สำหรับวันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม ถึงวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน 2556
เมื่อนายกรัฐมนตรีวิพากษ์สถานการณ์ของประเทศ
ช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมอยู่ต่างประเทศ ก็เลยไม่ค่อยได้รับทราบข่าวสารเกี่ยวกับเมืองไทยเท่าไรนัก เท่าที่อ่านพบจากอินเตอร์เน็ต ก็เห็นมีแต่เรื่องของความพยายามที่จะสร้างข่าวลือในเชิงลบให้กับรัฐบาลหรือกับนายกรัฐมนตรี ข่าวบางข่าวมาจากความพยายามที่จะทำให้การพูดเล่นกลายเป็นเรื่องจริง ซึ่งในบางครั้งผมอ่านดูแล้วก็สงสัยใน ความเชื่อ ของคนบางคนว่า ไปเชื่อข่าวประหลาดๆ เหล่านั้นได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น ข่าวกระทรวงพาณิชย์สั่งลบเมนูปูผัดผงกะหรี่ออกจากสารบบอาหารไทย เป็นต้น ข่าวแบบนี้ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ก็ยังมีคนเชื่อแล้วนำไปขยายผลต่อ ที่น่าแปลกใจไปว่านั้นก็คือ มีเพื่อนร่วมวิชาชีพบางคนกับผมก็เอากับเขาด้วย วิพากษ์วิจารณ์ขยายผลต่อไปอีกด้วยความมีอคติและหูเบา แล้วอย่างนี้จะไปสอนหนังสือให้คนเป็นคนดีมีความเป็นกลางได้อย่างไรครับ สังคมทุกวันนี้ก็อยู่กันอย่างลำบากแล้ว แทนที่ครูบาอาจารย์จะเป็นตัวอย่างอันดี สั่งสอนให้เด็กรู้สึกคิด ไตร่ตรองมีเหตุผล กลับลากจูงเด็กเข้ารกเข้าพงไปกับตนเองด้วย ถ้าไม่มีอะไรจะทำแล้วว่างมาก ก็น่าจะเอาเวลาว่างไปสร้างผลงานวิชาการ ปรับตำแหน่งทางวิชาการเพื่อให้ตนเองและครอบครัวภาคภูมิใจ จะเหมาะสมกว่ามานั่งขยายผลด่าคนที่ตัวเองไม่ชอบนะครับ !!!
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมสนใจข่าวที่นายกรัฐมนตรีไปแสดงปาฐกถาพิเศษในการประชุมประชาคมประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2556 ที่ประเทศมองโกเลีย ปาฐกถาดังกล่าวสรุปความได้ว่า การรัฐประหารที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเพื่อปี พ.ศ. 2549 เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำให้ประเทศไทยต้องถอยหลังและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติ หลักนิติธรรมและกระบวนการทางกฎหมายถูกทำลาย โครงการและแผนงานที่อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ริเริ่มตามที่ประชาชนต้องการถูกยกเลิก ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพถูกปล้นไป รวมไปถึงเรื่องของการสลายการชุมนุมในเดือน พฤษภาคม 2553 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นภายใต้บรรยากาศของการรัฐประหารไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ทั้งในส่วนของวุฒิสภาและองค์กรอิสระที่ใช้อำนาจเกินขอบเขต
ปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีข้างต้นก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ มีคำถามตามมามากมายว่า ทำไมนายกรัฐมนตรีซึ่งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยแสดงท่าทีอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการเมืองไทยและปัญหาที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหาร 19 นยายน 2549 รวมทั้งปัญหาที่เกิดจากการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ถึงได้ลุกขึ้นมาพูดเรื่องเหล่านี้ แล้วทำไมนายกรัฐมนตรีถึงได้เลือกที่จะพูดเรื่องเหล่านี้นอกประเทศแทนที่จะพูดในประเทศไทย
หลังจากการแสดงปาฐกถาของนายกรัฐมนตรี พรรคฝ่ายค้านอาชีพอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไป รีบออกมาแถลงข่าวว่าปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีบิดเบือนสถานการณ์การเมือง ใส่ร้ายประเทศ อีกไม่กี่วันต่อมา พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ออกแถลงการณ์เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อ ตอบโต้ ปาฐกถาของนายกรัฐมนตรี โดยในตอนหนึ่งของแถลงการณ์พรรคประชาธิปัตย์ได้ เลือกใช้ คำว่า ฝ่ายทหารได้เข้าแทรกแซง แทนที่จะใช้คำว่า รัฐประหาร
ลองอ่านๆ ดูคำปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีฉบับเต็ม และคำแถลงการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ดูอย่างละเอียดดีกว่าครับ
การแสดงปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีมีเรื่องที่ทำให้ต้องคิดตามหลายเรื่องด้วยกัน บางเรื่องที่นายกรัฐมนตรีพูดนั้น ก็เป็นสิ่งที่ทั่วโลกรับรู้อยู่แล้ว คงจำได้ว่า หลังจากที่มีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และมีการตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นมาบริหารประเทศ ถ้าจำไม่ผิดรัฐบาลนั้นก็ได้พยายามชี้แจงไปทั่วโลกถึงสาเหตุและความจำเป็นที่ต้องมีการแก้ปัญหาของประเทศด้วยการทำรัฐประหาร ผลก็เป็นอย่างที่เราทราบกันก็คือ ไม่มีประเทศไหนยอมรับการแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย คงจำได้ว่ามีประเทศบางประเทศถึงกับตัดการให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในด้านต่างๆ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร เพราะฉะนั้น การรัฐประหารจึงเป็นสิ่งที่ประชาคมโลกต่อต้าน เมื่อนายกรัฐมนตรีออกไปพูดเรื่องการรัฐประหารในประเทศไทย จึงเป็นการพูดในสิ่งที่ทุกคนทราบอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2549
คำถามจึงอยู่ที่ว่า ทำไมนายกรัฐมนตรีจึงต้องนำเอาเรื่องที่เกิดขึ้นมาหลายปีและเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แล้วไปพูดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง หรือว่านายกรัฐมนตรีหวังผลอะไรบางอย่างจากการพูดของตัวเอง
คำตอบที่ถูกต้องคงต้องมาจากตัวนายกรัฐมนตรีและบรรดา กุนซือ ที่เตรียมปาฐกถาคราวนี้ให้กับนายกรัฐมนตรีครับ
สำหรับตัวผมเองนั้น ทั้งปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีและคำแถลงการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่ยังมีอยู่ในสังคมไทยและต้องการให้ประชาคมโลกเข้ามารับรู้อย่างต่อเนื่อง ในปาฐกาถาของนายกรัฐมนตรีนั้น การที่นายกรัฐมนตรีเลือกที่จะพูดวิพากษ์วิจารณ์ส่วนที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในอดีตและปัจจุบันก็เพื่อที่จะตอกย้ำให้เห็นว่า ความขัดแย้งทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปัจจุบันนั้น มีที่มาจากการแก้ปัญหาที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยดังเช่นที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกทำกัน การที่ประเทศไทยแก้ปัญหาการเมืองไม่ถูกต้องด้วยการทำรัฐประหารและวางกลไกที่ไม่สมบูรณ์เอาไว้ในรัฐธรรมนูญจึงทำให้ปัญหาต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นจากการรัฐประหารยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาของการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550 ส่วนในแถลงการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในอดีตและปัจจุบันนั้นมีที่มาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และการดำเนินการทั้งหลายที่เกิดขึ้นจาก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร หรือที่เกี่ยวเนื่องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงอย่างเดียวครับ
ความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายคงไม่มีทางแก้ไขได้ ตราบใดที่สองฝ่ายยังมีมุมมองที่ไม่ตรงกันเช่นนี้
เมื่อตอนต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส มีข่าวปรากฎออกมาทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร รวมทั้งป้ายประกาศที่ติดอยู่ตามสถานที่ต่างๆ แสดงความไม่พอใจในผลการทำงานของนาย François Hollande ประธานาธิบดีที่อยู่ในตำแหน่งมาครบ 1 ปี จากวาระการดำรงตำแหน่งทั้งหมด 5 ปี เอกสารที่เผยแพร่ออกมานั้น ส่วนหนึ่งได้นำเอานโยบายที่นาย Hollande ใช้หาเสียงมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง 1 ปี หลังจากเข้าดำรงตำแหน่ง เพื่อให้ประชาชนได้เห็นและได้ทราบว่า การปฏิบัติหน้าที่ของนาย Hollande มีปัญหาในหลายๆ เรื่องเมื่อเทียบกับการปฏิบัติหน้าที่ของอดีตประธานาธิบดี Nicolas Sarkozy มีเสียงเรียกร้องให้ประธานาธิบดี Hollande ลาออกจากตำแหน่งก่อนที่จะนำพาประเทศฝรั่งเศสให้ตกต่ำลงไปกว่านี้ แต่ก็มีบางเสียงที่พยายามบอกให้คนฝรั่งเศสอดทนไปอีก 4 ปี เมื่อวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี Hollande สิ้นสุดลง ก็ไม่ต้องเลือกเข้ามาอีก แต่เท่าที่ผมอ่านเจอและได้พูดคุยกับเพื่อนชาวฝรั่งเศส ไม่เห็นมีใครเสนอความเห็นว่าควรให้ทหาร เข้ามาแทรกแซง ด้วยการยึดอำนาจประธานาธิบดี แล้วก็ไม่มีใครพยายามลากเรื่องไปให้เข้าเกณฑ์ที่จะนำไปฟ้องต่อศาลอาญาชั้นสูง (La Haute Cour) ของฝรั่งเศสตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสฉบับปี ค.ศ. 1958 เพื่อถอดถอนประธานาธิบดีออกจากตำแหน่งเลยครับ ทุกอย่างก็ว่ากันไปตามระบบนะครับ มาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น เว้นแต่ว่าผิดชัดแจ้งและตรงตามประเด็นที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้ ถึงค่อยไปใช้กระบวนการถอดถอนที่รัฐธรรมนูญกำหนด นี่ก็คือตัวอย่างของการ ยอมรับ และ แก้ปัญหา ด้วยวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย
|