ข้อพิจารณาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างศาลปกครองกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญ |
 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
 |
โดยที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ได้กำหนดให้มีองค์กรใหม่ขึ้นหลายองค์กรไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ องค์กรศาล กล่าวคือ ศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ สำหรับองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เป็นต้น
|
เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ ดังกล่าวล้วนแต่เป็นองค์กรใหม่ที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยรัฐธรรมนูญ ซึ่งสถานะขององค์กรดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญตามนัยของมาตรา 266 ของรัฐธรรมนูญ และโดยที่องค์กรดังกล่าวเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หากพิจารณาในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวกับศาลปกครองแล้ว ในด้านหนึ่งย่อมเป็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวกับศาลปกครอง กรณีนี้องค์กรผู้มีอำนาจชี้ขาดข้อพิพาทดังกล่าวคือศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 266 ของรัฐธรรมนูญ
กรณีที่เป็นปัญหาสำคัญสำหรับองค์กรตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวกับศาลปกครองคือ องค์กรตามรัฐธรรมนูญซึ่งไม่ใช่องค์กรศาล เช่น กกต.ก็ดี ปปช.ก็ดี องค์กรเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมตรวจสอบของศาลปกครองหรือไม่ หากการกระทำของ กกต.ก็ดี ปปช.ก็ดี มีลักษณะเป็นข้อพิพาทในทางปกครองตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งหากจะกล่าวโดยทั่วไปแล้วอาจจะกล่าวได้ว่าการที่องค์กรใดองค์กรหนึ่งมีสถานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ มิได้หมายความว่าการใช้อำนาจขององค์กรดังกล่าวจะมีเฉพาะการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ซึ่งโดยแท้จริงแล้วองค์กรหนึ่ง ๆ ย่อมมีการกระทำที่แตกต่างกันได้หลายลักษณะ เช่น องค์กรตามรัฐธรรมนูญย่อมมีการใช้อำนาจในทางรัฐธรรมนูญ มีการกระทำในทางแพ่ง มีการกระทำในทางปกครอง ในกรณีที่องค์กรตามรัฐธรรมนูญมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องทางรัฐธรรมนูญ ศาลที่มีเขตอำนาจในเรื่องดังกล่าวก็คือศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่องค์กรตามรัฐธรรมนูญมีปัญหาข้อพิพาทในทางแพ่งศาลที่มีเขตอำนาจในเรื่องดังกล่าวคือศาลแพ่ง และกรณีที่องค์กรตามรัฐธรรมนูญมีปัญหาข้อพิพาทในทางปกครอง ศาลที่มีเขตอำนาจในเรื่องดังกล่าวคือศาลปกครองนั่นเอง
โดยที่องค์กรตามรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาในที่นี้คือคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญและใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญต่าง ๆ เพื่อดำเนินการให้บรรลุตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถ้าหากยอมรับหลักการดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่าองค์กรตามรัฐธรรมนูญอาจกระทำการต่าง ๆ ได้หลายลักษณะ มิได้จำกัดเฉพาะการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ กรณีจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาว่าการกระทำใดของ กกต.เป็นการใช้อำนาจทางรัฐธรรมนูญหากมีข้อพิพาท ข้อพิพาทดังกล่าวย่อมเป็นข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ และการกระทำใดเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง และหากมีข้อพิพาท ข้อพิพาทดังกล่าวย่อมเป็นข้อพิพาททางปกครองในการพิจารณาแบ่งแยกระหว่างข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญกับข้อพิพาททางปกครอง อาจแยกการพิจารณาออกเป็น 2 หัวข้อ ดังนี้ 1. ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ 2. ข้อพิพาททางปกครอง
1. ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ
ในหัวข้อนี้แบ่งหัวข้อในการพิจารณาออกเป็น 2 หัวข้อ ดังนี้ 1.1 สาระสำคัญของข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ 1.2 ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญตามกฎหมายไทย
