หน้าแรก บทความสาระ
การวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล [ตอนที่ 1]
รองศาสตราจารย์ ดร. โภคิน พลกุล
6 มกราคม 2548 21:44 น.
 
หน้าที่แล้ว
1 | 2

       
๓. องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล

                   
       ๓.๑ องค์ประกอบ

                   
        ๑) กรรมการโดยตำแหน่ง ประกอบด้วย

                   
       - ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน

                   
       - ประธานศาลปกครองสูงสุด

                   
       - หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร

                   
       - ประธานศาลอื่น (ในกรณีที่มีการจัดตั้งศาลอื่นเพิ่มขึ้น)

                   
       ๒) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย

                   
       - ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จำนวน ๑ คน

                   
       - ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด จำนวน ๑ คน

                   
       - ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ตุลาการพระธรรมนูญ
       ในศาลทหารสูงสุด จำนวน ๑ คน

                   
       - ผู้มีความรู้และประสบการณ์ด้านกฎหมายที่มิใช่ผู้พิพากษาหรือตุลาการที่ได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมของกรรมการโดยตำแหน่งและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าว จำนวน ๑ คน

                   
       คณะกรรมการฯ มีเลขานุการศาลฎีกาเป็นเลขานุการคณะกรรมการ
       มีวาระการดำรงตำแหน่ง ๔ ปี นับแต่วันประกาศรายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน
       ราชกิจจานุเบกษา (มาตรา ๘)


                   
       ๓.๒ อำนาจหน้าที่

                   
        หลักการตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้ กำหนดให้การขัดกันในเรื่องเขตอำนาจศาล
       ยุติที่ศาลชั้นต้น ดังนั้น ในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง จึงกำหนดให้การยื่นคำร้อง
       โต้แย้งเขตอำนาจศาลกระทำได้เฉพาะช่วงก่อนวันสืบพยาน (ศาลยุติธรรมหรือ
       ศาลทหาร) หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก (ศาลปกครองหรือศาลอื่น) และในวรรคสองได้กำหนดห้ามศาลสูงไม่ว่าในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา หยิบยกเรื่องเขตอำนาจศาลขึ้นพิจารณาอีก

                   
       ๓.๒.๑ พิจารณาวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นจากการขัดกันของอำนาจศาล
       ๓ ลักษณะ คือ

                   
       ๑) กรณีมีปัญหาว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลใด 7

                   
       ๒) กรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน 8

                   
       ๓) กรณีอื่นที่อำนาจหน้าที่ระหว่างศาลขัดแย้งกัน คือ กรณีที่มีการขัดแย้งกันระหว่างศาลในเรื่องวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา การยื่นคำร้องต่อศาลก่อนฟ้องคดีตามที่กฎหมายบัญญัติ การสืบพยานหลักฐานไว้ก่อนฟ้องคดี และบังคับตาม
       คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล และการปฏิบัติการตามหน้าที่ประการอื่นของศาลตามมาตรา ๑๕ 9

                   
       ๓.๒.๒ ออกข้อบังคับโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับเรื่องดังต่อไปนี้ (ม. ๑๗ วรรคสอง) 10

                   
       ๒.๑) วิธีการเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ

                   
       ๒.๒) การพิจารณาของคณะกรรมการ

                   
       ๒.๓) การวินิจฉัยของคณะกรรมการ

                   
       ๒.๔) การอื่นที่จำเป็น

                   
       ๓.๓ ลักษณะการขัดกันของอำนาจศาลและการส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัย

                   
       ๓.๓.๑ ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลอาจมีได้ ๒ ลักษณะ คือ

                   
       ลักษณะแรก ก่อนมีคำพิพากษาของศาล ซึ่งอาจมีปัญหาโต้แย้ง
       เกี่ยวกับเขตอำนาจศาลว่าคดีที่ฟ้องควรอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลใด

                   
       ลักษณะที่สอง หลังจากมีคำพิพากษาของศาลแล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นจาก
       คู่ความ หรือคู่กรณี หรือศาล ไม่หยิบยกปัญหาเรื่องเขตอำนาจไว้ตั้งแต่ก่อนมี
       คำพิพากษาของศาล และได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดในคดีที่มีการฟ้อง ๒ ศาล ขัดแย้งกันจนคู่ความหรือคู่กรณี หรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจาก
       คำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติตามได้

