|
|
|
|
|
สำหรับวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคมถึงวันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน 2556
ความเป็นกลางทางการเมือง
พักนี้มีแต่ข่าว ความเสื่อมถอย ของสภาผู้แทนราษฎรออกมามาก คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็น การทำลายตัวเอง ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางคนที่ใช้เวทีประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นที่ระบาย ความโกรธแค้น จนทำให้การประชุมสภาผู้แทนราษฎรกลายเป็นการประชุมที่ "ไม่มีสาระ" เพราะมีแต่การประท้วงทุกนาทีเพื่อขัดขวางการพิจารณาเนื้อหาของร่างกฎหมายหรือร่างรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการแสดงกิริยาแบบ สุดแสนจะทน ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางคน ทำให้ คุณค่า ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ทรงเกียรติ หมดไป ครับ
ข่าวข้างต้นกลบข่าวสำคัญที่สุดข่าวหนึ่งในแวดวง กฎหมายมหาชน ข่าวหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย นั่นคือ ข่าวของการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้
เรื่องเดิมมีอยู่ว่า นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้ทำหนังสือแจ้งต่อสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอลาออกจากการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา ส่วนเหตุผลที่ขอลาออกก็เนื่องมาจากได้ตกลงกับคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเอาไว้ว่าจะดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญไม่เกิน 2 ปี เมื่อนายวสันต์ฯ ลาออกจึงต้องมีกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่
คงไม่ต้องกล่าวถึง บทบาท ของนายวสันต์ฯ ที่ผ่านมาคงจำกันได้และทราบกันดีอยู่แล้วว่า สมัยที่ยังเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้นั้น นายวสันต์ฯ ได้สร้าง ความแปลกใหม่ ให้กับวงการกฎหมายมาแล้วหลายๆ เรื่อง แล้วก็มากขึ้นไปอีก เมื่อดำรงตำแหน่งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ
เมื่อคนหนึ่งพ้นไป ก็ต้องมีคนใหม่มา
ศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2550 ประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 9 คน (รวมประธานศาลรัฐธรรมนูญด้วยแล้ว) มีที่มาจาก 4 แหล่งด้วยกัน ซึ่งนายวสันต์ฯ นั้นมีที่มาจาก ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ตามมาตรา 204(3) แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเมื่อนายวสันต์ฯ ลาออก จึงต้องดำเนินการตามมาตรา 206 แห่งรัฐธรรมนูญ คือ สรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ โดยรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ให้มีคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคณะหนึ่ง ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญซึ่งเลือกกันเองให้เหลือคนหนึ่ง โดยคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้ทรงคุณวุฒินี้ที่จะต้องดำเนินการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีเหตุทำให้ต้องมีการเลือกบุคคลให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว จากนั้นก็ต้องเสนอรายชื่อผู้ได้รับการเลือกรวมทั้งความยินยอมของผู้นั้นต่อประธานวุฒิสภาเพื่อมีมติให้ความเห็นชอบบุคคลดังกล่าวต่อไป รายละเอียดของการดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ปรากฏอยู่ในมาตรา 206 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันครับ
มีข่าวออกมาว่า มีการเปิดรับสมัครผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทนนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ในระหว่างวันที่ 6-13 สิงหาคม ปรากฏว่ามีผู้สมัครเข้ารับการสรรหาจำนวน 9 คน
ไม่มีข่าวออกมามากนักเกี่ยวกับกระบวนการสรรหาบุคคลที่มีความเหมาะสมที่จะเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อศึกษาจากตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องก็จะพบว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 205 แห่งรัฐธรรมนูญ เช่น ต้องเคยดำรงตำแหน่งระดับสูงบางตำแหน่งมาก่อน ต้องไม่ดำรงตำแหน่งหรือไม่เคยดำรงตำแหน่งบางตำแหน่ง ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามของผู้ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 102 ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นผมไม่ทราบว่ามีกระบวนการอย่างไรในการสรรหาครับ
