ครั้งที่ 195
สำหรับวันจันทร์ที่ 15 กันยายน ถึงวันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2551
การเมืองภาคประชาชน
ข่าวใหญ่สำหรับช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาคงไม่มีข่าวใดน่าความสนใจเท่ากับข่าวที่นายกรัฐมนตรีถูกศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง
มีคนมาสัมภาษณ์ผมหลายคนเกี่ยวกับสาระของคำวินิจฉัยดังกล่าวโดยเฉพาะในส่วนของกรณีศาลรัฐธรรมนูญแปลความคำว่า ลูกจ้าง ซึ่งผมก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะตอบด้วยเหตุผลที่ว่า ปัจจุบันนี้การวิพากษ์วิจารณ์ทางวิชาการนอกจากจะถูกสังคมบังคับและกำหนดว่าเป็นการให้ความเห็นเพื่อ ข้างใด แล้ว เรื่องที่น่ากลัวมากกว่าอีกเรื่องหนึ่งคือ หมิ่นศาล ซึ่งในวันนี้ก็ ขยายความ ออกไปมากจนครอบคลุมการให้ความเห็นทางวิชาการแบบตรงไปตรงมาด้วย ด้วย 2 เหตุดังกล่าวผมเลยคิดว่าอยู่เงียบ ๆ น่าจะดีที่สุด วันหนึ่งเมื่อทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติและเมื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ จบสิ้นลง ผมคงจะหยิบเอาคำวินิจฉัยหรือ
คำพิพากษาบางเรื่องมานั่งวิเคราะห์เพื่อพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่า นักกฎหมายธรรมดานั้น ต่างจากนักกฎหมายมหาชนอย่างไร !!!
ในวันนี้ถึงแม้นายกรัฐมนตรีจะพ้นสภาพไปแล้ว แต่เค้าลางของความวุ่นวายยังคงมีอยู่ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังคงชุมนุมกันอยู่ ผมได้มีโอกาสอ่านแถลงการณ์ของพันธมิตรฉบับที่ 21/2551 ที่ว่าพันธมิตรฯ จะยังคงชุมนุมอย่างต่อเนื่องหลังจากที่นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว และนอกจากนี้ในแถลงการณ์ดังกล่าวพันธมิตรฯ ก็ยังเพิ่มข้อเรียกร้องเข้าไปอีกมากมายหลายข้อ รวมไปถึงการเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายบางฉบับ เช่นกฎหมายว่าด้วยทุนรัฐวิสาหกิจ ส่วนประเด็นเรื่อง การเมืองใหม่ นั้น แม้พันธมิตรฯ จะมีคำอธิบายออกมาแล้วในแถลงการณ์ฉบับที่ 20/2551 ก็ตาม แต่อ่านดูแล้วก็ยังไม่มีอะไรที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม อ่านแล้วไม่รู้แม้กระทั่งอะไรคือการเมืองใหม่ รู้แต่เพียงว่า ไม่เอานักการเมืองในระบบปัจจุบันเท่านั้นเองครับ
ที่ผ่านมา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมี ข้อเรียกร้อง มากมายหลายเรื่องและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา จึงทำให้ข้อเรียกร้องของพันธมิตร ไม่นิ่ง นอกจากข้อเรียกร้องจะ ไม่นิ่ง และ ไม่ชัดเจนแล้ว เมื่อพันธมิตรบุกรุกสถานที่ราชการและไม่ยอมไปมอบตัว การดำเนินงานของพันธมิตรก็ดูจะไม่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่ามี วัตถุประสงค์ ใดกันแน่ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้นักวิชาการจำนวนหนึ่งที่แม้จะรับไม่ได้กับรัฐบาลชุดที่ผ่านมาแต่ก็ไม่สามารถเข้าร่วมกับพันธมิตรได้ครับ
