|
|
|
|
|
ครั้งที่ 140
สำหรับวันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม ถึงวันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม 2549
วาระต่อไป...ยุบพรรค
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาจำคุกประธานกรรมการการเลือกตั้งและกรรมการการเลือกตั้งอีก 2 คน คนละ 4 ปี พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งคนละ 10 ปี
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ตามมาภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 9/2549 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ที่ผ่านมาเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งต่อมาศาลปกครองกลางก็ได้มีคำพิพากษาที่ 607-608/2549 ให้เพิกถอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 2 เมษายน 2549 ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อในทุกเขตเลือกตั้ง รวมทั้งการกระทำต่อมาภายหลังอันเป็นผลสืบเนื่องจากการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน 2549 ด้วย
เมื่อได้ทราบคำพิพากษาศาลอาญา หลาย ๆ คนก็คงรู้สึก สะใจ กับความ ดื้อ ของกรรมการการเลือกตั้งทั้ง 3 คนที่ เมินเฉย กับเสียงเรียกร้องให้แสดงความ รับผิดชอบ ต่อการที่ทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองต่างก็ได้ ตัดสิน ให้เพิกถอนการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 ซึ่งเมื่อพิจารณาจากเหตุผลที่อยู่ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญหรือในคำพิพากษาศาลปกครองกลางแล้วก็จะเห็นได้ชัดว่า ส่วนหนึ่งของ ข้อบกพร่อง ของการเลือกตั้งในครั้งนั้นเกิดขึ้นมาจากการดำเนินงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ก็เป็นเรื่อง ธรรมดา ครับที่ในเมื่อผู้ที่ต้องรับผิดชอบแล้วไม่ยอมแสดงความรับผิดชอบออกมาเองก็ย่อมต้องถูก บังคับ ให้แสดงความรับผิดชอบครับ!
วิบากกรรมที่เกิดขึ้นกับกรรมการการเลือกตั้งทั้ง 3 คนในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนควรนำกลับไปคิด ภาพของอดีตข้าราชการระดับสูงของประเทศต้องเดินเข้าห้องขังและต้องอยู่ในนั้นหลายวันน่าจะให้ข้อคิดอะไรบางอย่างกับเราได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ความไม่แน่นอน ของ สถานะ และ อำนาจ ครับ คดีดังกล่าวคงยังไม่จบลงแค่นี้ คงต้องดูกันต่อไปว่า ศาลอุทธรณ์จะว่าอย่างไรกับคำพิพากษาของศาลอาญาคำพิพากษานี้ครับ
การ ลงโทษ บุคคลที่ดำรงตำแหน่งสูงในองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในช่วงเวลาสองสามปีที่ผ่านมา เราได้พบเห็น การตรวจสอบการใช้อำนาจ ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญกันมาบ้างแล้ว เริ่มตั้งแต่การที่กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทั้ง 9 คนถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินให้จำคุกในกรณีขึ้นเงินเดือนตัวเอง ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนั้น กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทั้ง 9 คนยังโชคดีที่ศาลปรานีให้รอการลงโทษเอาไว้ก่อน หรือในกรณีที่ศาลอาญาได้พิพากษาจำคุกอดีตประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดินไปเมื่อไม่นานมานี้ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และล่าสุดในวันนี้ก็ถึงคราวของกรรมการการเลือกตั้งทั้ง 3 คนครับ
ในวันที่ศาลอาญามีคำพิพากษา ผมประชุมอยู่กับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลาย ๆ คน ก็ตกใจไปตาม ๆ กันเมื่อศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวกรรมการการเลือกตั้ง 3 คน มีหลาย ๆ คน รวมทั้งผมด้วยที่ อยากจะพูด แต่ในเวลานี้ก็คงลำบากที่จะพูดอะไรทั้งนั้น ดีไม่ดีจะกลายมาเป็นหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเสียเปล่า ๆ คงต้องอยู่อย่าง สงบ หน่อยครับ
ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ศาลอาญามีคำพิพากษา หนังสือพิมพ์หลายฉบับต่างก็พากันลงข่าวในทำนองที่ว่า ความวุ่นวายในบ้านเมืองคงจะจบลงเสียที แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมาพิจารณาดู วาระต่อไป ที่จะเกิดขึ้นในบ้านเมืองเราต่อจากการ ลงโทษ กรรมการการเลือกตั้งทั้ง 3 คนแล้ว คงหนีไม่พ้นเรื่องการ ยุบพรรค ครับ โดยในวันนี้ เรื่องการยุบพรรคการเมืองที่ทำผิดกฎหมายกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญครับ
ย้อนกลับมาดูคำพิพากษาศาลอาญากรณีจำคุกกรรมการการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะไปดูเรื่องยุบพรรคกันต่อ ผมคิดเอาเองว่าคำพิพากษาดังกล่าวน่าจะ มีผล โยงไปถึงการยุบพรรคการเมือง ในคำพิพากษาดังกล่าวได้ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า กรรมการการเลือกตั้ง 3 คนมีความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง มาตรา 24 คือ กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด หรือกระทำการหรือละเว้นกระทำการโดยทุจริตหรือประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งบทลงโทษสำหรับความผิดดังกล่าวก็เป็นไปตามมาตรา 42 แห่งกฎหมายฉบับเดียวกันซึ่งในที่สุดศาลอาญาก็สั่งลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งคนละ 10 ปี นี่คือ ความผิด ของกรรมการการเลือกตั้งทั้ง 3 คนครับ