1.1 สาระสำคัญของข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ
ข้อพิพาทในทางรัฐธรรมนูญ หมายถึง ข้อพิพาทระหว่างผู้ที่มีสิทธิในการเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในทางรัฐธรรมนูญ โดยเรื่องที่เข้าไปมีส่วนร่วมในทางรัฐธรรมนูญดังกล่าวจะต้องเกี่ยวกับนิติสัมพันธ์ที่มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น หรือที่เรียกกันว่า ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญโดยแท้ (sog. echte Verfassungsstreitigkeiten) ข้อเรียกร้องของการเป็นข้อพิพาทในทางรัฐธรรมนูญโดยแท้นั้น เรียกร้องความเกี่ยวข้องโดยตรงในทางรัฐธรรมนูญ 2 ประการ หรือที่เรียกว่า sog.dopplte Verfassungsunmittelbarkeit ซึ่งหลักการดังกล่าวใช้เป็นเกณฑ์ในการแบ่งแยกระหว่างข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญกับข้อพิพาททางปกครองได้ หลักความเกี่ยวข้องโดยตรงในทางรัฐธรรมนูญ มีข้อเรียกร้อง 2 ประการ กล่าวคือ ความเกี่ยวข้องโดยตรงประการแรกของข้อพิพาทในทางรัฐธรรมนูญ คือ ข้อพิพาทในเรื่องดังกล่าวจะต้องเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการใช้บทบัญญัติของรัฐธรรมนญไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญก็ดี ปัญหาการตีความรัฐธรรมนูญก็ดี หรือปัญหาการใช้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญก็ดี และความเกี่ยวข้องโดยตรงประการที่สองคือ คู่กรณีของข้อพิพาทดังกล่าวจะต้องเป็นองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงต่อรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญโดยแท้จึงเกิดจากคู่กรณีที่มีสถานะเท่าเทียมกัน ตามรัฐธรรมนูญของเยอรมันบุคคลที่จะเป็นคู่กรณีในคดีข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ เช่น สภาผู้แทนราษฎรสหพันธ์ (Bundestag) สภาสูงสหพันธ์ (Bundesrat) ประธานาธิบดีสหพันธ์ (Bundespraesident) รัฐบาลสหพันธ์ (Bundesregierung) สภามลรัฐ (Landtag) หรือรัฐบาลของมลรัฐ (Landesregierung) เป็นต้น ตัวอย่างของข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ เช่น มาตรา 41 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญเยอรมัน เรื่อง การตรวจสอบการเลือกตั้งของสภาผู้แทนราษฎรของสหพันธ์การวินิจฉัยเกี่ยวกับการเสียสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหพันธ์การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองตามมาตรา 21 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญเยอรมัน การฟ้องประธานาธิบดีตามมาตรา 61 และกรณีของข้อพิพาทขององค์กรตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 93 วรรค 1 ข้อ 3 ของรัฐธรรมนูญเยอรมัน เป็นต้น
ข้อพิพาทที่เกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจึงไม่ถือว่าเป็นข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ ถึงแม้บุคคลที่กระทำการดังกล่าวจะกระทำโดยองค์กรตามรัฐธรรมนูญก็ตาม เพราะในกรณีดังกล่าวสิทธิหรือหน้าที่ของคู่กรณีมิได้รับการบัญญัติไว้โดยรัฐธรรมนูญ หากถือว่าการกระทำขององค์กรตามรัฐธรรมนูญทุกกรณีเป็นการกระทำในทางรัฐธรรมนูญ กรณีจะต้องถือว่าข้อพิพาทเกือบทุกข้อพิพาทเป็นข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ เพราะท้ายที่สุดแล้วการกระทำของรัฐทั้งหลายย่อมมีพื้นฐานมาจากรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น และด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับปัจเจกบุคคลโดยทั่วไปแล้วไม่ถือว่าเป็นข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ ตัวอย่างเช่น ข้อพิพาทที่เกี่ยวกับการให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองในการหาเสียงเลือกตั้งถือว่าเป็นเรื่องของกฎหมายปกครอง เพราะประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์ได้กระทำการในกรณีดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และมิได้กระทำการในฐานะที่เป็น องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และการกระทำของประธานาธิบดีในเรื่องดังกล่าวมิได้มีพื้นฐานจากรัฐธรรมนูญ หากแต่มีพื้นฐานมาจากกฎหมายพรรคการเมือง