กลับมาพิจารณาดูสภาพสังคมในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ความรักความเกลียดทำให้สังคมของเราแบ่งออกเป็น 2 ขั้วอย่างชัดแจน แต่ละขั้วต่างก็มี ผู้สนับสนุน ที่บางคนก็ชัดเจน บางคนก็ไม่ชัดเจน บรรดา ผู้สนับสนุน เหล่านี้แทรกตัวอยู่ในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน ภาครัฐ ในฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ต่อมา เมื่อมีปัญหา 2 มาตรฐานเกิดขึ้นในการพิจารณาคดี คนจำนวนมากก็พุ่งเป้าโจมตีไปยังฝ่ายตุลาการว่า เลือกข้าง ด้วยเช่นกัน ศาลรัฐธรรมนูญนับได้ว่าเป็นองค์กรตุลาการที่ถูกโจมตีมากที่สุดว่า ไม่เป็นกลาง
อันที่จริง ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ได้สร้าง เครื่องมือ ที่เป็น หลักประกัน ในการทำงานของตัวเองอยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่น ประมวลจริยธรรมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีผลใช้บังคับไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 ในข้อ 9 ก็ได้กำหนดเอาไว้ว่า ยึดมั่นความเป็นอิสระ และเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่หวั่นไหวต่อกระแสหรือแรงกดดันใดๆ แต่ที่ผ่านมา ในหลายๆ คำวินิจฉัยหรือคำสั่ง รวมทั้งในการให้สัมภาษณ์ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน เรากลับพบว่ามีความน่าสงสัยในความเป็นกลางอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
นอกจากนี้ คุณสมบัติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญก็ไม่มีการกำหนดถึงเรื่อง ความเป็นกลางทางการเมือง เอาไว้ด้วย
ในเรื่อง ความเป็นกลางทางการเมือง นั้น เราอาจพิจารณาเทียบเคียงได้จากเกณฑ์ที่กำหนดไว้สำหรับข้าราชการพลเรือน โดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของข้าราชการพลเรือนในทางการเมืองไว้ในหลายมาตรา เช่น มาตรา 43 กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนสามัญมีเสรีภาพในการรวมกลุ่ม แต่ต้องไม่กระทบต่อประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินและความต่อเนื่องในการจัดทำบริการสาธารณะและต้องไม่มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง ส่วนมาตรา 81 ก็กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ มาตรา 82(9) กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมืองในการปฏิบัติหน้าที่ราชการและในการปฏิบัติการอื่นที่เกี่ยวข้องกับประชาชน กับจะต้องปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการว่าด้วยมารยาททางการเมืองของข้าราชการด้วย
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยมารยาททางการเมืองของข้าราชการการเมือง ลงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2499 กำหนดไว้ว่าข้าราชการพลเรือนจะนิยมหรือเป็นสมาชิกในพรรคการเมืองใดๆ ที่ตั้งโดยชอบด้วยกฎหมายและจะไปในการประชุมของพรรคการเมืองนั้นเป็นการส่วนตัวก็ได้ แต่ในทางที่เกี่ยวกับประชาชนและในหน้าที่ราชการจะต้องกระทำตัวเป็นกลางปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลโดยไม่คำนึงถึงพรรคการเมือง และต้องไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามดังต่อไปนี้
(1) ไม่ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองใดๆ เว้นแต่ผู้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภท 2 หรือข้าราชการการเมือง
(2) ไม่ใช้สถานที่ราชการในกิจการทางการเมือง
(3) ไม่วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของรัฐบาลให้ปรากฏแก่ประชาชน
(4) ไม่แต่งเครื่องแบบราชการไปร่วมประชุมพรรคการเมืองหรือไปร่วมประชุมในที่สาธารณะสถานใดๆ อันเป็นการประชุมที่มีลักษณะทางการเมือง
(5) ไม่ประดับเครื่องหมายพรรคการเมืองในเวลาสวมเครื่องแบบราชการหรือในเวลาราชการ หรือในสถานที่ราชการ
(6) ไม่แต่งเครื่องแบบของพรรคการเมืองเข้าไปในสถานที่ราชการ
(7) ไม่บังคับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือประชาชนเป็นสมาชิกในพรรคการเมืองและไม่กระทำการในทางให้คุณให้โทษ เพราะเหตุที่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือประชาชนนิยมหรือเป็นสมาชิกในพรรคการเมืองใดที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย
(8) ไม่ทำการขอร้องให้บุคคลใดอุทิศเงินหรือทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แก่พรรคการเมือง
