ครั้งที่ 163
สำหรับวันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน ถึงวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2550
75 ปี ประชาธิปไตยไทย
|
|
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 75ปี ของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่ใช้กันอยู่ในประเทศต่างๆจำนวนมากในขณะนั้น การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบที่ มิได้มีการเตรียมการมาก่อน จริงอยู่แม้กลุ่มบุคคลผู้ทำการยึดอำนาจเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจะได้ เริ่มคิด ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2468 ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสโดยกลุ่มนักเรียนไทยในยุโรปซึ่งได้รับทราบสถานการณ์ทางการเมืองของยุโรปในขณะนั้นที่ระบอบกษัตริย์ของประเทศต่างๆ ถูกประชาชนปฏิวัติโค่นล้มลงไปในหลายๆประเทศและมีระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีสิทธิมีเสียงและมีส่วนในการปกครองประเทศเข้ามาแทนที่ แต่การ เริ่มคิด ดังกล่าวเป็นการ เริ่มคิด ที่มิได้มีการตระเตรียมสำหรับสิ่งที่จะตามมา ภายหลัง จากที่มีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ การเตรียมการเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดขึ้นมาจากกลุ่มนักเรียนไทยในยุโรปได้นำเหตุการณ์และสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนั้นไป เปรียบเทียบ กับเหตุการณ์และสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในยุโรปในขณะนั้น ทั้งๆ ที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ เนื่องจากมีความแตกต่างทางด้านพัฒนาการทางการเมือง วัฒนธรรมและสังคม ลองนึกดูง่ายๆ ก็ได้ว่าในวันที่ประชาชนชาวอเมริกันมีรัฐธรรมนูญใช้ในปี ค.ศ.1776 (พ.ศ. 2319) ประเทศไทยยังอยู่ในสมัยกรุงธนบุรีอยู่เลยครับ ดังนั้น เมื่อการมองในเชิง เปรียบเทียบ เกิดขึ้นในสภาพการณ์ที่แตกต่างกันอย่างมาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงเป็นระบอบที่ ล้าหลัง สำหรับนักเรียนไทยในยุโรปกลุ่มดังกล่าวที่มองว่า พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจมากเกินไป และชนชั้นนำของสังคมไทยในขณะนั้นคือพวกเจ้านายทั้งหลายก็มีอภิสิทธิ์มากเกินไป ส่วนประชาชนนั้นแทบจะเรียกได้ว่า ไม่มีสิทธิมีเสียงอะไรเลย นักเรียนไทยกลุ่มดังกล่าวจึง เริ่มคิด ว่าถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเช่นเดียวกับประเทศต่างๆแล้ว ประเทศไทยก็จะสามารถก้าวไปสู่จุดที่ทัดเทียมนานาอารยะประเทศได้อย่างไม่ยากนัก จากแนวคิดของนักเรียนไทยในเบื้องต้นจำนวน 2 คน ก็ได้กลายเป็น 7 คนในเวลาต่อมาซึ่งเราเรียกบุคคลกลุ่มนี้ว่า กลุ่มผู้ก่อการ เมื่อกลุ่มผู้ก่อการเดินทางกลับประเทศไทยและเข้ารับราชการก็ได้ ขยายฐานสมาชิก ออกไปอีก แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้เนื่องจากในบรรดากลุ่มผู้ก่อการนั้นยังขาด กำลัง สำคัญที่จะนำไปใช้ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ นั้นก็คือ กำลังทหาร นั้นเอง จนกระทั่งเมื่อกลุ่มผู้ก่อการได้ชักชวนนายทหารชั้นผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งให้เข้าร่วมกับผู้ก่อการได้ในปลายปี พ.ศ. 2475 จึงได้มีการเริ่มประชุมวางแผนยึดอำนาจอย่างเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น แผนการยึดอำนาจในเบื้องต้นถูกกำหนดให้ใช้กำลังทหารเข้ามาเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยไม่ต้องการให้มีการนองเลือด แต่เนื่องจากกลุ่มผู้ก่อการไม่มีกำลังทหารเพียงพอ กลุ่มผู้ก่อการที่เป็นทหารจึงต้องใช้วิธีตระเวนไปยังกรมกองทหารต่างๆ ก่อนวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 1 วัน เพื่อแจ้งให้ทราบว่าจะมีการซ้อมรบด้วยวิธีการใหม่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าในเวลา 6 โมงเช้าของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จึงขอให้ผู้บังคับบัญชานำทหารจากหน่วยต่างๆ มาร่วมด้วยในเวลาดังกล่าว พอตอนเช้าวันที่ 24 มิถุนายน คณะผู้ก่อการทั้งหมดก็รวมตัวกันตั้งแต่เวลา 04.00 น. แล้วก็แบ่งกำลังกันออกไปดำเนินการต่างๆ เช่น ตัดการสื่อสารทั้งหมดเพื่อไม่ให้เกิดการสื่อสารกันได้ เป็นต้น ต่อมาเมื่อเวลา 06.00 น. กำลังทหารจากหน่วยต่างๆก็ทยอยกันมาจนเต็มลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อจัดแถวทหารเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าคณะผู้ก่อการก็ได้อ่านประกาศยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากนั้นก็มีการส่งกำลังทหารออกไปรักษาความสงบตามสถานที่สำคัญๆ ของทางราชการต่างๆ รวมทั้งแยกย้ายกันไป จับกุม บุคคลสำคัญของประเทศมาขังไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อเป็น ตัวประกัน ส่วน ฝ่ายกฎหมาย ของกลุ่มผู้ก่อการก็ได้จัดทำแถลงการณ์เพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รวมทั้งการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยเพื่อนำมาใช้เป็น กติกา ในการปกครองประเทศหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
|
|
สำหรับการดำเนินการและความเป็นไปต่อจากนี้ก็คงไม่ขอเล่าต่อเพราะเข้าใจว่าทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้ว
ที่ผมได้เล่าไปข้างต้นก็เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยในปี พ.ศ. 2475 นั้นเป็นการดำเนินการที่มีการเตรียมการในบางส่วนโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการ ยึดอำนาจ ครับ แต่การดำเนินการต่อมาหลังจากนั้นไม่มีความชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการสร้างแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยให้กับสามัญชน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24มิถุนายน จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ ขาดการเตรียมพร้อม ในส่วนสำคัญที่จะนำไปสู่การปกครองประเทศที่ดีในเวลาต่อมา นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบที่ประชาชนยังไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง
แม้คณะผู้ก่อการจะพยายามแก้ปัญหาการที่ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยในเวลาต่อมา แต่การดำเนินการดังกล่าวก็ไม่ราบรื่นนัก หากพิจารณาดูรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยคือฉบับลงวันที่ 27 มิถุนายน 2475 ก็จะพบว่า คณะผู้ก่อการ มีความ วิตก ในเรื่องของการที่ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยไม่มากก็น้อย สังเกตได้จากในมาตรา 10 ที่ได้กำหนดถึงการมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเอาไว้ว่า เมื่อจำนวนราษฎรทั่วพระราชอาณาเขตต์ได้สอบไล่วิชชาปถมศึกษาได้เป็นจำนวนเกินกว่าครึ่งและอย่างช้าต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันใช้ธรรมนูญนี้ สมาชิกในสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นผู้ที่ราษฎรได้เลือกตั้งขึ้นเองทั้งสิ้น........... บทบัญญัติดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงระดับ การศึกษา ของชาวไทยในสมัยนั้นซึ่งคณะผู้ก่อการเล็งเห็นแล้วว่าในช่วงเวลาแรกหากปล่อยให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทันทีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็คงจะต้องเกิดปัญหาต่างๆตามมาเพราะคนไทยยัง คุ้นเคย อยู่กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และยังขาดความรู้ความเข้าใจในหลักและแก่นสารของ ระบอบประชาธิปไตย ที่เพิ่งเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้เองที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีการทอดระยะเวลาออกไปช่วงหนึ่งก่อนที่จะให้สภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดมาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยมุ่งหวังว่าในช่วงเวลาดังกล่าวคงจะสามารถทำให้คนไทยมีความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยได้ดีขึ้นและมีความพร้อมที่จะลงมา เล่นการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ เพราะระบอบประชาธิปไตยนั้น ผู้เล่นทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง และฝ่ายผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องมีความรู้และความเข้าใจในกติกาอย่างชัดเจนก่อนในเบื้องต้นและตามมาด้วยการเล่นตามกติกาครับ
