มาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง
ช่วงเวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในประเทศไทยในหมู่ประชาชนแทบจะเรียกได้ว่าทุกสาขาอาชีพก็คือข่าวที่เกี่ยวข้องกับ นาฬิกา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงที่ มีที่มาไม่ชัดเจน และหน่วยงานตรวจสอบที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบก็ ไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างชัดเจน ก็เลยกลายเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อวันพุธที่ 31 มกราคม 2561 ที่ผ่านมามีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและเป็นสิ่งที่น่าสนใจติดตาม นั่นคือการมีผลใช้บังคับของมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวนี้ใช้บังคับกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมาชิกวุฒิสภาและคณะรัฐมนตรีด้วย
มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 นี้ มีที่มาจากมาตรา 219 และมาตรา 276 วรรคแรก ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่บัญญัติไว้ว่า
มาตรา 219 ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันกําหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้นใช้บังคับแก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ ทั้งนี้ มาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าวต้องครอบคลุมถึงการรักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ และต้องระบุให้ชัดแจ้งด้วยว่าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมใดมีลักษณะร้ายแรง
ในการจัดทํามาตรฐานทางจริยธรรมตามวรรคหนึ่ง ให้รับฟังความคิดเห็นของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย และเมื่อประกาศใช้บังคับแล้วให้ใช้บังคับแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีด้วย แต่ไม่ห้ามสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะรัฐมนตรีที่จะกําหนดจริยธรรมเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับมาตรฐานทางจริยธรรมตามวรรคหนึ่ง และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 276 ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระดําเนินการให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม ตามมาตรา ๒๑๙ ภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ หากดําเนินการไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระพ้นจากตําแหน่ง………………………………
ภายหลังจากที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีผลใช้บังคับ ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญต่างก็ได้ร่วมกันจัดทำมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้น ผ่านกระบวนการต่างๆรวมไปถึงรับฟังความคิดเห็นของสภานิติบัญญัติแห่งชาติเนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จากนั้นก็ได้มีการประกาศใช้บังคับมาตรฐานทางจริยธรรมในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2561
มาตรฐานทางจริยธรรมมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้ คือ
1. บุคคลที่จะต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานทางจริยธรรม ได้แก่บุคคลที่บัญญัติไว้ในข้อ 3 อันได้แก่
(1) ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
(2) ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ ได้แก่ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
(3) ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
(4) หัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ได้แก่ เลขาธิการสํานักงาน ศาลรัฐธรรมนูญ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เลขาธิการสํานักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และเลขาธิการคณะกรรมการ สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
(5) มาตรฐานทางจริยธรรมนี้ให้ใช้บังคับแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และ คณะรัฐมนตรีตาม ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๙ วรรคสอง ด้วย
2.อะไรคือมาตรฐานทางจริยธรรม ที่ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงต้องปฏิบัติตาม
มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ข้อ 5 ถึงข้อ 26 ได้แบ่งมาตรฐานทางจริยธรรมออกเป็น 3 เรื่องใหญ่ด้วยกัน คือ มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก และมาตรฐานทางจริยธรรมทั่วไป
(1) มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ มีอยู่ 6 เรื่องด้วยกันคือ
-ต้องยึดมั่นและธํารงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
-ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิ อธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน
-ต้องถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน
-ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเอง หรือผู้อื่น หรือมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตําแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ
-ต้องไม่ขอ ไม่เรียก ไม่รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดในประการที่อาจทําให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่
-ต้องไม่รับของขวัญของกํานัล ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เว้นแต่เป็นการรับจากการให้โดยธรรมจรรยา และการรับที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับให้รับได้
(2) มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก มีอยู่ 10 เรื่องด้วยกันคือ
-ไม่กระทําการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
-ยึดมั่นหลักนิติธรรม และประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีของประชาชน
-ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรม เป็นอิสระ เป็นกลาง และปราศจากอคติ โดยไม่หวั่นไหวต่ออิทธิพล กระแสสังคม หรือแรงกดดันอันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยคํานึงถึงสิทธิและ เสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมแห่งสถานภาพ
-รักษาไว้ซึ่งความลับในการประชุม การพิจารณาวินิจฉัย รวมทั้งเคารพต่อมติของที่ประชุมฝ่ายข้างมาก และเหตุผลของทุกฝ่ายอย่างเคร่งครัด
-ให้ข้อมูลข่าวสารตามข้อเท็จจริงแก่ประชาชนหรือสื่อมวลชนอันอยู่ในความรับผิดชอบ ของตน ถูกต้องครบถ้วนและไม่บิดเบือน
-ไม่ให้คําปรึกษาแก่บุคคลภายนอก หรือแสดงความคิดเห็น หรือข้อมูลต่อสื่อสาธารณะ หรือสาธารณชนในเรื่องที่อยู่ในระหว่างการพิจารณา อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือเสียความเป็นธรรม แก่การปฏิบัติหน้าที่ เว้นแต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายขององค์กร
-ไม่กระทําการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่ง
