| ประกาศของคณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้หรือไม่   โดย  นายพิเชฎฐ์  เพชรรัตน์ | 
                    | 
 
 
 | 
 
  | 
  
 
    | 
  
  
     
       
         
  
    | 10 พฤศจิกายน 2551 00:23 น. | 
    
  
   
  | 
   
  | 
        
      
 | 
    
 
 | 
 
 
  | 
  
  
 
 
  | 
  | 
  | 
  
 
 |   | 
 
  | 
 
 
เป็นที่ทราบกันดีว่า การยึดอำนาจของคณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งต่อไปจะเรียกว่า คปค เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ นอกจากจะมีการให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฏร คณะรัฐมนตรีและศาลรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลงพร้อมรัฐธรรมนูญแล้ว ในระหว่างวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ถึง วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญ คปค. ได้ออกประกาศคณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งต่อไปจะเรียกว่า ประกาศ คปค หลายฉบับ 
        
       จึงเกิดคำถามว่า ในทางนิติศาสตร์หรือในทางกฎหมาย ประกาศ คปค. ดังกล่าว ใช้บังคับเป็นกฎหมาย ได้หรือไม่ 
        
       ผู้เขียนจึงขอนำเสนอความเห็นของผู้เขียนในเรื่องนี้ ดังต่อไปนี้ 
        
       ในทางนิติศาสตร์และการปกครองของประเทศไทย ก่อนการยึดอำนาจของ คปค. รัฐธรรมนูญทุกฉบับของประเทศไทยรับรองและยืนยันมาโดยตลอดว่า ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุทรงใช้อำนาจทั้งทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ 
        
       สำหรับการยึดอำนาจของ คปค เมื่อวันที่ ๑๙ กันยาน ๒๕๔๙ นั้น ปรากฏตามคำแถลงการณ์ของ คปค. ฉบับที่ ๑ และคำแถลงการณ์ของหัวหน้า คปค เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๙ เวลา ๙ นาฬิกา ตอนหนึ่งว่า  คปค ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน และตอนท้ายระบุว่า  จะคืนอำนาจนั้นกลับคืนสู่ปวงชนชาวไทยโดยเร็ว  อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า คปค ใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจ โดยไม่ได้เข้ามาตามวิถีทางที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกติกาสูงสุดของประเทศ และอำนาจที่ยึดมานั้น ก็คือ อำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทยตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ดังกล่าวนั้นเอง 
       เมื่อเป็นเช่นนี้ คปค จึงออกประกาศ คปค ฉบับที่ ๓ ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นกติกาสูงสุดของประเทศสิ้นสุดลง นอกจากนี้ยังให้วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฏร และคณะรัฐมนตรี ที่มาจากตัวแทนของปวงชนชาวไทยสิ้นสุดลงไปพร้อมรัฐธรรมนูญด้วย 
        
       โดยในการยึดอำนาจของ คปค ดังกล่าว คปค มิได้ยึดอำนาจของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข หรือให้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขสิ้นสุดไปพร้อมกับรัฐธรรมนูญด้วยแต่อย่างใด ทั้ง คปค ก็ยังยืนยันว่า ประเทศไทยยังปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังเห็นได้จาก ก่อนเข้าทำหน้าที่เป็น คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฏร และรัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๙ พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้า คปค 
        
       หลังจากนั้น คปค. ได้เข้ามาทำหน้าที่องค์กรดังกล่าวเสียเอง โดยออกประกาศ คปค. ฉบับที่ ๔ และ ฉบับที่ ๑๖ ให้หัวหน้า คปค. ทำหน้าที่ คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฏร และรัฐสภา ส่วนอำนาจตุลาการ ก็มอบหมายให้ศาลที่มีอยู่ เว้นแต่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งได้สิ้นสุดไปพร้อมกับรัฐธรรมนูญแล้ว ทำหน้าที่พิจารณาและพิพากษาอรรถคดีต่อไป 
        
       เพราะฉะนั้น ในระหว่างที่ประเทศไทยยังไม่มีรัฐธรรมนูญ คปค เองก็จะต้องปกครองประเทศโดยยึดหลักประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 
        
       และในประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 
       การตรากฎหมายออกใช้บังคับนั้น หากเป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งจะตราเป็นพระราชบัญญัติโดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา และร่างพระราชบัญญัติที่ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ 
        
       สำหรับกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร ซึ่งอาจจะออกเป็นพระราชกำหนดหรือพระราชกฤษฎีกา โดยคำแนะนำหรือยินยอมของคณะรัฐมนตรี ก็ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ 
        
       นอกจากนี้ ตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการใดๆ อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีนายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรี ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ 
        
       เมื่อปรากฎว่า ในระหว่าง วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ถึง วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญ ประกาศ คปค ฉบับที่ ๔ และ ฉบับที่ ๑๖ ได้กำหนดให้หัวหน้า คปค ทำหน้าที่ คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฏร และรัฐสภา 
        
       เพราะฉะนั้น หากหัวหน้า คปค ซึ่งใช้อำนาจทำหน้าที่ในฐานะ คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฏร และรัฐสภา จะออกกฎหมายใช้บังคับเป็นการทั่วไป ให้มีฐานะเทียบเท่ากับพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา ดังกล่าว ก็ต้องปฎิบัติตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในการตรากฎหมาย กล่าวคือ ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงลงพระปรมาภิไธยเสียก่อน โดยหัวหน้า คปค ต้องลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ แล้วนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงจะใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ 
        
       ดังนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่า ในทางนิติศาสตร์หรือในทางกฎหมาย ประกาศ คปค ที่ออกมาโดยไม่ได้ปฎิบัติตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในการตรากฎหมายดังกล่าว ก็ใช้บังคับเป็นกฎหมายไม่ได้ 
        
       --------------------------------------------- 
  | 
 
 
 | 
 
 
  | 
 
 
  | 
   | 
  
 
  | 
  | 
  | 
  
   | 
  |