แต่อย่างไรก็ตาม หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยก็มีปัญหามาตลอด การปฏิวัติรัฐประหารที่เป็นวิถีทางนอกระบอบประชาธิปไตย เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งโดยมีเหตุผลที่ซ้ำกันคือ เกิดการทุจริตในการดำเนินกิจการทางการเมืองของนักการเมืองและประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย ภาพของการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยให้กับคนไทยเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่มีการปฏิวัติรัฐประหาร ก็อ้างเหตุผลว่าประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย ที่ชัดเจนที่สุดก็คือการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2519 ที่ตามมาด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับปีพ.ศ. 2519 ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้กล่าวถึงการด้อยความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยของคนไทยไว้ตอนหนึ่งว่า ....แต่เท่าที่ผ่านมาสี่สิบปีเศษ การปกครองในระบอบนี้ก็ยังไม่บรรลุตามเจตนารมณ์ของประชาชนเพราะไม่ได้มีโครงสร้างที่จะต้องพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอนให้เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับพุทธศักราช 2517 มีอุปสรรคขัดข้องจนไม่อาจจะปฏิบัติให้เป็นไปโดยเรียบร้อยได้ ทั้งตัวบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามีเสียงในการปกครองประเทศก็มิได้เคารพต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญนั้นด้วยประการต่างๆ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของชาติบ้านเมือง เป็นเหตุให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยต้องล้มลุกคลุกคลานตลอดมา และมีท่าทีว่าชาติบ้านเมืองจะถึงความวิบัติ จึงเป็นการจำเป็นที่จะต้องกอบกู้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยด้วยการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินให้เหมาะสม โดยจัดให้มีการพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอนไปตามลำดับ
ในระยะสี่ปีแรกเป็นระยะฟื้นฟูเสถียรภาพของประเทศทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ในระยะนี้สมควรมีให้ราษฎรมีส่วนในการบริหารราชการแผ่นดินโดยทางสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ซึ่งมีสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ในขณะเดียวกันก็จะเร่งเร้าให้ประชาชนเกิดความสนใจและตระหนักในหน้าที่ของตน ในระยะสี่ปีที่สอง สมควรเป็นระยะที่ให้ราษฎรมีส่วนในการบริหารราชการแผ่นดินมากขึ้น โดยจัดให้มีรัฐสภาอันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้ง และวุฒิสมาชิกมาจากการแต่งตั้ง ทั้งสองสภานี้จะมีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินเท่าเทียมกัน ในระยะที่สี่ปีที่สาม สมควรขยายอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรให้มากขึ้น และลดอำนาจของวุฒิสภาลงเท่าที่จะทำได้ ต่อจากนั้นไปถ้าราษฎรตระหนักในหน้าที่และความรับผิดชอบของตนที่มีต่อชาติบ้านเมืองในระบอบประชาธิปไตยดีแล้ว ก็ยกเลิกวุฒิสภาเหลือแต่สภาผู้แทนราษฎร คำปรารภดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในช่วงเวลาดังกล่าว แม้การเปลี่ยนแปลงการปกครองจะผ่านไปเป็นเวลา 40 ปีเศษแล้วก็ตาม แต่ ผู้เล่น ในระบอบประชาธิปไตยทั้งสองฝ่ายก็ยังคงไม่เข้าใจกฎ กติกา ที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย ต่อมาอีก 30 ปีจากปีพ.ศ.2519 จนถึงพ.ศ. 2549 เมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้นในเดือนกันยายน 2549 ที่ผ่านมาความรู้ความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยของคนไทยก็ยังไม่แตกต่างไปจากเดิมเท่าไรนัก เหตุแห่งการรัฐประหารเหตุหนึ่งจึงมาจากการที่ ผู้เล่น ฝ่ายหนึ่งไม่รู้จักกฎ กติกาของระบอบประชาธิปไตยดีพอ ส่วนผู้เล่นอีกฝ่ายคือ ประชาชนส่วนหนึ่งไปแสดงความยินดีปรีดากับการรัฐประหารถึงขนาดนำดอกไม้ไปมอบให้ทหารที่เข้ามาทำการรัฐประหาร ก็ยิ่งทำให้เกิดภาพที่ชัดเจนขึ้นไปอีกว่า ผู้เล่น อีกฝ่ายหนึ่งก็ยังไม่รู้จักระบอบประชาธิปไตยดีพอเช่นกัน มิฉะนั้นคงไม่ไปแสดงความยินดีกับ ผู้ทำลายระบอบประชาธิปไตย เช่นที่เกิดขึ้นเป็นแน่ครับ !
