|
|
|
|
|
"ร่างกฎหมาย 2 ฉบับ ที่ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย:ใครต้องรับผิดชอบครับ!"
สองสัปดาห์สุดท้ายของปี พ.ศ.2546 คงเป็นสองสัปดาห์ที่ เหนื่อยที่สุด ของรัฐบาลนะครับ ก็อย่างที่เราทั้งหลายทราบกันดีอยู่แล้วว่าร่างกฎหมาย ผิดอีกแล้ว !!! ครับ
เมื่อเดือนที่ผ่านมา หลาย ๆ คนคงยังจำได้ไม่ลืมว่า พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างกฎหมายสองฉบับคือ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบหกรอบ 12 สิงหาคม 2546 พ.ศ. .... เนื่องจากมี ข้อผิดพลาด ในร่างกฎหมาย เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็เกิดปัญหาทำนองเดียวกันนี้อีกกับร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. .... แต่ความแตกต่างมีอยู่คือ ร่างกฎหมายฉบับหลังนี้ถูกตรวจพบข้อผิดพลาดก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวาย โดยผู้ตรวจพบคือ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีครับ
เราคงไม่พูดถึงความผิดพลาดครั้งแรก เพราะเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อน ขอบันทึกไว้ ณ ที่นี้แต่เพียงว่าร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู ฯ เกิดข้อผิดพลาดขึ้นเพราะมติของรัฐสภาผิดพลาด ส่วนร่างพระราชบัญญัติเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ฯ เกิดข้อผิดพลาดขึ้น เพราะผู้ยกร่างคือกรมธนารักษ์บรรยายลักษณะของเหรียญมาผิด!!! เราคงมานั่งพิจารณากันเฉพาะความผิดพลาดครั้งหลังคือ ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. .... ครับ ความผิดพลาดครั้งหลังนี้ทำให้หลายคนออกมาพูดออกมาแสดงความคิดเห็นทันทีครับ โดยเท่าที่รับฟังและอ่านพบคงมีความเห็นอยู่สองประการเกี่ยวกับ ความผิดซ้ำซาก ครั้งนี้คือ ใครควรจะเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น กับควรจะทำอย่างไรกับร่างกฎหมายฉบับหลังดี
ผมคงไม่ลงไป ร่วม แสดงความคิดเห็นส่วนตัวทันทีครับ แต่ผมอยาก บันทึก ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ถึงความเห็น ของนายกรัฐมนตรีที่ได้แสดงไว้เมื่อพบว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในร่างกฎหมายมหาวิทยาลัยราชภัฏครับ ท่านผู้นำของเราบอกว่า เรื่องนี้เป็นความบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกฝ่ายอาจเร่งรีบอยากให้กฎหมายออกมาใช้เร็ว ๆ จึงมีข้อบกพร่องไปบ้าง.......... ............เอาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชาวบ้านดีกว่า เรื่องอย่างนี้มันไม่เกิดประโยชน์กับใครเลย.......... .............เรื่องนี้มัวแต่มาชักเย่อกันให้เสียเวลา อย่าเอาเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
พิจารณาดู วาทะ ของท่านผู้นำแล้วก็บังเกิดความรู้สึกแปลก ๆ แต่อย่างไรก็ตามผมคงไม่ อาจเอื้อม ไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรท่านผู้นำทั้งสิ้น ก็อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่แหละครับว่า นักวิชาการในสมัยนี้ย่อมต้องรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร!! แต่สิ่งที่ผมอยากจะกล่าวถึงไว้ ณ ที่นี้ก็คือ ระบบการผลิตกฎหมายของเราครับ