                   
       ๓.๓.๒ ลักษณะการขัดกันของอำนาจศาล มี ๔ กรณี คือ

                   
       ๑) การขัดแย้งในลักษณะที่ศาลเห็นว่าตนมีอำนาจ

                   
       การขัดแย้งกันในลักษณะนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการยื่นฟ้อง และศาลเห็นว่าตนมีอำนาจจึงรับฟ้อง ซึ่งแยกเป็น ๒ กรณี คือ

                   
       ก. กรณีฟ้องคดีต่อศาลใดศาลหนึ่ง (มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง)

                   
       แต่คู่ความหรือคู่กรณีฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งว่าคดีอยู่ในอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เช่น เมื่อโจทก์ฟ้องคดีและศาลยุติธรรมรับฟ้องไว้แล้ว แต่จำเลยเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง หรือต่อมาศาลที่รับฟ้องเห็นเองว่าตนไม่มีอำนาจ

                   
       ข. กรณีนำข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกันฟ้องต่อศาลตั้งแต่สองศาลขึ้นไป(มาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๑๐)

                   
       แต่คู่ความหรือคู่กรณีฝ่ายที่ถูกฟ้องในทุกศาลโต้แย้งว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น หรือคู่ความหรือคู่กรณีฝ่ายที่ฟ้องคดีไว้ต่อศาลหนึ่ง แต่ตกเป็นผู้ถูกฟ้องคดีในอีกศาลหนึ่งโต้แย้งว่าคดีที่ตนถูกฟ้องนั้นอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่นหรือต่อมาศาลที่รับฟ้องเห็นว่าตนไม่มีอำนาจ

                   
       กรณีที่กล่าวมาข้างต้น ผู้ถูกฟ้องคดีต้องยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหารหรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครอง หรือศาลอื่น ในการนี้ศาลที่รับฟ้องต้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และจัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความหรือคู่กรณีร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว สำหรับกรณีศาลที่รับฟ้องไว้แล้วเห็นเองภายหลังว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่นก่อนมีคำพิพากษาก็ต้องดำเนินการเช่นเดียวกัน (มาตรา ๑๐ วรรคสาม)

                   
       ความเห็นระหว่างศาลนั้น อาจมีได้ ๒ ลักษณะ คือ

                   
       (๑) กรณีสองศาลเห็นพ้องกัน

                   
       กรณีนี้จะไม่มีการขัดแย้งกันเรื่องเขตอำนาจศาล จึงไม่ต้องเสนอเรื่องให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัย คือ เมื่อได้รับความเห็นจากศาลที่ส่งความเห็นว่าคดี
       อยู่ในอำนาจของศาลที่ส่งความเห็นแล้ว และศาลที่รับความเห็น เห็นพ้องด้วยก็จะแจ้ง
       ความเห็นของตนไปยังศาลที่ส่งความเห็น เพื่อให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไป หรือหากศาลที่ส่งความเห็น เห็นว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจของศาลอีกศาลหนึ่ง
       และศาลที่รับความเห็น เห็นพ้องด้วยกับศาลที่ส่งความเห็น ก็จะแจ้งไปยังศาล
       ที่ส่งความเห็นเพื่อมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลที่รับความเห็น หรือสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้
       คู่ความไปฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอำนาจต่อไป (มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๑) หรือ (๒))

                   
       (๒) กรณีสองศาลเห็นแตกต่างกัน

                   
       ถ้าศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกัน ศาลที่ส่งความเห็นต้องส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการ ต่อไป เช่น ศาลยุติธรรมเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองและได้ส่งความเห็นไปให้ศาลปกครองแล้ว แต่ศาลปกครองเห็นว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม หรือศาลยุติธรรม
       เห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม และส่งความเห็นไปให้ศาลปกครอง
       แต่ศาลปกครองเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง เป็นต้น (มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และมาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง)

                   
       ๒) การขัดแย้งในลักษณะที่ศาลเห็นว่าตนไม่มีอำนาจ (มาตรา ๑๒ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓))

                   
       การขัดแย้งในลักษณะนี้ศาลที่มีการฟ้องคดีเห็นว่าตนเองไม่มีอำนาจ จึงไม่รับฟ้อง แยกได้เป็น ๒ กรณี คือ