วันที่ 24 มิถุนายน 2550 เป็นวันครบรอบ 75 ปี ของการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย ถ้าเราจะต้องทำการ ประเมิน ผลการดำเนินการตลอดระยะเวลา 75 ปี ที่ผ่านมาของระบอบประชาธิปไตยกัน ก็คงจะประเมินได้ไม่ยากนัก การปฏิวัติรัฐประหารซึ่งเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยโดยตรง การที่ผู้เล่นฝ่ายการเมืองไม่เข้าใจถึงแนวคิดเรื่องประโยชน์สาธารณะ (public interest) จึงได้เกิดการทำทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการส่วนตัวและพวกพ้อง การที่ประชาชนส่วนหนึ่งยังเห็นแก่ได้เล็กๆน้อยๆ ยอมรับ สินจ้าง ปิดหูปิดตาเลือกคนไม่ดีเข้ามาสู่ระบบการเมือง สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุที่ทำให้การประเมินผลการดำเนินการ 75 ปี ที่ผ่านมาของระบอบประชาธิปไตยไทย ติดลบ ครับ!
สิ่งที่น่าสนใจสิ่งหนึ่งก็คือ เป้าหมาย ของคณะราษฎร์ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ปรากฏอยู่ในแถลงการณ์ของคณะราษฎร์ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยคณะราษฎร์ได้วางหลักใหญ่ๆในการบริหารประเทศไว้ 6 หลักด้วยกัน
1.จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
2.จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
3.จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงสร้างเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ประชาชนอดอยาก
4.จะต้องให้ราษฎรได้มีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่ให้พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่)
5.จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
6.จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
จากวันนั้นถึงวันนี้ 75ปีผ่านไปไม่ทราบว่าเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร์ได้บรรลุถึงจุดที่ควรจะเป็นหรือยังครับ ?
ความรู้สึกส่วนตัวของผมเนื่องในโอกาสครบรอบ 75ปี แห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองคงมีเพียงการแสดงความ ไว้อาลัย ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทย ที่แม้ระยะเวลาจะผ่านไปถึง 75 ปี แล้วก็ตามแต่เราก็ยังเดินไปไม่ถึงไหนเลยครับ !!!!!
เรามีบทความมานำเสนอ 5 บทความด้วยกันครับ บทความแรกเป็นบทความเรื่อง ขอให้ประชาชนไทยได้เป็นคนเลือก ส.ว. โดย คุณณัฐกร วิทิตานนท์ บทความที่สองเป็นบทความเรื่อง ตุลาการภิวัฒน์กับทฤษฎีแบ่งแยกอำนาจการปกครอง โดย คุณภาสพงษ์ เรณุมาศ เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 5 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ บทความที่สามเป็นบทความเรื่อง ข้อค้างคาใจในคำวินิจฉัยคดียุบพรรค โดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง บทความที่สี่เป็นบทความเรื่อง ใช้กฎหมายย้อนหลังเพื่อเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเมื่อยุบพรรคการเมือง โดย คุณวัส ติงสมิตร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 3 และบทความที่ห้าเป็นบทความเรื่อง วิธีพิจารณาคดีอาญาตามระบบไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดย คุณณรงค์ฤทธิ์ เพชรฤทธิ์ ผมขอขอบคุณผู้เขียนบทความทั้งห้า ณ ที่นี้ด้วยครับ นอกจากนี้แล้วเรายังมีผู้ส่งบทความมาร่วมกับเราอีกมากซึ่งบทความอื่นๆที่ยังไม่ได้นำเสนอในครั้งนี้ ผมจะทยอยนำมาเสนอในครั้งต่อไปครับ
พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2550 ครับ
ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์
|