ทุกคนคงทราบและเข้าใจดีเช่นที่ผมทราบและเข้าใจ (ทุกคนในที่นี้ย่อมหมายรวมถึงสมาชิกรัฐสภาด้วยนะครับ !!) ว่า หน้าที่ของสมาชิกรัฐสภานั้นคืออะไร? คงไม่จำเป็นต้องมานั่งแจงว่าหน้าที่ทั้งหลายของสมาชิกรัฐสภานั้นมีอะไรบ้าง เราพิจารณากันเฉพาะหน้าที่หลักของสมาชิกรัฐสภาในฐานะที่เป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติกันดีกว่านะครับว่า คือหน้าที่ในการจัดทำกฎหมายออกมาใช้ในประเทศ หน้าที่หลักของสมาชิกรัฐสภานี้ถือว่าเป็น สากล เพราะก็เป็นเหมือนกันทุกประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยครับ เมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาเข้ามา คนเหล่านี้ก็จะหอบหิ้วกระเป๋าเดินทาง ทิ้งถิ่นที่อยู่ของตนมุ่งหน้ามาสู่รัฐสภา เพื่อ ผลิต กฎหมายที่จำเป็นสำหรับประเทศออกมาใช้ครับ!! ขอย้ำว่านี่คือหน้าที่หลักของสมาชิกรัฐสภาครับ!! สมาชิกรัฐสภาของเราก็มีหน้าที่ดังที่กล่าวไปแล้วเช่นกัน ผมไม่อยากก้าวไปไกลเพื่อไปพูดถึง คุณสมบัติ ของคนที่จะมาเป็นสมาชิกรัฐสภาว่า ควรจะต้องเป็นนักกฎหมายระดับสูงและมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายระดับสูง เพราะต้องมา ผลิต กฎหมายใช้สำหรับคนทั้งประเทศ เพราะประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ผมอยากจะขอให้เราลองพิจารณาดูว่า สมาชิกรัฐสภาซึ่งทำงานสัปดาห์ละบางวันคือ วันประชุมสภาและวันประชุมกรรมาธิการ และมีรายได้จำนวนมากต่อเดือนนั้น ได้ทำหน้าที่หลักของตนดีแล้วหรือไม่ อย่างไร ข้อผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้ครับ เรื่องนี้คงไม่มีใครเถียง แต่ข้อผิดพลาดที่มีผลกระทบต่อคน 60 กว่าล้านคนนั้น ควรเกิดขึ้นหรือไม่ ควรที่คนรับอาสาเข้ามาผลิตกฎหมายจะ ไม่ละเอียด ถึงขนาดแล้วปล่อยปัญหาที่เกิดขึ้นให้กับคนอีก 60 ล้านคนหรือไม่ เรื่องนี้คงมีคนตอบได้อยู่ในใจแล้วนะครับ สมัยผมรับราชการอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อปี พ.ศ.2530-2533 ผมยังจำได้ว่า ผมซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยคนหนึ่งได้ตรวจร่างกฎกระทรวงฉบับหนึ่งแล้วมีข้อผิดพลาดขึ้นคือ มีการพิมพ์ผิด 1 ตัว ผมไม่ลืมเลยว่าผมถูกเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาในขณะนั้นคือ ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ เรียกไปอบรมอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง โดยมีประเด็นหลักในการอบรมครั้งนั้นคือ ผมคงไม่สามารถเป็นนักกฎหมายที่ดีได้ถ้าไม่ละเอียดรอบคอบ!!
เมื่อพิจารณาถึง ข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นแล้ว จึงย่อมโทษใครไม่ได้เลยนอกจากจะโทษ สมาชิกรัฐสภา นั่นแหละครับ ผมคิดว่าเมื่อเรามีหน้าที่อะไรแล้ว เราก็ต้องทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุดนะครับ ความผิดเกิดขึ้นได้ แต่ก็คงต้องพยายาม หลีกเลี่ยง ให้มากที่สุด เรื่องนี้คงเป็นอุทธาหรณ์สำคัญสำหรับรัฐสภาว่าจะต้องมีการปฏิรูปกระบวนการร่างกฎหมายเสียใหม่แล้วล่ะครับ!! ส่วนจะปฏิรูปอย่างไรนั้น ผมเชื่อว่ามีคนเขียนและพูดไว้บ้างแล้ว ที่น่าสนใจที่สุดก็คือการนำเอาระบบ rapporteur หรืออาจแปลว่า นิติกรเจ้าของร่างกฎหมาย มาใช้ และการทำ ตารางเปรียบเทียบ ความเปลี่ยนแปลงของร่างกฎหมายทุกขั้นตอนนับแต่ยกร่างโดยหน่วยงานไปจนถึงการประกาศใช้บังคับว่ามีความเปลี่ยนแปลงในขั้นตอนไหน อย่างไรครับ เพราะในฝรั่งเศสใช้ระบบนี้อยู่แล้วก็เกิดผลดีครับ อันที่จริงผมเคยเขียนหนังสือเล่มหนึ่งให้กับสถาบันนโยบายศึกษาเรื่อง องค์กรชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล เมื่อปี พ.