-ไม่ปล่อยปละละเลยหรือยินยอมให้บุคคลในครอบครัวหรือบุคคลที่อยู่ในกํากับดูแลหรือความรับผิดชอบของตน เรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากคู่กรณี หรือจากบุคคลอื่นใด ในประการที่อาจทําให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน
-ไม่คบหาสมาคมกับคู่กรณี ผู้ประพฤติผิดกฎหมาย ผู้มีอิทธิพล หรือผู้มีความประพฤติ หรือผู้มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสีย อันอาจกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่
-ไม่กระทําการอันมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ จนเป็นเหตุทําให้ผู้ถูกกระทําได้รับความเดือดร้อนเสียหายหรือกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ โดยผู้ถูกกระทําอยู่ในภาวะ จําต้องยอมรับในการกระทํานั้น
-ไม่นําความสัมพันธ์ทางเพศที่ตนมีต่อบุคคลใดมาเป็นเหตุหรือมีอิทธิพลครอบงําให้ใช้ดุลพินิจ ในการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด
(3) จริยธรรมทั่วไป มีอยู่ 6 เรื่องด้วยกันคือ
-ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกําลังความสามารถ และยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม โปร่งใสและตรวจสอบได้ และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ โดยคํานึงถึง ผลประโยชน์ของชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม
-อุทิศเวลาแก่ทางราชการ ไม่เบียดบังเวลาราชการไปประกอบธุรกิจ เพื่อประโยชน์ ส่วนตัวหรือผู้อื่น
-ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความเต็มใจ ให้บริการด้วยความรวดเร็ว เสมอภาค ถูกต้อง โปร่งใส ปราศจากอคติ และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
-ดูแลรักษาและใช้ทรัพย์สินของทางราชการอย่างประหยัด คุ้มค่า โดยระมัดระวังมิให้ เสียหายหรือสิ้นเปลืองโดยไม่จําเป็น
-รักษาความลับของทางราชการตามกฎหมาย และระเบียบแบบแผนของราชการ
-ปฏิบัติ กํากับดูแลหรือบังคับบัญชาเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดําเนินการอื่น ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และระบบคุณธรรม รวมทั้งส่งเสริมและ สนับสนุนให้เกิดความสามัคคีในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
(3) สภาพบังคับของจริยธรรม
ข้อ 27 ของมาตรฐานทางจริยธรรมกำหนดไว้ว่า การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง ส่วนการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก และมาตรฐานทางจริยธรรมทั่วไป จะถือว่ามีลักษณะร้ายแรงหรือไม่ ให้พิจารณาถึงพฤติกรรมของการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ เจตนาและความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัตินั้น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันได้บัญญัติถึงกระบวนการที่จะดำเนินการกับผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมที่ถือว่ามีลักษณะร้ายแรงเอาไว้ในมาตรา 234 (1) โดยให้เป็นอำนาจคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่จะเป็นผู้ไต่สวนผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ส่วนในมาตรา 235 ก็ได้บัญญัติเอาไว้ว่า หากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วและมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เห็นว่าผู้นั้นฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย เมื่อศาลฎีกาประทับรับฟ้องก็ให้ผู้นั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำพิพากษา หากศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าบุคคลดังกล่าวมีพฤติการณ์หรือกระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา ให้ผู้ต้องคำพิพากษานั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้นตลอดชีวิตโดยผู้นั้นไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไปและไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆทั้งสิ้น ส่วนในมาตรา 226 วรรคท้าย ก็ได้กำหนดให้การพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาเป็นไปตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาซึ่งต้องกำหนดให้ใช้ระบบไต่สวนและให้ดำเนินการโดยรวดเร็ว
ทันทีที่มาตรฐานทางจริยธรรมฉบับนี้มีผลใช้บังคับ หมายความว่า นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในองค์กรต่างๆ ต่างก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรฐานทางจริยธรรมฉบับนี้กันถ้วนหน้า
จริงๆแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรมที่นำเสนอไปแล้วข้างต้นตั้งแต่แรกที่ได้อ่านรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่กำหนดให้นำมาตรฐานทางจริยธรรมที่ใช้กับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงที่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีหน้าที่ ตรวจสอบ มาใช้กับ นักการเมือง เพราะผมมองว่า จริยธรรมของคนทั้ง 2 ประเภทเป็นคนละแบบกัน คนทั้ง 2 ประเภทมีที่มาที่แตกต่างกัน มีอำนาจหน้าที่ที่แตกต่างกัน มีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันและมีผลสัมฤทธิ์ของการทำงานที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้เองที่ผมมองว่ามาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพจึงควรแตกต่างกันไปตามสาขาอาชีพ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ให้ศาลและองค์กรอิสระกับนักการเมืองต้องมีมาตรฐานทางจริยธรรมแบบเดียวกัน ก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องดำเนินการไปตามนั้นครับ
ย้อนกลับมาดูเรื่อง นาฬิกา กันดีกว่าครับว่าจะสามารถนำมาตรฐานทางจริยธรรมนี้มาใช้กับเรื่อง นาฬิกาได้หรือไม่
มีช่องทางนะครับ มาตรฐานทางจริยธรรมที่ถูกนำมาใช้กับ นักการเมือง ได้บัญญัติไว้ในข้อ 9 ว่าต้องไม่ขอ ไม่เรียก ไม่รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดในประการที่อาจทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฎิบัติหน้าที่ส่วนข้อ 10 ก็บัญญัติไว้ว่าต้องไม่รับของขวัญ ของกำนัล ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเว้นแต่จะเป็นการรับจากการให้โดยธรรมจรรยาหรือการรับที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ระเบียบหรือข้อบังคับให้รับได้ ส่วนมาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลักก็บัญญัติไว้ในข้อ 17 ว่าจะไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง
นำมาใช้กับกรณี นาฬิกา ได้ทั้ง 3 ข้อเลยนะครับ ลองดูหน่อยไหมครับ
ในสัปดาห์นี้เรามีบทความมานำเสนอ 2 บทความด้วยกัน บทความแรกเป็นบทความของคุณชำนาญ จันทร์เรือง ที่เขียนเรื่อง "The Post : สื่อ vs รัฐบาล" บทความที่สองเป็นบทความของ คุณณรงค์ฤทธิ์ เพชรฤทธิ์ ที่เขียนเรื่อง "ประเภทของคำสั่งทางปกครองกับการทุเลาการบังคับคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539" ผมขอขอบคุณเจ้าของบทความทั้งสองด้วยครับ
พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ครับ
ศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์
|