ครั้งที่ 71

15 ธันวาคม 2547 13:54 น.

       "เสนอรัฐบาลให้ประกาศสงครามกับการทุจริตคอรัปชั่นรัฐบาล"
       สำหรับหลายคน ๆ คนนั้น เดือนสุดท้ายของปีเป็นเดือนแห่งความสนุก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเดือนแห่งความยุ่งเหยิงของผู้ประกอบกิจการหลาย ๆ แห่งที่ต้องพยายาม “เร่ง” ระบายสินค้าของตัวเองให้หมด เพื่อที่จะได้ “ตัวเลข” ที่แสดงให้เห็นถึงสถานะของผลประกอบการของปี จะเห็นได้ว่าห้างสรรพสินค้าและร้านค้าหลาย ๆ แห่งต่างพากันลดราคาสินค้าของตนกันอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
       ผมมีโอกาสได้ไปเดินห้างสรรพสินค้าในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาหลายครั้ง เพราะมีเพื่อนมาจากฝรั่งเศส คนต่างชาติ ”สนุก” กับการซื้อสินค้าของเรามาก เพราะนอกจากจะคุณภาพดีแล้ว ราคาก็ยังถูกกว่าที่บ้านเขาอีกด้วย เท่าที่เดินห้างสรรพสินค้าอยู่ 2-3 วัน ก็พบว่าส่วนใหญ่แล้ว จะลดราคากันเกือบทุกอย่าง แต่ที่น่าสังเกตคือ มีคนต่างชาติจับจ่ายกันมากกว่าคนไทย ก็เป็นสิ่งที่ดีครับที่เราสามารถ “ดึงเงิน” จากต่างชาติเข้ามาในบ้านเราได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเที่ยวงาน “มหกรรมยานยนตร์” ด้วย ซึ่งในสถานที่ดังกล่าว กลับปรากฏว่ามีคนไทยไปจับจ่ายกันมากกว่าคนต่างชาติ ดูตัวเลขแล้วจะพบว่าคนไทยซื้อรถกันเยอะจริง ๆ ครับ ผมได้คุยกับพนักงานขายรถ 2-3 คนที่ขายรถราคาแพงมาก ๆ แพงขนาดซื้อห้องแถวได้หลายห้องติดกัน พนักงานบอกว่าขายไปได้ 3 คันแล้ว ก็ไม่น่าเชื่อนะครับว่าคนเราจะกล้าใช้เงินจำนวนมหาศาล เพื่อซื้อรถยนต์เพียง 1 คัน นอกจากนี้แล้ว พนักงานขายคนดังกล่าวยังแอบกระซิบบอกด้วยความภาคภูมิใจว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักการเมือง แล้วก็ซื้อรถแพง ๆ พวกนี้ให้ลูก ๆ ของตนเองใช้ครับ !!!
       ในช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศสงครามกับ “ยาเสพติด” ไปแล้ว จะได้ผลหรือไม่ ประชาชนเป็นผู้ตัดสินครับ ผมมานั่งนึก ๆ ดูแล้ว แม้ปัญหายาเสพติดจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับประเทศที่ต้องรีบเร่งแก้ไข แต่ปัญหาใหญ่อื่น ๆ สำหรับประเทศไทยก็ยังมีอยู่อีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่สำคัญคือ ปัญหาเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นครับ การทุจริตคอรัปชั่นฝังรากลึกอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลานานแล้ว และทำให้ประเทศไทยรวมทั้งประชาชนคนไทยต้อง “เสียโอกาส” ดี ๆ ในชีวิตไปหลายอย่าง เงินทองและทรัพย์สินจำนวนมากที่สามารถใช้สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล หรือสามารถส่งเด็กไทยเก่ง ๆ ไปเรียนหนังสือต่างประเทศได้หลายแสนคน ถูกยักย้ายถ่ายเทไปอยู่ในความครอบครองของ “ผู้มีอำนาจ” ในแต่ละยุคแต่ละสมัย เงินทองและทรัพย์สินเหล่านั้นในเวลาต่อมาก็เปลี่ยนไปเป็นรถยนต์ราคาแพง ๆ การท่องเที่ยวต่างประเทศ การใช้สินค้าราคาแพง ฯลฯ ที่เกิดประโยชน์เฉพาะตัวเท่านั้นเองครับ นึก ๆ แล้วก็น่าเสียดายนะครับที่เงินทองและทรัพย์สินเหล่านี้ต้องตกไปอยู่ในความครอบครองของคนเพียงไม่กี่คน แทนที่จะตกมาอยู่กับประชาชนทั้งประเทศ ปัญหาเรื่องการคอรัปชั่นนี้เป็นปัญหาสำคัญจริง ๆ นะครับ ผมอยากขอเสนอให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีประกาศสงครามกับการทุจริตคอรัปชั่นดูบ้างครับ ทำให้เหมือนกับการประกาศสงครามกับยาเสพติด แต่คงไม่ต้องถึงกับมีการตายจำนวนมากเช่นนั้น เพราะผมเข้าใจว่าประชาชนคนไทยส่วนใหญ่คงจะ “พอใจ” หากเห็นผู้ทุจริตคอรัปชั่นต้องชดใช้กรรมอยู่ในคุกครับ หากนายกรัฐมนตรี “จริงจัง” กับปัญหาเรื่องคอรัปชั่น ผมว่าคงทำให้เมืองไทย “สูง” ขึ้นอีกเยอะเลยครับ การประกาศสงครามกับการทุจริตคอรัปชั่นจะเป็นสิ่งที่ดีและสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้กับสังคมไทย สังคมที่ปราศจากการทุจริตเป็นสิ่งที่เป็นไปได้นะครับ!!! น่าจะเป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีสามารถมอบให้กับประชาชนคนไทยครับ