ศ.2542 ในหนังสือเล่มนั้น ผมได้นำเสนอ กระบวนการ จัดทำร่างกฎหมายที่เหมาะสมที่มีการเปรียบเทียบแสดงความแตกต่างระหว่างร่างกฎหมายในขั้นตอนต่าง ๆ ครับ การทำตารางเปรียบเทียบทุกขั้นตอนของร่างกฎหมายนี้จะทำให้เราพบว่า สาระสำคัญของกฎหมายเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างนับแต่ร่างแรกและเกิดข้อผิดพลาดขึ้นในขั้นตอนใดครับ
ส่วนเรื่องการ หาตัวคนผิด นั้น ผมเองไม่เคยคิดว่าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการหรือช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการจะต้องรับผิดชอบ เพราะข้อผิดพลาดนี้เกิดขึ้นในชั้นของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยเกิดจากการพิจารณาและจัดทำร่างกฎหมายในรัฐสภาครับ คนที่ต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่คือ ท่านผู้นำ เพราะท่าน กุม เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอยู่แล้ว ส่วนผู้ที่จะต้องรับผิดชอบรายต่อไปควรจะเป็นผู้ที่ ต้อง ตรวจสอบความถูกต้องของร่างกฎหมาย (ในกระบวนการธุรการ) ที่ผ่านการพิจารณาของ สภา ไปแล้ว ผู้นั้นอาจเป็น เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร หรือ เลขาธิการวุฒิสภา แล้วแต่ว่าร่างกฎหมายนั้นจะ จบ ที่สภาไหนครับ!! และนอกจากนี้ สมาชิกรัฐสภา ที่เป็นเจ้าของ ข้อผิดพลาด นั้นคงปฏิเสธความรับผิดชอบของตนไม่ได้หรอกครับ
เพื่อให้สอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้น ในสัปดาห์นี้เรามีบทความที่ดีมาก ๆ ของเลขาธิการคณะรัฐมนตรีคือ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่ได้เขียนขึ้นเพื่อ หาทางออก ให้กับปัญหาร่างกฎหมายผิดพลาด โดยบทความที่ได้ลงเผยแพร่ใน website ของสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีคือ www.cabinet.thaigov.go.th ไปแล้วเมื่อวันพุธ-พฤหัสบดีที่ 24-25 ธันวาคมที่ผ่านมา และผมได้ขออนุญาตท่านอาจารย์บวรศักดิ์ ฯ นำมาลงใน www.pub-law.net ของเราด้วย บทความนี้มีชื่อว่า ร่างกฎหมายที่ผ่านรัฐสภาผิด : จะป้องกันและแก้ไขอย่างไร และนอกจากบทความนี้แล้ว เรายังมีบทความดี ๆ อีกสองบทความคือ บทความเรื่อง สังคมประชาธิปไตยไทยวัย 71 ของ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบทความเรื่อง Thailands Public Consultation Law : Opening the Door to Public Information Access and Participation ของคุณปกรณ์ นิลประพันธ์ แห่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ได้เขียนอธิบายร่างกฎหมายเกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นภาษาอังกฤษ นักศึกษาไทยที่อยู่ในต่างประเทศคงดีใจนะครับที่เห็นข้อมูลเหล่านี้ นอกจากบทความทั้งสามแล้ว เราก็มีการตอบคำถามและแนะนำหนังสือใหม่ด้วยครับ
ในนามของ www.pub-law.net ผมขออวยพรให้ผู้ใช้บริการและครอบครัว จงประสบแต่ความสุขและความสำเร็จตลอดปี 2547 ครับ และผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในต่างประเทศ ก็อย่าลืมนะครับว่ามีคนเอาใจช่วยอยู่และรอยินดีกับความสำเร็จที่จะมาถึงครับ
พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 12 มกราคม 2547 ครับ
รองศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|