ช่วงเวลาที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศร่วม 7 เดือน เราได้พบเห็นอะไรต่ออะไรเกิดขึ้นมากมาย ไม่ใช่เฉพาะพันธมิตรฯ ที่ ไม่นิ่ง และ ไม่ชัดเจน นะครับรัฐบาลเองก็ ไม่นิ่ง และ ไม่ชัดเจน ด้วย ดูการเสนอข้อแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา ดูการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ ชักเข้าชักออก อยู่ตลอดเวลา รวมความแล้ว รัฐบาลเองก็มีปัญหาในด้านการทำงานอย่างมาก มากจนสมควรที่จะเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ประเทศไทยเราคงต้องการผู้นำที่มี ภาวะผู้นำ อย่างมาก การกล้าพูดแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่กล้าคิด ไม่กล้าตัดสินใจและกลัวที่จะทำ คงไม่ทำให้ประเทศเราพัฒนาไปสู่จุดที่ควรจะเป็นได้
ถ้าถามว่า 7 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลทำอะไรให้กับประเทศไทยบ้าง ผมคิดว่าคงเป็นคำถามที่ไม่มีใครอยากตอบ ที่ไม่อยากตอบนั้นส่วนใหญ่คงคิดเหมือนกันคือ ไม่รู้จะตอบอะไรเพราะมองไม่เห็นสักอย่างว่าเราได้อะไรกันบ้าง ในฐานะนักกฎหมายมหาชน ผมมองเห็นปัญหามากกว่าสิ่งที่เราได้จากการดำเนินงานของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผมมองว่าเป็นเรื่องใหญ่คือเรื่องอำนาจรัฐซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อำนาจรัฐมีความสำคัญเพราะเป็นสิ่งใช้จัดระบบในรัฐ ใช้ขับเคลื่อนรัฐไปในทิศทางที่ควรจะไป ซึ่งในช่วงเวลา 7 เดือนที่ผ่านมานี้ ผมมองเห็นอำนาจรัฐค่อย ๆ เสื่อมลงจนกระทั่งวันนี้ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เรียกว่า อำนาจรัฐ จะยังคงมีอยู่หรือไม่ เพราะหากเราพิจาณาถึงแนวคิดเกี่ยวกับการแบ่งแยกอำนาจแล้วก็จะพบว่า ฝ่ายบริหารเป็นฝ่ายที่มีและใช้อำนาจรัฐมากที่สุด ซึ่งเราก็เห็นกันอยู่แล้วว่าในวันนี้ฝ่ายบริหาร หมดรูป จริง ๆ ครับ การที่ฝ่ายบริหารไม่สามารถแก้ไขปัญหาการชุมนุมบนทางสาธารณะของพันธมิตรฯ เกือบ 2 เดือน การที่ฝ่ายบริหารไม่สามารถแก้ปัญหา ASTV การที่ฝ่ายบริหารถูก ยึด สถานที่ทำงานซึ่งเป็นสถานที่ราชการที่สำคัญที่สุดของประเทศและเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่แสดงถึงหนึ่งในอำนาจอธิปไตย คือ อำนาจบริหาร การที่ฝ่ายบริหารถูกกล่าวหา ดูหมิ่น ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงยิ่งเสียกว่าการหมิ่นประมาทที่ฟ้องๆกันอยู่ในศาลฯลฯ ทั้งหมดนี้แม้จะเป็นความผิดตามกฎหมาย แต่ฝ่ายบริหารซึ่งมีอำนาจอยู่ในมือกลับไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้เลย ส่วนฝ่ายนิติบัญญัตินั้นในวันนี้ก็ดู ๆ แล้วทำงานลำบาก ระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมาผลิตกฎหมายออกมาไม่ได้เลยซักฉบับก็ไม่ทราบ แม้จะทำการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้บ้างแต่ก็ไม่เต็มที่ แถมเมื่อมีการอภิปรายทั่วไปของรัฐสภาเพื่อหาข้อยุติของการชุมนุมอย่างยืดเยื้อของพันธมิตรฯ แต่ผลที่ออกมากลับไม่ได้อะไรเลย สำหรับฝ่ายตุลาการที่ผู้คนชอบใช้คำว่า ตุลาการภิวัตน์ กันนัก อะไรที่ฝ่ายตุลาการตัดสินไปแล้ว ถูกใจ ก็เป็น ตุลาการภิวัตน์ แต่ทำไมเมื่อมีการออกหมายจับแกนนำพันธมิตรฯ แล้วไม่มีใครเคารพและปฏิบัติตามจึงไม่มีใครตั้ง คำศัพท์ ขึ้นมาใหม่สำหรับมาใช้แทนคำว่า ตุลาการภิวัตน์ บ้างก็ไม่ทราบ และท้ายที่สุดสำหรับอำนาจที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลอย่างทหารนั้น ในวันนี้ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาให้บ้านเมืองได้เพราะออกมายืนยันอย่างเดียวว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จากเหตุผลทั้งหมดที่พูดไปล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ อำนาจรัฐ ที่เคยมีอยู่อย่างมาก อ่อนแอลงอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่ออำนาจรัฐอ่อนแอลง สังคมขาดผู้นำ คนส่วนหนึ่งจึงหันไปหาการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพราะว่าอย่างน้อยก็ประกอบไปด้วนคนที่มี ภาวะผู้นำ ครับ
ประสบการณ์ 3 เดือนเศษ ที่ผ่านมาต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสามารถสร้างบทบาทของตนเองจาก อะไรก็ไม่รู้ จนมาเป็น องค์กร ที่มีบทบาทในการ ตรวจสอบ การทำงานของรัฐบาล กรณีเขาพระวิหารเป็นกรณีตัวอย่างที่ดีที่สุดที่พันธมิตรฯ นำมาใช้ ปลุกเร้า ความรู้สึกหรืออารมณ์ของผู้คนให้มุ่งไปในทิศทางเดียวกันและพัฒนาความคิดกับมุมมองร่วมกันจนกลายเป็น พลัง ที่ใช้ขับเคลื่อนการดำเนินงานของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาจนถึงจุดที่เราอยู่กันในวันนี้
สิ่งที่เกิดจากปรากฎการณ์พันธมิตรฯ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ผมนึกถึงหนังสือเก่ามากเล่มหนึ่งของฝรั่งเศสชื่อ Psychologie des foules หรือ จิตวิทยาของฝูงชน ที่เขียนโดย Gustave Le Bon เมื่อปี คศ. 1895 นึกแล้วก็อดนำมาคิดปรับเข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเราในวันนี้ไม่ได้ หนังสือดังกล่าวพูดเรื่องพัฒนาการในการรวมกลุ่มกันของคนที่ในหนังสือเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า ฝูงชน (les foules) โดยในตอนต้นของหนังสือกล่าวถึงวิธีการของคนธรรมดาสามัญที่อาจได้อำนาจรัฐมาโดยความช่วยเหลือของฝูงชนซึ่งเมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาพบว่า คนจำนวนมากสามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ง่ายด้วยการก้าวกระโดดข้ามกระบวนการปกติ การก้าวกระโดดดังกล่าวทำได้โดยการรวบรวมคนจากกลุ่มที่มีเชื้อชาติเดียวกัน วัฒนธรรมเดียวกัน สังคมเดียวกัน หรือประสบการณ์เดียวกัน โดยต้องหาทางทำให้คนเหล่านี้เข้ามาอยู่ร่วมกัน จากนั้นคนที่เป็นผู้นำจะต้องสร้างความรู้สึกร่วมให้กับฝูงชน วิธีการหนึ่งที่ใช้ก็คือ การใช้ คำพูด เป็นตัวปลุกเร้าความรู้สึก ผู้นำต้องรู้จักวิธีใช้คำพูด สร้างคำใหม่ ๆ ขึ้นมาแทนคำเดิมเพื่อให้เป็นคำของกลุ่มผู้ชุมนุมที่เมื่อพูดคำดังกล่าวขึ้นมาเมื่อใดก็จะสร้างความโกรธและความเกลียดให้กับผู้ชุมนุมได้ ท้ายที่สุด เมื่อทุกคนมี จุดร่วม เดียวกันแล้ว ฝูงชน ก็จะเกิดขึ้นโดยมี ผู้นำ ที่พร้อมที่จะทำทุกอย่างร่วมกันเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ต้องการเห็น ที่ผมเล่าไปนี้เป็นเพียงบางส่วนที่จำได้จากหนังสือดังกล่าวที่คิดว่าคงต้องกลับไปอ่านดูใหม่อีกครั้งเพราะคิดว่ารู้สึกคุ้น ๆ และน่าจะมองเห็นภาพได้ชัดเจนกว่าสมัยที่อ่านครั้งแรกเมื่อตอนเป็นวัยรุ่นครับ
|