คนขี่เสือ ; He Who Rides a Tiger โดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง

3 กันยายน 2549 22:16 น.

       “เขาได้ขึ้นควบขับความเท็จไป
       เสมือนหนึ่งว่ามันคือเสือ
       
ซึ่งเขาไม่สามารถจะลงมาจากหลังของมันได้
       เพราะเสือก็จะตะครุบตัวเขากินเสีย”
       
       ท่ามกลางสภาวะของการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของนายกทักษิณ ว่าจะอยู่หรือจะเว้นวรรคทางการเมืองดี บางวันก็บอกว่าพร้อมที่จะสู้ต่อไป บางวันก็บอกว่ารู้สึกท้อถอย ทำให้ผมนึกถึงวรรณกรรมชั้นเอกของอินเดียเรื่องหนึ่งที่เขียนขึ้นเมื่อกว่า ๕๐ ปี มาแล้ว (๑๙๕๔) แต่ก็ยังโด่งดังไปทั่วโลก จวบจนปัจจุบันมีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ แล้วหลายภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคภาษาไทยก็มีผู้แปลถึงสองสำนวนคือ ทวีป วรดิลก และ จิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งก็อ่านได้อรรถรสไปคนละแบบ
       วรรณกรรมเรื่องที่ว่านี้ก็คือ “He Who Rides a Tiger” หรือ “คนขี่เสือ” ของ Bhabani Bhattacharya นั่นเอง โดยวรรณกรรมเรื่องนี้ได้สะท้อนถึงอินเดียในยุคนั้นที่เกิดความ อดอยาก ผู้คนหิวโหยและล้มตายเป็นอันมาก ในภาวะดังกล่าวนายทุนได้กักตุนข้าวสารและสร้างความร่ำรวยท่ามกลางความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมชาติ สินค้ามีราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนต่างพยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด
       
       “คนขี่เสือ” เป็นเรื่องราวของตัวละครเอก ๒ ตัว คือ กาโลผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นช่างตีเหล็ก และจันทรเลขาลูกสาวซึ่งอยู่ในชนชั้น”กมาร” (kamar) ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของวรรณะศูทร สองพ่อลูกได้ต่อสู้กับปัญหาของความอดอยาก วรรณะ และความเชื่อศาสนาอย่างถึงแก่น โดยปลอมแปลงวรรณะของตนเองจากวรรณะศูทรเป็นวรรณะพราหมณ์ และได้สร้างปาฏิหาริย์โดยการเอาหิน ที่มีขนาดพอเหมาะสำหรับแกะสลักเป็นพระศิวะ โดยทำให้กลวงแล้วเอาไปเผาไฟเพื่อให้ดูเก่า แล้วขุดหลุม จากนั้นก็เอากระป๋องเปล่าที่มีขนาดและรูปร่างพอดีกันฝังลงไปแล้วเท “ถั่วจนา” ซึ่งเป็นถั่วชนิดหนึ่งที่งอกเร็วเป็นพิเศษ ใส่ลงไปข้างใน แล้วเอาหินรูปพระศิวะวางลงบนกองถั่ว เว้นช่องระหว่างหินไว้เพื่อให้ถั่วงอกขึ้นมาโดยเอาดินร่วนใส่ข้างบน เมื่อรดน้ำลงไปถั่วก็งอกพร้อม ๆ กัน ถั่ว ที่งอกก็จะดันดินให้หินรูปจำลองพระศิวะโผล่ขึ้นมาทีละเล็กละน้อย ๆ ผู้คนพากันหลงเชื่อว่าเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ลาภสักการะก็ไหลมาเทมาสู่สองพ่อลูกแต่สองพ่อลูกก็ต้องเผชิญกับภาวะทุกข์ระทมจากลาภสักการะที่ได้มาจากความเท็จเพราะไม่รู้ว่าเมื่อใดความจริงที่ปกปิดเอาไว้จะถูกเปิดเผยออกมา จึงเสมือนหนึ่งการขึ้นหลังเสือ จะลงก็ลงไม่ได้ เพราะจะถูกเสือกัด แต่ในที่สุดเขาก็กระทำการเสมือนหนึ่งการ “ฆ่าเสือ” เสียให้ตายก่อนที่ตนเองจะถูกเสือกัด โดยการประกาศต่อหน้าคนที่มากราบไหว้สักการบูชาที่มีทั้งคนในวรรณะพราหมณ์และคนชั้นสูงตลอดจนนายทุนที่ขูดรีดเลือดเนื้อคนจนทั้งหลายว่าแท้จริงแล้วตนเองไม่ใช่ “พราหมณ์” พร้อมทั้งประกาศเยาะเย้ยต่อพวกที่หลงบูชาหรือเลื่อมใสพิธีกรรมจอมปลอมที่ตนเองได้สร้างขึ้นมา และจากวรรณกรรมชิ้นนี้เอง คนขี่เสือก็เลยเป็นที่มาของสำนวนที่หมายถึงคนที่อยู่กับความเท็จแล้วลงจากหลังเสือไม่ได้ ลงมาก็จะถูกเสือกัด ขี่ต่อไปก็ทุกข์ทรมาน นอกเสียจากว่า จะฆ่าเสือให้ตายดังเช่น กาโล ในเรื่องคนขี่เสือนี้เสียก่อน
       
       “คนขี่เสือ” นอกจากจะให้ข้อคิดในเรื่องของการก้าวลงจากบัลลังก์แห่งอำนาจกลับสู่สามัญที่เป็นจริงแล้ว ยังให้ข้อคิดที่ว่า สองพ่อลูกนี้แต่เดิมเคยถูกทุบตี กลั่นแกล้ง แต่เมื่อปลอมตัวขึ้นมาหรือว่ามีอำนาจขึ้นมาก็มีแต่คนมาสยบยอมเพียงเพราะการขยับวรรณะแบบปลอม ๆ
       