โดยทั่วไปแล้วการกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยข้อพิพาทนั้นเป็นไปตามหลักที่ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเฉพาะเท่าที่กฎหมายกำหนดให้ หรือที่เรียกว่า Enumerationsprinzip จากการที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่เฉพาะตามที่กำหนดไว้ มีผลทำให้มีคดีข้อพิพาทตามรัฐธรรมนูญบางกรณีเป็นข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญที่ไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญดังกล่าวมิได้กำหนดให้อยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญ และขณะเดียวกันกรณีที่เป็นข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญย่อมไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาลปกครองเช่นกัน ตัวอย่างของข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญที่ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองในขณะเดียวกันตามกฎหมายของเยอรมัน เช่น กรณีที่ผู้ฟ้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งหนึ่ง ผู้ฟ้องได้ฟ้องขอให้พิจารณาว่าปัญหาเกี่ยวกับการแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งปัญหาในเรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาที่มีลักษณะเป็นข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุนี้เองข้อพิพาทในเรื่องดังกล่าวจึงไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ข้อพิจารณาประการสำคัญสำหรับข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญนั้น พิจารณาลักษณะของข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญในทางเนื้อหาโดยไม่ต้องคำนึงว่าเรื่องนั้นจะอยู่ในเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วการเลือกตัวแทนของประชาชนเป็นปัญหาในทางรัฐธรรมนูญ ปัญหาการแบ่งเขตการเลือกตั้งจึงอาจใช้วิธีการโต้แย้งได้ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง
1.2 ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญตามกฎหมายไทย
หากพิจารณาข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญตามกฎหมายไทยโดยอาศัยหลักทั่วไปดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็อาจแบ่งข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ก. ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ และ ข. ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญที่ไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ
ก. ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ
ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญยังอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนคือ ก.1) ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่กำหนดโดยรัฐธรรมนูญ และ ก.2) ข้อพิพาทที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่กำหนดโดยกฎหมายอื่น
ก.1) ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่กำหนดโดยรัฐธรรมนูญ
(1) การควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายและร่างกฎหมาย
(1.1) การควบคุมความชอบด้วยกฎหมายแบบนามธรรมตามมาตรา 198
(1.2) การควบคุมความชอบด้วยกฎหมายแบบรูปธรรมตามมาตรา 264
(1.3) พิจารณาวินิจฉัยว่าพระราชกำหนดที่คณะรัฐมนตรีเสนอเป็นไปตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง หรือไม่ (1.4) พิจารณาว่าร่างพระราชบัญญัติมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ตามมาตรา 262
(2) การตรวจสอบการดำเนินการภายในวงงานของรัฐสภา
(2.1) พิจารณาว่าร่างพระราชบัญญัติที่เสนอใหม่มีหลักการอย่างเดียวหรือคล้ายกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติที่ถูกยับยั้งไว้ตามมาตรา 177
(2.2) พิจารณาว่าร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนฯวุฒิสภาหรือรัฐสภามีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตามมาตรา 263
(3) วินิจฉัยเกี่ยวกับสมาชิกภาพ
(3.1) พิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพของสภาผู้แทนหรือสมาชิกวุฒิสภาคนใดคนหนึ่งสิ้นสุดลงตามมาตรา 118 (3) (4) (5) (6) (7) (8) (9) (11) หรือ (12) หรือตามมาตรา 133 (3) (4) (5) (6) (7) (9) หรือ (10) (มาตรา 96)