                   
       ก. กรณีศาลที่มีการฟ้องคดีเห็นว่าตนไม่มีอำนาจ

                   
       การโต้แย้งทำได้โดยการอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป หรือ
       นำคดีไปฟ้องยังศาลที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจ กรณีนี้จะไม่มีการขัดแย้งกันเรื่องเขตอำนาจศาล จึงไม่มีกรณีที่จะมาสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ

                   
       ข. กรณีทั้งสองศาลที่มีการฟ้องคดีเห็นว่าตนไม่มีอำนาจ (มาตรา ๑๒ วรรคสอง)

                   
       การขัดแย้งกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในกรณีนี้เกิดขึ้นเพราะ เมื่อมี
       การฟ้องคดีต่อศาลหนึ่งแล้ว ศาลนั้นไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าตนไม่มีอำนาจ เมื่อ
       ผู้ฟ้องคดีนำคดีไปฟ้องอีกศาลหนึ่ง ศาลดังกล่าวก็ไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าตนไม่มีอำนาจรับฟ้องเช่นกัน ศาลที่มีการฟ้องคดีครั้งหลังต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยต่อไป โดยที่คู่ความหรือคู่กรณีไม่ต้องโต้แย้งดังเช่นกรณีที่ศาล
       รับฟ้องเพราะเป็นหน้าที่ของศาลที่จะดำเนินการ เช่น มีการฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรม แต่ศาลยุติธรรมไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ต่อมาเมื่อมีการฟ้องคดีต่อศาลปกครองแล้ว ศาลปกครองก็เห็นว่า คดีดังกล่าวไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองเช่นกัน กรณีนี้ ศาลปกครองต้องส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัย โดยคำวินิจฉัยของคณะกรรมการจะเป็นที่สุด ศาลที่อยู่ในลำดับสูงขึ้นไปของศาลนั้น จะยกเรื่องเขตอำนาจศาลขึ้นพิจารณาอีกไม่ได้

                   
       ๓) กรณีปัญหาคำพิพากษาขัดแย้งกัน

                   
       กรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดของศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริง
       เป็นเรื่องเดียวกัน (มาตรา ๑๔) คู่ความหรือคู่กรณี หรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบ
       โดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลขัดแย้งกัน สามารถยื่นคำร้องต่อ
       คณะกรรมการได้โดยตรงภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด โดยคณะกรรมการมีอำนาจกำหนดแนวทางการปฏิบัติตามคำพิพากษา
       ที่ขัดแย้งนั้น เพื่อให้คู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติให้เป็นผลต่อไปได้ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการดังกล่าวถือเป็นที่สุด

                   
       ๔) กรณีอื่น ๆ

                   
        การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนอกเหนือจาก ๓ กรณีแรกที่กล่าวมา ได้แก่กรณีต่อไปนี้ คือ วิธีการชั่วคราว
       ก่อนพิพากษา การยื่นคำร้องต่อศาลก่อนการฟ้องคดี การสืบพยานหลักฐานไว้
       ก่อนฟ้องคดี การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล และการปฏิบัติการ
       ตามอำนาจหน้าที่ประการอื่นของศาล โดยนำหลักเกณฑ์และวิธีการตามมาตรา ๑๐ ถึงมาตรา ๑๔ มาใช้โดยอนุโลม

                   
       ๓.๓.๓ การเสนอปัญหาและการวินิจฉัยของคณะกรรมการ

                   
       (ก) การยกปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาล

                   
       คู่ความหรือคู่กรณีฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีสามารถหยิบยกขึ้น
       ดังได้กล่าวมาแล้ว โดยต้องยื่นคำร้องเสียตั้งแต่เริ่มคดีเพื่อมิให้คดีล่าช้า แต่เนื่องจากวิธีพิจารณาของแต่ละศาลแตกต่างกัน โดยในศาลยุติธรรมและศาลทหารจะต้องยื่น
       คำร้องก่อนวันสืบพยาน ส่วนในศาลปกครองหรือศาลอื่นต้องยื่นก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก สำหรับกรณีที่ศาลเห็นเองนั้น ศาลอาจหยิบยกเขตอำนาจศาลขึ้นได้
       ตลอดเวลาก่อนมีคำพิพากษา ทั้งนี้ เพื่อมิให้มีการพิพากษาคดีโดยศาลรู้อยู่ว่าคดี
       ไม่อยู่ในเขตอำนาจของตน