       จากเรื่องราวของ “คนขี่เสือ” นี้ เมื่อเรานำมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์บ้านเมืองของไทยเราในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตัวผู้นำหรือนายกทักษิณแล้ว ผมเข้าใจว่าขณะนี้คงเป็นนายกรัฐมนตรีอภิมหาเศรษฐีที่มีความทุกข์ที่สุดในโลก เพราะเปรียบเสมือนหนึ่งสองพ่อลูก “กาโล” และ “จันทรเลขา” ที่ขี่หลังเสืออยู่ จะลงก็ลงไม่ได้เพราะจะถูกเสือขบกัดเอา ไม่ว่าจะเป็นการตาม “เช็คบิล” ของฝ่ายพันธมิตรฯ หรือการถูกฟ้องร้องเป็นคดีความในโรงในศาลแต่ครั้นจะฝืนอยู่ต่อก็ลำบาก เพราะไหนจะต้องเผชิญศึกกับ “ผู้มีบารมี” แล้ว ยังจะต้องผจญศึกกับฝ่ายต่อต้านอื่นอีก ไม่ว่าจะเป็นการตามไปตะโกนด่าอย่างเป็นขบวนการหรือตะโกนด่าโดยอัตโนมัติด้วยความเกลียดชังจนต้องยกเลิกกำหนดการไปในหลาย ๆ ครั้ง
       
       จริงอยู่คะแนนเสียงของนายกทักษิณหรือพรรคไทยรักไทยที่ได้รับมีเป็นจำนวนหลายล้านเสียง แต่เสียงคัดค้านก็มีหลายล้านเสียงเช่นกัน ถึงแม้ว่าเสียงคัดค้านจะดูน้อยกว่าก็ตาม แต่การที่ผู้นำประเทศมีคนคัดค้านเป็นล้านๆคนเช่นนี้ก็มิใช่เป็นประเด็นเล็กน้อยที่จะถูกมองข้ามไปได้
       
       เสียงคัดค้านที่ว่านี้นับวันมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากฟางเส้นสุดท้ายสะบั้นลงโดยการขายหุ้นเจ็ดหมื่นกว่าล้านบาทนั่นเอง เสียงคัดค้านลุกลามไปทั่ว คนเดือนตุลาฯก็ออกมาประทะคารมกันเองถึงกับประกาศตัดขาดจากบัญชีของความเป็นเพื่อน หรือแม้แต่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของนายกทักษิณเองก็ไม่เว้น ล่าสุดคนเชียงใหม่ที่เชียร์ทักษิณก็ถึงกับออกใบปลิวมาด่าหรือต่อต้านคนเชียงใหม่ที่ต่อต้านทักษิณอย่างรุนแรง ดังเป็นข่าวที่ทราบกันทั่วไป
       
       ล่าสุดแม้แต่การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายทหารยศร้อยโทได้พร้อมกับวัตถุระเบิดเต็มคันรถในบริเวณใกล้บ้านพักของนายกทักษิณ คลื่นกระแสของความคิดเห็นกลับแยกออกเป็นหลายทาง มีทั้งที่เห็นว่าน่าจะเป็นการเตรียมการลอบสังหารจริง และก็มีทั้งที่เห็นว่าน่าจะเป็นการจัดฉากและยังถือว่าเป็นการจัดฉากที่ไม่ได้เรื่อง เพราะเห็นว่าจากพยานและพฤติกรรมแวดล้อมพบข้อพิรุธหลายประการทั้งในเรื่องอุปกรณ์ระเบิดที่ยังไม่พร้อมที่จะใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ต้องหาที่ถูกจับได้นั้น เป็นนายทหารที่มีหลักแหล่งแน่นอนมีลูกมีเมียย่อมที่จะไม่คิดกระทำการอันเป็นเหตุที่ตนเองต้องเสียชีวิตด้วยเป็นแน่ ที่สำคัญคือเป็นนายทหารสารบรรณที่ไม่มีความรู้เรื่องระเบิดเสียด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำพี่ชายของผู้ต้องหาออกมาเปิดเผยว่าน้องชายตนเองชื่นชอบนายกทักษิณเป็นพิเศษเสียด้วย
       
       อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือการจัดฉากก็ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นผลดีต่อนายกทักษิณทั้งสิ้น หากเป็นเรื่องจริง ครั้งนี้ไม่สำเร็จ ครั้งที่สองที่สามก็คงต้องมีตามมาอีก การปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกฯมีปัญหาแน่นอน แต่หากเป็นการจัดฉากขึ้นมาไม่ว่าจะกระทำโดยใคร นายกทักษิณจะรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ก็ตาม ก็จะเป็นการสร้างความอับอายขายหน้าให้แก่นายกทักษิณและวงการตำรวจไทยไปทั่วโลกอย่างแน่นอน
       
       คิดแล้วก็น่าเห็นใจนายกทักษิณเป็นอย่างยิ่งที่ต้องประสบกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ เพราะมีทั้งคนรักจนกระทั่งเรียกได้ว่า “คลั่ง” ถึงขนาดเข้าทำร้ายทุบตีฝ่ายต่อต้านด้วยตนเอง และมีทั้งคนไม่ชอบถึงขนาดที่เรียกได้ว่า “เกลียดเข้ากระดูก” จนถึงกับประสงค์ต่อชีวิตเลยทีเดียว
       แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าก็คือ สยามประเทศของเรานั่นเองที่ต้องอยู่ภายใต้ การนำของนายกรัฐมนตรีที่ยังขี่หลังเสืออยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายเช่นนี้
       

       ----------------------


พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=960
เวลา 23 พฤศจิกายน 2567 00:41 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)