(3.2) พิจารณาวินิจฉัยว่ากรรมการการเลือกตั้งคนใดคนหนึ่งขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 137 หรือกระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 139 หรือไม่ (มาตรา 142)
(3.3) พิจารณาวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งสิ้นสุดลงตามมาตรา 216 (2) (3) (4) หรือ (6) หรือไม่ (มาตรา 216 ประกอบมาตรา 96)
(4) พิจารณาวินิจฉัยในเรื่องเกี่ยวกับพรรคการเมือง
(4.1) พิจารณาวินิจฉัยว่ามติข้อบังคับของพรรคการเมืองขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (มาตรา 47 วรรคสาม)
(4.2) พิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลหรือพรรคการเมืองกระทำการอันขัดต่อรัฐธรรมนูญตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 63 หรือไม่
(4.3) พิจารณาอุทธรณ์ของสมาชิกพรรคการเมืองที่ร้องขอให้วินิจฉัย เพราะเหตุว่าพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกนั้นมีมติให้ตนพ้นจากการเป็นสมาชิกตามมาตรา 118 (8)
(5) พิจารณาวินิจฉัยกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 266
(6) พิจารณาวินิจฉัยว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้ใดจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบหรือไม่ ตามมาตรา 295
ก.2) ข้อพิพาทที่อยู่ในเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่กำหนดโดยกฎหมายอื่น
ในปัจจุบันนี้มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2540 ได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในเรื่องดังต่อไปนี้
(1) กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการสั่งรับหรือไม่รับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองตามมาตรา 14 หรือมาตรา 15 (มาตรา 17)
(2) การมีมติให้สมาชิกภาพของสมาชิกพรรคการเมืองสิ้นสุดลง (มาตรา 22)
(3) การสั่งให้หัวหน้าพรรคการเมือง คณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองกระทำการหรือสั่งให้ออกจากตำแหน่ง (มาตรา 27)
(4) การวินิจฉัยว่ามติหรือข้อบังคับของพรรคการเมืองขัดต่อรัฐธรรมนูญ (มาตรา 28)
(5) การตอบรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายพรรค ข้อบังคับพรรค หรือรายการที่เกี่ยวกับชื่อ อาชีพ ที่อยู่ และลายมือชื่อของคณะกรรมการบริหารพรรคหรือการจัดตั้งสาขาพรรค (มาตรา 33)
(6) การยุบพรรคการเมือง (มาตรา 45 มาตรา 67 มาตรา 72 และมาตรา 73)
(7) การสั่งให้พรรคการเมืองระงับการดำเนินการของพรรคการเมืองไว้เป็นการชั่วคราว (มาตรา 67)
ข. ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญที่ไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ
ข้อพิจารณาว่าข้อพิพาทใดเป็นข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญคงนำหลักทั่วไปที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นมาพิจารณา โดยจะต้องพิจารณาถึงคู่กรณีว่าจะต้องเป็นองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงต่อรัฐธรรมนูญ และข้อพิพาทในเรื่องดังกล่าวจะต้องเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการใช้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญก็ดี ปัญหาการตีความรัฐธรรมนูญก็ดี หรือปัญหาการใช้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญก็ดี ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญในทางเนื้อหาดังกล่าวย่อมไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองเช่นกัน
2. ข้อพิพาททางปกครอง
ในเรื่องนี้แบ่งหัวข้อในการพิจารณาออกเป็น 3 หัวข้อ ดังนี้ 2.1 สาระสำคัญของข้อพิพาทในคดีปกครอง 2.2 ข้อพิพาทในคดีปกครองตามระบบกฎหมายไทย และ 2.3 หลักเกณฑ์ในการจำแนกข้อพิพาทในทางปกครองออกจากข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ
2.1 สาระสำคัญของข้อพิพาทในคดีปกครอง
หากจะกล่าวถึงสาระสำคัญของข้อพิพาทในคดีปกครองโดยสรุปแล้ว อาจสรุปสาระสำคัญของคดีปกครองได้ดังนี้
(1) คดีปกครองเป็นคดีที่ต้องมีคู่ความอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งคดีปกครองส่วนใหญ่เป็นข้อพิพาทระหว่างคู่กรณีที่มีฐานะไม่เท่าเทียมกัน
(2) คดีปกครองเป็นคดีข้อพิพาทอันเกิดจากการกระทำทางปกครอง
(3) คดีข้อพิพาทอันเกิดจากการกระทำทางปกครองนั้นจะต้องเป็นข้อพิพาทที่อยู่ภายในขอบเขตของกฎหมายปกครอง ไม่ใช่ในขอบเขตของกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายแพ่ง