                   
       (ข) เอกสารและวิธีการเสนอเรื่อง

                   
       (๑) กรณีที่ศาลเป็นผู้ส่ง (มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๕)
       ศาลต้องจัดส่งคำร้อง คำชี้แจงของคู่ความหรือคู่กรณีฝ่ายที่ถูกฟ้อง ความเห็นของศาล
       ที่เกี่ยวข้อง และเอกสารอื่นใดในสำนวนความที่จำเป็นต่อการพิจารณาวินิจฉัย
       ของคณะกรรมการไปยังเลขานุการคณะกรรมการ โดยผ่านหน่วยธุรการกลาง
       ของศาลนั้น

                   
       (๒) กรณีที่คู่ความหรือคู่กรณีหรือผู้ซึ่งได้รับผลกระทบจาก
       คำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดของศาลเป็นผู้ร้อง (มาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕) ต้องยื่นคำร้องต่อเลขานุการคณะกรรมการพร้อมสำเนาคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ขัดแย้งกันและสำเนาเอกสารในสำนวนความที่จำเป็น

                   
       (ค) รูปแบบคำร้อง

                   
       คำร้องต้องทำเป็นหนังสือ ใช้ถ้อยคำสุภาพ และอย่างน้อย
       ต้องมีชื่อและที่อยู่ของผู้ร้อง ชื่อและที่อยู่ของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลผู้มีส่วน
       ได้เสีย เหตุแห่งการยื่นคำร้อง คำขอพร้อมเหตุผลสนับสนุน และลายมือชื่อผู้ร้อง

                   
       การที่คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องหรือคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโต้แย้งเขตอำนาจศาลไว้ในคำให้การ จะไม่ถือเป็นการยื่นคำร้องตามมาตรา ๑๐ หรือ
       ตามมาตรา ๑๒

                   
       (ง) การพิจารณาของคณะกรรมการ

                   
       คณะกรรมการใช้วิธีพิจารณาวินิจฉัยในรูปแบบของ
       คณะกรรมการ จึงไม่มีการสืบพยานหรือดำเนินกระบวนพิจารณาในห้องพิจารณาคดี การรวบรวมความเห็น คำร้อง คำชี้แจงและเอกสารทั้งปวงที่จำเป็นต่อการพิจารณาวินิจฉัยของคณะกรรมการ จะกระทำโดยเลขานุการแล้วทำบันทึกสรุปข้อเท็จจริง
       และข้อกฎหมายพร้อมเสนอความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพิจารณาวินิจฉัยต่อ
       คณะกรรมการ (ข้อบังคับข้อ ๒๕) เมื่อมีการเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาโดยเลขานุการคณะกรรมการจะมีมติก่อนว่าจะรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่ ถ้ารับเรื่องคณะกรรมการต้องวินิจฉัยชี้ขาดให้เสร็จสิ้นภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง (มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓)) คณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด การวินิจฉัยชี้ขาดในที่ประชุมถือเสียงข้างมาก โดยคณะกรรมการจะพิจารณาจากความเห็น คำร้อง คำชี้แจงและเอกสารที่คู่ความหรือคู่กรณีหรือศาล
       ที่เกี่ยวข้องเสนอผ่านเลขานุการคณะกรรมการ คณะกรรมการจะมีคำสั่งยกคำร้อง (กระทำโดยมีเจตนาที่จะประวิงคดีให้ล่าช้า หรือการร้องขอให้วินิจฉัยซ้ำในเรื่องที่ได้วินิจฉัยไว้แล้ว เป็นต้น) หรือมีคำสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ (ผู้ร้องขอถอนคำร้อง หรือการส่งเรื่องให้คณะกรรมการมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด เป็นต้น) หรือมีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่าคดีที่ฟ้องอยู่ในอำนาจของศาลใด และเมื่อมีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการแล้ว ให้ศาลเดิมพิจารณาคดีต่อไปหรือสั่งโอนคดีหรือจำหน่ายคดี ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการต่อไป ซึ่ง
       คำวินิจฉัยของคณะกรรมการจะมีผลเมื่อศาลได้อ่านให้ผู้ร้องและบุคคลที่เกี่ยวข้องทราบแล้ว คำวินิจฉัยดังกล่าว นอกจากจะมีผลผูกพันในคดีนั้นแล้ว ยังมีผลผูกพัน
       ศาลในลำดับสูงขึ้นไปของศาลนั้นด้วย คือ จะยกเรื่องเขตอำนาจศาลขึ้นพิจารณาอีกไม่ได้ ดังได้กล่าวมาแล้ว
       