ก่อนที่จะไปพิจารณาถึงการยุบพรรคการเมืองดังที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ขอเล่าให้ฟังว่า จากการอ่านคำพิพากษาศาลอาญากรณีจำคุกกรรมการการเลือกตั้ง ผมได้พบ ข้อความ หลาย ๆ ข้อความที่ น่าสนใจ ที่ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาดังกล่าว เช่น
- การกระทำของกรรมการการเลือกตั้งเป็นการช่วยเหลือผู้สมัครพรรคไทยรักไทยให้มีคู่แข่งขันในการเลือกตั้งอันเป็นการหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์ที่ต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของจำนวนผู้มีสิทธิในเขตเลือกตั้งนั้น
- มีเจตนาช่วยเหลือผู้สมัครพรรคไทยรักไทยให้ได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นเพราะผู้สมัครจากพรรคอื่นมีเวลาหาเสียงน้อยกว่า
- กรรมการการเลือกตั้งทั้ง 3 คน จบการศึกษาระดับปริญญาโท ผ่านการทำงานในฐานะผู้ใช้กฎหมายมาไม่น้อยกว่า 30 ปี หากกรรมการการเลือกตั้งทั้ง 3 คนมีความสงสัยในการใช้กฎหมาย ควรศึกษาเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้น ๆ การกระทำของกรรมการการเลือกตั้งทั้ง 3 คนเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นคุณแก่ผู้สมัครพรรคไทยรักไทยและเป็นโทษแก่ผู้สมัครพรรคการเมืองอื่น เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยหน้าที่และไม่สุจริต ทำให้โจทก์ ประชาชนและประเทศชาติได้รับความเสียหาย
ข้อความทั้ง 3 ที่ผมคัดมาจากคำพิพากษาศาลอาญากรณีจำคุกกรรมการการเลือกตั้งนี้ หากเราพิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็จะเข้าใจได้ไม่ยากนักว่า ระหว่างกรรมการการเลือกตั้งกับพรรคไทยรักไทยนั้นมี บางอย่าง ที่เชื่อมโยงและเกี่ยวพันกันครับ ในประเด็นนี้ผมคงไม่วิเคราะห์ในตอนนี้แต่จะขอติดเอาไว้สรุปในตอนท้ายของบทบรรณาธิการนี้จะเหมาะสมกว่า
กลับมาสู่เรื่องยุบพรรคการเมืองกันดีกว่า ในวันนี้เราพูดกันถึงเรื่องการยุบพรรคการเมืองกันมาก และในบางครั้งก็พูดกันอย่าง ไม่เข้าใจ ว่า การยุบพรรคการเมืองจะก่อให้เกิดประเด็นปัญหาตามมาอย่างไรบ้าง ในที่นี้ ผมจะไม่ขอพูดถึงกรณีที่หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ไม่ ยุบพรรคการเมืองเพราะกรณีดังกล่าวก็จะต้องไปพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ ของเหตุการณ์ในขณะที่มีคำวินิจฉัยว่า จะนำพาไปสู่อะไรต่อไป แต่ผมจะขอพูดถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคการเมืองที่มีปัญหาดังที่ทราบกัน โดยผมขอตั้งประเด็น 2 ประเด็นคือ หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคการเมือง ก่อน การเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 ตุลาคมที่จะถึงนี้ ผลจะเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับในประเด็นต่อมาคือ หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคการเมือง หลัง การเลือกตั้งทั่วไป ผลจะเป็นอย่างไร
ในกรณีที่หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคการเมืองก่อนที่จะมีการเลือกตั้งนั้น มาตรา 69 แห่งกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองได้บัญญัติเอาไว้ว่า ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบไปจะขอจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการขอจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ไม่ได้ ในกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันที่พรรคการเมืองนั้นต้องยุบไป ดังนั้น เมื่อพิจารณาข้อห้ามดังกล่าวก็จะพบว่า ข้อห้ามดังกล่าวมิได้ตัดสิทธิผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบ บุคคลเหล่านั้นสามารถสมัครรับเลือกตั้งทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อได้เนื่องจากการห้ามนั้นมีเพียงเฉพาะที่กำหนดไว้ในมาตรา 69 ดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น ส่วนในกรณีที่หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคการเมืองหลังการเลือกตั้งนั้น กรณีดังกล่าว มาตรา 22 แห่งกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองได้บัญญัติถึงการสิ้นสุดลงของสมาชิกภาพของสมาชิกพรรคการเมืองไว้ 5 กรณี ซึ่งในกรณีที่พรรคการเมืองถูกยุบนั้นก็เป็นหนึ่งในเหตุที่จะทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกพรรคการเมืองสิ้นสุดลง ซึ่งในวรรค 5 ของมาตราดังกล่าวก็ได้บัญญัติ สถานะ ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองที่ถูกยุบไปว่า