|
|
|
|
|
วันครอบครัว
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน 2548 ที่ผ่านมาเป็นวัน ครอบครัว ครับ ผมจำไม่ได้แล้วว่าเราเริ่มถือวันที่ 14 เมษายนเป็นวันครอบครัวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะสมัยผมเด็กๆนั้นก็ยังไม่มีวันครอบครัวครับ
ผมดูข่าวจากโทรทัศน์เมื่อคืนวันครอบครัวแล้วก็คิดอะไรได้หลายๆอย่าง ข่าวที่นำเสนอมีหลายรูปแบบ มีการสัมภาษณ์ประชาชนบางคนที่พา ครอบครัว คือภรรยาและลูกไปทานข้าวในวันครอบครัว บางคนก็พาพ่อแม่ไปทานข้าวนอกบ้าน สรุปสำหรับข่าวที่ผมได้ดูผ่านโทรทัศน์ในคืนวันครอบครัวก็คือมีประชาชนจำนวนหนึ่งให้ความสำคัญกับวันครอบครัวด้วยการพาคนในครอบครัวออกไปทานข้าวนอกบ้านครับ
ที่ว่าผมได้คิดอะไรหลายๆอย่างจากข่าวโทรทัศน์ที่ดูในวันครอบครัวก็คือ ผมเริ่มคิดถึง สภาพ ความเป็นครอบครัวของคนไทยเราครับ เพราะผม ยังคง เข้าใจอยู่ว่าครอบครัวไทยเรานั้นต่างจากครอบครัวของชาติอื่นๆอยู่ค่อนข้างมาก เพราะโดยทั่วไปแล้ว ครอบครัวไทยมักจะไม่ใช่ ครอบครัวเดี่ยว แต่จะเป็น ครอบครัวขยาย เสียเป็นส่วนมาก ตัวอย่างใกล้ที่สุดก็คือตัวผมเองที่ปัจจุบันก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านเดิมของคุณตาคุณยายที่เมื่อคุณแม่ผมมีครอบครัวก็อยู่ในบริเวณเดียวกับบ้านคุณตาคุณยาย และเมื่อผมมีครอบครัวก็ยังคงอยู่ในบริเวณเดียวกันนั้นเช่นกันครับ รวมความแล้วครอบครัวผมก็อยู่ร่วมกันหลายรุ่นและมีลักษณะเป็นครอบครัวขยาย ผมรู้จักเพื่อนๆหลายคนที่ยังคงอยู่เป็นครอบครัวในลักษณะที่ผมเป็นอยู่ครับ แต่อย่างไรก็ตาม ผมเข้าใจว่าสภาพของความเป็นครอบครัวไทยแบบที่ผมเป็นอยู่จะหาได้น้อยลงทุกทีแล้ว เพราะในปัจจุบันผู้คนจะแยกครอบครัวออกไปอยู่ต่างหาก เราจะเห็นได้ว่ามีหมู่บ้านจัดสรรหรือคอนโดมีเนียมเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก หมู่บ้านและคอนโดฯเหล่านั้นคงไม่ใช่สำหรับ ครอบครัวขยาย เป็นแน่ แต่หากถูกสร้างไว้สำหรับ ครอบครัวเดี่ยว เสียมากกว่าครับ ในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เราจึงเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากในระบบ ครอบครัวไทย แบบดั้งเดิม ด้วยเหตุนี้เองเราจึงต้องมี วันครอบครัว เกิดขึ้นเพราะจะได้เป็นวันที่ ครอบครัวเดี่ยว ทั้งหลายจะได้กลับมาเจอหน้ากันและสังสรรกับครอบครัวพื้นฐานของตนเองไงครับ
หากจะถามว่า ครอบครัวขยาย กับ ครอบครัวเดี่ยว อย่างไหนดีกว่ากันก็คงจะตอบได้ยากพอสมควรครับ ครอบครัวขยายจะมีความอบอุ่นและมีชีวิตชีวามากกว่าครอบครัวเดี่ยว แต่ความเป็น ส่วนตัว ก็จะลดน้อยลงไปครับ ส่วนครอบครัวเดี่ยวนั้นดีกว่าในแง่ เสรีภาพ หรือความเป็น ส่วนตัว แต่ก็มีข้อบกพร่องหลายประการ โดยผมมองว่าข้อบกพร่องที่สำคัญที่สุดก็คือ สิ่งที่เรียกกันว่า ความโดดเดี่ยว เพราะครอบครัวขยายนั้นยังไงๆก็ยังมีลุง ป้า น้า อา ฯลฯ อยู่ในบริเวณเดียวกันที่เราอาจฝากบ้านหรือหยิบยืม หรือขอความช่วยเหลืออื่นๆได้ตลอดเวลาครับ แต่ครอบครัวเดี่ยวนั้นต้องเผชิญหน้ากับปัญหาทุกปัญหาโดยลำพังทั้งหมด อยู่กันเอง ดูแลกันเอง และเมื่อคนหนึ่งจากไป คนที่เหลืออยู่ก็ต้องอยู่คนเดียวครับ !!!!