จากสาระสำคัญของคดีปกครองดังกล่าวข้างต้นจึงอาจสรุปสาระสำคัญของคดีปกครองได้ว่าคดีปกครอง หมายถึง ข้อพิพาทซึ่งเกิดจากการใช้อำนาจหน้าที่ของฝ่ายปกครองภายในขอบเขตของกฎหมายปกครองเพื่อกระทำการในทางปกครอง
2.2 ข้อพิพาทในคดีปกครองตามระบบกฎหมายไทย
ข้อพิพาทในคดีปกครองตามระบบกฎหมายไทยอาจแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี คือ (1) คดีปกครองที่กฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง และ (2) คดีปกครองที่กฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น
(1) คดีปกครองที่กฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 อาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ก. คดีปกครองตามมาตรา 9 และ ข. คดีปกครองตามกฎหมายอื่น
ก. คดีปกครองตามมาตรา 9
ข. คดีปกครองตามกฎหมายอื่น เช่น ตามกฎหมายการปฏิรูปที่ดิน การผังเมือง การจัดรูปที่ดิน เป็นต้น
(2) คดีปกครองที่กฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น
คดีปกครองที่กฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่นดังเช่นที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 วรรค 2 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เช่น การดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหาร หรือการดำเนินการของคณะกรรมการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ เป็นต้น
2.3 หลักเกณฑ์ในการจำแนกข้อพิพาทในทางปกครองออกจากพิพาททางรัฐธรรมนูญ
จากการศึกษาสาระสำคัญของข้อพิพาทในทางปกครองอาจสรุปสาระสำคัญของคดีปกครองของไทย เพื่อแยกออกจากข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญได้ดังนี้
(1) พิจารณาจากคู่กรณีของข้อพิพาท คดีที่จะเป็นคดีปกครองจะต้องมีคู่กรณีอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายปกครอง ในกรณีที่คู่กรณีเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญจะต้องพิจารณาว่าองค์กรตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวกระทำการในฐานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือกระทำการในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง
(2) พิจารณาจากพื้นฐานของอำนาจที่กระทำการ หากการกระทำขององค์กรดังกล่าวกระทำการโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กรณีย่อมเป็นการกระทำในทางรัฐธรรมนูญ หากมีข้อพิพาทในกรณีดังกล่าวย่อมเป็นข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ แต่หากองค์กรตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติ กรณีดังกล่าวย่อมเป็นการใช้อำนาจในทางปกครอง กรณีดังกล่าวหากมีข้อพิพาทย่อมเป็นข้อพิพาทในทางปกครอง
(3) การกระทำอันเกิดจากการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้นจะต้องเข้าลักษณะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
กล่าวโดยสรุปองค์กรตามรัฐธรรมนูญย่อมเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจในทางรัฐธรรมนูญและอำนาจในทางปกครอง การใช้อำนาจในทางรัฐธรรมนูญย่อมเป็นข้อพิพาทในทางรัฐธรรมนูญ แต่ข้อพิพาทดังกล่าวจะขึ้นศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่เพียงใดขึ้นอยู่กับว่ากฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ สำหรับการใช้อำนาจทางปกครองขององค์กรตามรัฐธรรมนูญนั้นหากเกิดข้อพิพาทขึ้นข้อพิพาทดังกล่าวย่อมเป็นข้อพิพาททางปกครอง แต่ข้อพิพาทดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองหรือไม่ ก็จะต้องพิจารณาตามมาตรา 9 แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ การจำแนกแยกแยะลักษณะการกระทำขององค์กรตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวจะทำให้ระบบของคดีปกครองของไทยเป็นระบบเพราะมิเช่นนั้นแล้ว การกระทำเดียวกันหากกระทำโดยองค์กรตามรัฐธรรมนูญอยู่ภายใต้การควบคุมตรวจสอบของศาลหนึ่ง แต่หากกระทำโดยองค์กรฝ่ายปกครองอยู่ภายใต้การควบคุมตรวจสอบอีกศาลหนึ่ง ระบบกฎหมายโดยทั่วไปแล้วไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น
ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2544
|
|
|
 |
|
|
|
|
|
|
|