ถ้าผู้ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สมาชิกภาพสิ้นสุดลงเนื่องมาจากการยุบพรรค หากไม่สามารถเข้าไปเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นได้ภายใน 60 วันนับแต่วันที่พรรคการเมืองเลิกหรือยุบไป ให้ถือว่าสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันถัดจากวันที่ครบ 60 วันนั้น บทบัญญัติดังกล่าวจึงทำให้พอมี ทางออก สำหรับสมาชิกพรรคการเมืองที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและในที่สุดถูก ยุบพรรค หลังการเลือกตั้งว่า สามารถเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อไปได้หากสามารถเข้าเป็นสมาชิก พรรคการเมือง อื่นได้ซึ่งกรณีนี้เองแม้อ่านบทบัญญัติดังกล่าวแล้วดูว่าน่าจะทำได้ง่ายไม่มีปัญหาอะไรแต่ ดู ๆ แล้วน่าจะก่อให้เกิดความยุ่งยากพอสมควร เพราะสำหรับกรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งนั้น คงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก เพียงหา พรรคใหม่ ได้ก็เรียบร้อย ในขณะที่หากเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ผมคิดว่าคงยุ่งแน่ ๆ เพราะเท่าที่ลองตรวจสอบดูตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่พบวิธีพิเศษใด ๆ ดังนั้นก็คงต้องใช้วิธีการเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งคือ ต้องเข้าสังกัดพรรคการเมืองใหม่ให้ได้ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่พรรคการเมืองถูกยุบ ซึ่งเมื่อพิจารณาในทางปฏิบัติที่จะเกิดขึ้นแล้วคิดว่าคงวุ่นวายพอสมควรเพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อนั้นเกิดจากการลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้นและจำนวนของผู้ได้รับการเลือกตั้งต้องผ่านการคำนวณดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 76 แห่งกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา หากพรรคการเมืองใหญ่ที่มีสมาชิกสภาผู้แทนแบบบัญชีรายชื่อถูกยุบไป สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อจะเข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใหม่ได้ด้วยวิธีใด และจะมีผลต่อการจัด ลำดับ ในบัญชีรายชื่อมากน้อยเพียงใดก็ยังเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วงครับ ในอดีตที่ผ่านมา ถ้าผมจำไม่ผิดเราเคยมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้วตอนพรรคการเมืองบางพรรคเข้ามารวมกับพรรคไทยรักไทย แต่ผมจำไม่ได้ว่ามีการแก้ปัญหาเรื่องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่ออย่างไร ใครจำได้ช่วยบอกทีนะครับจะได้พอทราบแนวทางล่วงหน้าว่าจะทำอย่างไรกับกรณีนี้!
ผมคงไม่กล้า ฟันธง ว่าในที่สุดแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยกรณียุบพรรคการเมือง ก่อน หรือ หลัง การเลือกตั้ง ซึ่งดู ๆ แล้วหากจะเดาก็คงจะต้องเดาว่า หลัง เลือกตั้งอย่างแน่นอนเพราะจากเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการยุบพรรคการเมืองที่ อัยการ ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญนั้น ว่ากันว่ามีจำนวนมากเหลือเกิน คงต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งถึงจะศึกษาเรื่องหมด ซึ่งก็ไม่น่าจะ ก่อน การเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคม นี้ครับ ส่วนที่ว่าจะยุบพรรคไหนบ้างนั้น ก็ไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะต้องออกมาพูด แต่ก็แอบคิดในใจว่า หากศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำพิพากษาศาลอาญากรณีจำคุกกรรมการการเลือกตั้ง 3 คน (ที่ไม่ได้รวมอยู่ในสำนวนที่อัยการส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพราะศาลอาญาตัดสินกรณีนี้หลังจากที่อัยการส่งสำนวนไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้ว) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ผมได้นำเสนอไว้ในตอนกลางของบทบรรณาธิการนี้แล้ว หากพิสูจน์ได้ว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำของกรรมการการเลือกตั้งกับพรรคไทยรักไทยดังที่ปรากฏในคำพิพากษาดังกล่าว ก็คงต้องบอกไว้เลยนะครับว่า ถูกยุบแน่เพราะสิ่งที่กล่าวถึงนั้นชัดเจนเหลือเกินครับ!
ในสัปดาห์นี้ เรามีบทความนำเสนอรวม 2 บทความด้วยกัน บทความแรกเป็นบทความของคุณชำนาญ จันทร์เรือง สมาชิกประจำของเราที่กรุณาส่งบทความมาร่วมเผยแพร่อย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในครั้งนี้ คุณชำนาญฯเสนอบทความ เรื่อง ทฤษฎีเกมแห่งอำนาจ (Game of Power Theory) ส่วนบทความที่สองเป็นบทความของนาวาอากาศตรีพงศ์ธร สัตย์เจริญ แห่งกองพระธรรมนูญ กรมสารบรรณทหารอากาศ ที่ได้ส่งบทความเรื่อง ปัญหาสัญญาทางปกครอง มาร่วมกับเรา ผมต้องขอขอบคุณเจ้าของบทความทั้งสองไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2549 ครับ
ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|