       
       


       
เชิงอรรถ


       
                   
       7. มาตรา ๑๐ “ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหารหรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่น ในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว ในกรณีเช่นว่านี้ให้ศาลที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้

                   
       (๑) ถ้าศาลที่ส่งความเห็นมีความเห็นว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจของศาลตน และศาลที่รับความเห็น
       มีความเห็นพ้องกับศาลดังกล่าว ให้แจ้งความเห็นไปยังศาลที่ส่งความเห็นเพื่อมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดี
       ในศาลเดิมนั้นต่อไป

                   
       (๒) ถ้าศาลที่ส่งความเห็นมีความเห็นว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งที่คู่ความอ้างและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นพ้องกับศาลดังกล่าว ให้แจ้งความเห็นไปยังศาลที่ส่งความเห็นเพื่อมีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลนั้น หรือสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความไปฟ้องศาลที่มีเขตอำนาจ ทั้งนี้ ตามที่ศาลเห็นสมควรโดยคำนึงถึงประโยชน์
       แห่งความยุติธรรม

                   
       (๓) ถ้าศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
       ให้ศาลที่ส่งความเห็นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดให้เสร็จสิ้นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่
       ได้รับเรื่อง แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นให้คณะกรรมการลงมติให้ขยายเวลาออกไปได้ไม่เกินสามสิบวันโดยให้บันทึกเหตุ
       แห่งความจำเป็นนั้นไว้ด้วย

                   
       คำสั่งของศาลตามวรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการที่เกี่ยวกับเขตอำนาจศาลตามวรรคหนึ่ง (๓) ให้เป็นที่สุด และมิให้ศาลที่อยู่ในลำดับสูงขึ้นไปของศาลตามวรรคหนึ่งยกเรื่องเขตอำนาจศาล
       ขึ้นพิจารณาอีก

                   
       ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเอง ก่อนมีคำพิพากษาด้วยอนุโลม”

                   
       มาตรา ๑๒ “ในกรณีที่มีการนำคดีซึ่งมีข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกันฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจแตกต่างกันตั้งแต่สองศาลขึ้นไป ถ้าคู่ความหรือศาลเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลใดศาลหนึ่งที่รับฟ้องให้นำความในมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

                   
       ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด แต่ศาลนั้นไม่รับฟ้องเพราะเหตุว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของ
       อีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้วหากศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัย โดยให้นำความในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และมาตรา ๑๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม”
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       8. มาตรา ๑๔ “ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้ง
       ในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความ หรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่ง
       ดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของ
       ศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด

                   
       ให้คณะกรรมการพิจารณาคำร้องตามวรรคหนึ่ง โดยคำนึงถึงประโยชน์แห่งความยุติธรรมและความเป็นไปได้ในการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล แล้วให้กำหนดแนวทางการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าว คำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด

                   
       ให้นำกำหนดเวลาตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) มาใช้บังคับกับกรณีนี้โดยอนุโลม”
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       9. มาตรา ๑๕ “ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๐ ถึงมาตรา ๑๔ ไปใช้กับวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา การยื่น
       คำร้องต่อศาลก่อนการฟ้องคดีตามที่กฎหมายบัญญัติ การสืบพยานหลักฐานไว้ก่อนฟ้องคดี การบังคับคดีตาม
       คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล และการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ประการอื่นของศาลโดยอนุโลม”
       
[กลับไปที่บทความ]


       
                   
       10. มาตรา ๑๗ วรรคสอง “ให้คณะกรรมการมีอำนาจออกข้อบังคับเกี่ยวกับวิธีการเสนอเรื่องต่อ
       คณะกรรมการ การพิจารณาและวินิจฉัยของคณะกรรมการและการอื่นที่จำเป็นเท่าที่ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัตินี้
       โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา”
       
[กลับไปที่บทความ]


       


       


       



       
       ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2545

       



หน้าที่แล้ว
1 | 2

 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสมาคมศาลปกครองสูงสุดระหว่างประเทศ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544