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป็นห่วงก็คงเป็นเรื่อง การอยู่คนเดียว นี้แหละครับ เมื่อวันจันทร์ที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา ผมได้ไปร่วมงาน วันเกิด ครบรอบ 7 ปีของศาลรัฐธรรมนูญและได้มีโอกาสพูดคุยกับรุ่นน้องคนหนึ่งที่เล่าให้ผมฟังว่า ได้ยินข่าวองค์การอนามัยโลกประกาศว่า ในปี ค.ศ. 2020 จำนวนคนป่วยด้วยโรคซึมเศร้า จะมีมากจนถึงขนาดเป็นโรคที่มีผู้ป่วยมากเป็นอันดับสองของโลกเลยทีเดียวครับ คงไม่ต้องบอกนะครับว่า โรคซึมเศร้านั้นอาจเกิดขึ้นได้จากหลายๆสาเหตุด้วยกัน รวมทั้งสาเหตุของการที่คนใกล้ชิดจากไปทำให้ต้องอยู่คนเดียวด้วยครับ ! ทางแก้โรคซึมเศร้าก็มีอยู่มาก แต่ที่สำคัญที่สุดทางหนึ่งก็คือ การ ยอมรับ การอยู่คนเดียวครับ !
จะเกิดอะไรขึ้นใน ครอบครัวเดี่ยว ที่มีคนจำนวนน้อยและจากไปเหลือคนในครอบครัวเพียงคนเดียวครับ คำตอบสำหรับคนต่างประเทศกับคำตอบสำหรับคนไทยคงต่างกันมาก เราลองไปดูสภาพสังคมของต่างประเทศดูก่อนซิครับ ผมคงต้องยกตัวอย่างฝรั่งเศสเพราะเป็นประเทศที่ผมคุ้นเคยที่สุด หากถามผมว่าถ้าต้องอยู่ คนเดียว ที่ฝรั่งเศสในปั้นปลายของชีวิตจะทำได้ไหม ผมก็คงตอบได้อย่างไม่ลังเลใจเลยว่า สบายมาก ครับ เพราะการอยู่ คนเดียวที่นั่นมีสิ่งต่างๆให้เราทำมากมายจนแทบลืมไปว่าอยู่คนเดียว เราสามารถใช้เวลาในวันต่างๆได้อย่างเป็นประโยชน์กับชีวิตโดยไม่ต้องเข้าไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า เพราะไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ห้องสมุดระดับชาติและระดับท้องถิ่น รวมไปถึงการจัดนิทรรศการต่างๆที่มีอยู่ตลอดเวลาทำให้เราสามารถใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ด้วยครับ ส่วนคนไทยนั้นเรายังมองไม่ค่อยเห็นทางนี้เท่าไรนัก คนแก่ออกจากบ้านคนเดียวก็ลำบากเพราะบริการขนส่งมวลชนทั้งหมดทุกประเภทของเราไม่ได้ออกแบบมาให้ คนชรา และ คนพิการ ใช้ครับ ลองนึกดูง่ายๆว่ามีคนแก่หรือคนพิการคนหนึ่งที่อยู่ตัวคนเดียว นั่งรถเข็นและอยากจะไปไหนมาไหนบ้างจะทำอย่างไรครับ คำตอบก็คือไม่มีทางทำอะไรได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นรถแท็กซี่หรือรถเมล์ก็ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ รถเข็นครับ แถมเข็นไปบนทางเท้าหรือจะข้ามถนนก็ยังอันตรายอีกด้วย โดยเฉพาะ ฝาท่อเหล็ก ที่มีร่องขนาดพอดีกับล้อจักรยานหรือล้อรถเข็นเลยครับ รวมความแล้วก็ยังคงเป็นเรื่องลำบากของคนชราที่อยู่คนเดียวที่จะหาอะไรทำที่จะไม่ให้ตนเองต้องอยู่คนเดียว คิดมากและกลายเป็นโรคซึมเศร้าในที่สุดครับ
ที่เขียนมายืดยาวนี้ก็คงไม่ต้องการสื่ออะไรมาก และประเด็นที่เขียนก็ไม่ได้เป็นประเด็นด้านกฎหมายมหาชน แต่เป็นประเด็นด้านสังคมที่เขียนขึ้นในวันหยุดสบายๆ 5 วันในช่วงสงกรานต์ครับ วันครอบครัวคงไม่ได้หมายความว่าเป็นวันที่ เรา ในฐานะคนหนึ่งในครอบครัวจะ ทำดี กับคนในครอบครัวเราเท่านั้น แต่วันครอบครัวควรจะเป็นวันที่ รัฐ น่าจะให้ความสำคัญมากกว่าที่เป็นอยู่ด้วย เพราะทุกวันนี้ ถามจริงๆเถอะครับว่าในกรุงเทพฯ เราสามารถพาครอบครัวไปไหนได้บ้างนอกจากศูนย์การค้าที่มีอยู่มากมายเหลือเกินครับ ! เราสามารถใช้เวลาว่างร่วมกันได้ที่ไหนบ้างครับ สวนสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ การแสดง นิทรรศการต่างๆ น่าจะเป็นสิ่งที่รัฐจัดเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์และได้รับความรู้จากสิ่งต่างๆเหล่านั้น ก็คงต้องฝากประเด็นนี้ไว้กับ ผู้นำ ระดับชาติและระดับท้องถิ่นของเราด้วยว่า สังคมของเรายังขาดสิ่งเหล่านี้อยู่อีกมาก สิ่งที่เราสามารถทำ สามารถใช้ประโยชน์ สามารถใช้เวลาในแต่ละวันให้เกิดประโยชน์และได้รับความรู้ หากเรามีสิ่งเหล่านี้ ความเหงาส่วนบุคคลก็คงจะลดน้อยลงไปเพราะเรายังมี ทางเลือก อื่นที่จะทำในวันว่างหรือวันหยุดมากกว่าที่จะไปเดิน หาเรื่องเสียสตางค์ ในศูนย์การค้าอย่างที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน หรือเก็บตัวหมกมุ่นครุ่นคิดค้นหาตัวเองจนกลายเป็นโรคซึมเศร้าครับ
สำหรับบทบรรณาธิการสองครั้งก่อนหน้านี้ที่เกี่ยวกับการก่อสร้างอภิมหาศูนย์การค้ากลางกรุงที่ไปเบียด วัง เบียด วัด นั้นได้รับความสนใจจากผู้คนในวงกว้าง ในวันนี้เราได้รับข้อมูลจากที่ต่างๆรายงานเข้ามาให้ทราบหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามแบบที่ ขออนุญาต ค่าเช่าที่ดินที่จ่ายให้น้อยเหลือเกิน (ว่ากันว่าตารางวาละไม่ถึงร้อยบาทด้วยครับ!) สัญญาเช่าระยะเวลานานมากที่คำนวณอย่างไร เจ้าของที่ดิน ก็เสียเปรียบมากๆอยู่ดีครับ ! คงต้องขอให้ผู้ที่สนใจเรื่องดังกล่าวช่วยกันเดินหน้าหาความจริงกันต่อไปนะครับ อย่างน้อยก็ถือว่าเราต้องช่วยกันปลุกจิตสำนึกของสังคมให้รับรู้ไว้บ้างว่า อย่านึกถึงแต่ประโยชน์ของตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียว กรุณานึกถึงสังคมด้วยเพราะทุกวันนี้ลูกหลานของเราก็ตกเป็น ทาส ของศูนย์กลางค้าและสิ่งของทั้งหลายที่ขายอยู่ในศูนย์การค้ากันจะแย่อยู่แล้วครับ ผมอยากฝากไว้นิดหนึ่งในประเด็นนี้ว่า บรรดาหนังสือพิมพ์ที่นำเอาข้อเขียนของผมและของกองบรรณาธิการไปขยายต่อ น่าจะ ลองสัมภาษณ์ความเห็นของ คน และ พระ ในละแวกนั้นดูบ้างนะครับว่ามีความรู้สึกอย่างไรกับการก่อสร้างศูนย์การค้าบริเวณนั้น จะได้รู้กันไปเสียทีว่า มีใครบ้างที่ เห็น หรือ ได้ ประโยชน์จากศูนย์การค้าแห่งนั้นครับ ! ! !
ในสัปดาห์นี้ เรามีข้อเขียน 2 ข้อเขียนที่เขียนโดยขาประจำของเราครับ ข้อเขียนแรกเป็นบทความเรื่อง การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพโดยให้ประชาชนมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่เขียนโดยคุณบุญเสริม นาคสาร แห่งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญครับ ส่วนข้อเขียนที่สองที่เรานำเสนอไว้ใน "นานาสาระของนักเรียนไทยในต่างแดน" เป็นข้อเขียนของ อ.ปิยะบุตร แสงกนกกุล จากสำนักท่าพระจันทร์ผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ ณ มหาวิทยาลัย Nantes ประเทศฝรั่งเศส ที่เขียนเรื่อง เหตุการณ์สำคัญในกฎหมายมหาชนฝรั่งเศสประจำมกราคม 2005 ส่งมาให้เราครับ ผมต้องขอขอบคุณทั้งสองท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2548 ครับ
ศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|