       การประกาศสงครามกับการทุจริตคอรัปชั่นนี้ อาจจะต้องทำหลายรูปแบบ และอาจต้องเริ่มจาก “คนใกล้ตัว” ก่อนครับ เรื่องนี้ผมคงไม่บังอาจไปแนะนำ เพราะ “ผู้นำ” ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าใครบ้างที่ “เคย” หรือ “ยัง” ทุจริตคอรัปชั่นอยู่ สิ่งที่ผมพยายามเสนอในบทบรรณาธิการมาหลายครั้งแล้ว และก็จะขอเสนอต่อไปเรื่อย ๆ ก็คือ สมควรอย่างยิ่งที่ความผิดฐานโกงแผ่นดินหรือ ทรยศต่อประเทศชาติจะต้องเป็นความผิดที่ไม่มีอายุความครับ เหตุผลที่สนับสนุนข้อเสนอผมก็คือ ความผิดลักษณะดังกล่าวเป็นความผิดที่กระทบต่อประโยชน์สาธารณะ (public interest) ครับ คนจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นผู้เสียภาษีอาการหรือไม่ก็ตาม ต้อง “ขาดประโยชน์” ไป เนื่องจากการทุจริตคอรัปชั่นเหล่านั้น ดังนั้นจึงสมควรที่จะทำทุกวิถีทางที่จะนำเงินทองและทรัพย์สินของแผ่นดินกลับคืนมาเป็นของแผ่นดินเช่นเดิมครับ พบเมื่อไหร่ก็ต้องเอากลับคืนมาเมื่อนั้นครับ และนอกจากนี้แล้ว การมีผลย้อนหลังของเรื่องดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เราจะพบว่ามีนักการเมืองและอดีตข้าราชการบางคนที่ “ร่ำรวยผิดปกติ” และหลุดรอดไปจากการตรวจสอบของกลไกของรัฐไปได้ ก็เช่นเดียวกันครับ พบเมื่อไหร่ มีข้อมูลเมื่อไหร่และพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ทรัพย์สินเหล่านั้นมาอย่างไร ก็ต้องยึดกลับมาเป็นของแผ่นดินต่อไปครับ การประกาศสงครามกับการทุจริตคอรัปชั่นอย่างจริงจังและไม่เห็นแก่หน้าใคร จะทำให้ “ผู้นำ” เป็น “วีรบุรุษ” ตัวจริงของประเทศไทยครับ แต่ขอย้ำว่าต้องจริงจังและไม่เห็นแก่หน้าใครนะครับ ข้อเสนอข้างต้นนี้หากจะทำกันก็คงต้อง “แก้รัฐธรรมนูญ” ครับ แก้ไขหลาย ๆ ส่วน เพื่อให้มีมาตรการและกลไกรองรับการดำเนินการดังกล่าวครับ การประกาศสงครามกับการทุจริตคอรัปชั่นนี้ อาจถือได้ว่าเป็นการปฏิรูปการเมืองรอบสองของประเทศไทยทีเดียวครับ เพราะหากทำสำเร็จ เราก็จะมีระบบการเมืองและระบบราชการที่ “สะอาดขึ้น” กว่าเดิมครับ
       ในที่สุดบทความเรื่อง “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายปกครองฝรั่งเศส” ของผมก็ลงเป็นตอนสุดท้ายแล้วครับ ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่นำเผยแพร่ ผมได้รับทราบว่ามีคนจำนวนมากที่ใช้ประโยชน์และได้ประโยชน์จากบทความดังกล่าว ซึ่งก็ทำให้ผมยินดีมีความสุขไปกับข้อเท็จจริงเหล่านั้น ขณะนี้ผมได้ส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์วิญญูชนไปแล้ว คงจะพิมพ์เสร็จและวางจำหน่ายได้ประมาณปลายเดือนมกราคม 47 ครับ ก็นับเป็นหนังสือที่อ่านง่ายเล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนยากมากและใช้เวลานานพอสมควรครับ นอกจากบทความนี้แล้วก็ยังมีการแนะนำหนังสือใหม่อีก 2 เล่มในหนังสือตำรา ส่วนคำถามนั้น ผมไม่มีเวลาจริง ๆ ครับ ช่วงนี้คงต้องงดตอบไปสักพักหนึ่งครับ
       สุดท้าย ขอฝากไว้ด้วยว่า เช่นเดียวกับที่รัฐบาลรณรงค์ไม่ให้พวกเราซื้อเทปผีซีดีเถื่อน ผู้สนใจเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการทั้งหลายจะซื้อหนังสือก็อย่าลืมใช้หลักเดียวกันนะครับคือ ไม่ควรซื้อหนังสือหรือตำราที่เรียบเรียงมาจากหนังสือหรือตำราภาษาไทยเล่มอื่น ๆ ที่ “เหมือน” กับหนังสือหรือตำราของคนอื่นที่มีวางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดมาเป็นเวลานานแล้วครับ หนังสือหรือตำราประเภทดังกล่าวนอกจากจะไม่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับวงการวิชาการแล้ว ยังทำให้เสียเวลาในการอ่านหนังสือเหล่านั้นโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วยครับ
       พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม 2546 ครับ
       รองศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์


พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=88
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 18:46 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)