถึงแม้จะฟังได้ว่าแพทย์หรือบุคลากรอื่นๆด้านสาธารณสุข กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นจริง แต่ศาลจะยังไม่สามารถลงโทษแพทย์หรือบุคลากรอื่นๆด้านสาธารณสุขได้ เพราะว่า   มาตรา ๔๕ บังคับให้ศาลพิจารณาถึง ประวัติ พฤติการณ์แห่งคดี มาตรฐานทางวิชาชีพ การบรรเทาผลร้ายแห่งคดี และอีกหลายๆปัจจัย ตลอดจนเหตุผลอื่นอันสมควร ก่อนที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการให้ดุลยพินิจศาลที่กว้างขวางมาก ในการที่จะไม่ลงโทษแพทย์หรือบุคลากรด้านสาธารณสุขอื่นๆ อีกทั้งยังให้อำนาจศาลที่จะลงโทษน้อยลงกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ลงโทษจำเลยเลยก็ได้ ดังนั้น โอกาสที่บุคลากรด้านสาธารณสุขที่มิได้ปฏิบัติตามมาตรฐานทางวิชาชีพหรือกระทำการโดยประมาท จะต้องรับโทษทางอาญานั้น จึงลดน้อยลงไปเพราะกฎหมายฉบับนี้ 
       นอกจากนี้ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขฉบับนี้ ยังได้สร้างกองทุนจ่ายเงินชดเชยความเสียหาย เพื่อให้ผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข สามารถมาขอรับเงินจากกองทุนได้ทันทีที่ได้รับความเสียหายดังกล่าว ซึ่งมาตรการนี้อาจมีผลกระทบต่อการใช้ดุลยพินิจของศาลในการลงโทษจำเลยไม่มากก็น้อย เพราะในความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายนั้น ถ้าหากโจทก์ได้รับการเยียวยาชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลยบ้างแล้ว ศาลอาจใช้ดุลยพินิจในการลดโทษหรือรอการลงโทษจำเลยก็เป็นไปได้ 
       จะเห็นได้ว่าในแง่ของคดีอาญานั้น ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มิได้ทำให้บุคลากรด้านสาธารณสุขมีโอกาสติดคุกติดตารางกันมากขึ้น ในทางกลับกัน หากมีการฟ้องร้องบุคลากรด้านสาธารณสุขแล้วนั้น ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้กลับกลายเป็นเครื่องมือช่วยให้โอกาสที่ศาลจะใช้ดุลยพินิจในการพิพากษาลงโทษนั้น มีน้อยลงไปอีกเสียด้วย 
       ด้วยเหตุผลดังที่ได้กล่าวมานี้ คงพอจะทำให้บุคลากรด้านสาธารณสุขที่กำลังหวั่นใจว่าตนอาจมีโอกาสติดคุกเพิ่มขึ้นจากการใช้กฎหมายฉบับนี้ สบายใจได้ว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น รวมถึงคงจะทำให้บรรดานักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นแพทย์ในอนาคต กลับมามีความมั่นใจและเดินตามความฝันของตนต่อไปได้อย่างแน่วแน่มั่นคงอีกครั้งหนึ่ง 
  | 
 
 
 | 
 
 
  | 
 
 
  | 
   | 
  
 
  | 
  | 
  | 
  
   | 
  |