(9) ไม่โฆษณาหาเสียงเพื่อประโยชน์แก่พรรคการเมือง หรือแสดงการสนับสนุนพรรคการเมืองใดๆ ให้เป็นการเปิดเผยในที่ประชุมพรรคการเมือง และในที่ที่ปรากฏแก่ประชาชน หรือเขียนจดหมายหรือบทความไปลงหนังสือพิมพ์ หรือพิมพ์หนังสือหรือใบปลิวซึ่งจะจำหน่ายแจกจ่ายไปยังประชาชน อันเป็นข้อความที่มีลักษณะของการเมือง
(10) ไม่ปฏิบัติหน้าที่แทรกแซงทางการเมือง หรือใช้การเมืองเป็นเครื่องมือเพื่อกระทำกิจการต่างๆ อาทิเช่น วิ่งเต้นติดต่อกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือพรรคการเมืองเพื่อให้นำร่างพระราชบัญญัติหรือญัตติเสนอสภาฯ หรือตั้งกระทู้ถามรัฐบาล
(11) ในระยะเวลาที่มีการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่แสดงออกโดยตรงหรือ โดยปริยาย ที่จะเป็นการช่วยเหลือส่งเสริมสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้ง และในทางกลับกัน ไม่กีดกัน ตำหนิติเตียน ทับถม หรือให้ร้ายผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ข้าราชการผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนระเบียบนี้ ถือว่ากระทำผิดวินัยฐานไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ
คงเห็นถึง ข้อแตกต่าง ระหว่าง ข้าราชการพลเรือน ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยมารยาททางการเมืองของข้าราชการการเมือง ลงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2499 กับ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามที่กำหนดไว้ในประกาศศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องประมวลจริยธรรมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 แล้วว่า มีความเข้มข้นที่ไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ตุลาการน่าจะต้องมีมากกว่าข้าราชการพลเรือน
ที่ผ่านมา เรามีปัญหาและมีข้อสงสัยอย่างมากถึง ความเป็นกลาง ของตุลาการซึ่งในบางเรื่องก็อาจเป็นเพียงข้อสงสัยหรือเป็นเรื่องของความไม่ไว้วางใจเป็นส่วนตัวอันสืบเนื่องมาจากพฤติการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตก่อนที่จะมาเป็นตุลาการ ในวันนี้ เมื่อมีการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ แม้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมิได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเอาไว้ว่าจะต้องมีความเป็นกลางทางการเมืองอันเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้ทรงคุณวุฒิจะ กรุณา เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ ก็ควรจะต้องดำเนินการให้ได้มาซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ ควรจะเป็น เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่ทั่วไปแล้วว่า ผู้สมัครเข้ารับการสรรหาบางคนนั้นนอกจากจะไม่เป็นกลางทางการเมืองแล้วยังแสดงตัวออกมาอย่างชัดเจนว่าอยู่ฝ่ายใดกลุ่มใดอีกด้วย
ผมไม่ทราบจริงๆ ว่า กระบวนการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาได้ทำการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้สมัครเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้สาธารณชนทราบหรือไม่ รวมทั้งมีการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอข้อมูลเกี่ยวกับผู้สมัครเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพื่อประกอบการพิจารณาสรรหาด้วยหรือไม่ หากคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้ทรงคุณวุฒิทำเช่นที่ว่า ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่ น่าจะ ทำให้เราได้ตัวบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านรัฐธรรมนูญจริงๆ และมีความเป็นกลางทางการเมืองเข้ามาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่ในทางกลับกัน หากกระบวนการสรรหาเป็นกระบวนการภายในที่ ทำกันเอง ก็คงต้องจับตาดูกันอย่างตั้งใจว่าผู้ได้รับการสรรหาเป็นใคร มีความเป็นกลางทางการเมืองหรือไม่
ก็ได้แต่หวังว่า เราคงได้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ดี มีความเป็นกลางทางการเมือง มีความเชี่ยวชาญด้านรัฐธรรมนูญอย่างจริงจัง
ไม่อยากให้เป็น คราวเคราะห์ ซ้ำซากของประเทศไทยอีกที่แม้จะ เก่าไปใหม่มา แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อองค์กร ต่อระบบกฎหมายและต่อประเทศชาติอย่างไม่รู้จบครับ!!!
ในสัปดาห์นี้ เรามีบทความมานำเสนอเพียงบทความเดียว คือบทความเรื่อง สื่อเลือกข้างได้หรือไม่ ที่เขียนโดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง ขอขอบคุณที่ส่งบทความมาให้เราอย่างสม่ำเสมอครับ
พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2556 ครับ
ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|