|
|
ครั้งที่ 105 4 เมษายน 2548 08:54 น.
|
"องค์กรเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญในฝรั่งเศส"
ผมนั่งเขียนบทบรรณาธิการนี้พร้อมๆไปกับการฟังอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 30-31 มีนาคมครับ
นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่คณะรัฐมนตรีได้ใช้กลไกตามมาตรา 213 แห่งรัฐธรรมนูญเพื่อรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกรัฐสภาในการแก้ไขปัญหาความยาก จนและปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันได้แก่ จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส จริงๆแล้วผมได้เคยเสนอความเห็นไว้เมื่อสองปีก่อนตอนที่รัฐบาลที่แล้ว พยายาม ที่จะทำการ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ว่า หากจะให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด สมควรที่จะใช้กลไกในมาตรา 213 แห่งรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวก่อนที่รัฐบาลจะตัดสินใจดำเนินการใดๆที่เกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ แต่ข้อเสนอของผมในขณะนั้นก็ไม่ได้รับความสนใจอะไรเลยครับ ก็คงต้องฝากเอาไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่าหากรัฐบาลยังคงยืนยันที่จะทำการแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่อไป ก็น่าจะใช้กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกรัฐสภาตามมาตรา 213 มาประกอบในการตัดสินใจของรัฐบาลด้วย เพราะอย่างน้อยการรับฟังความคิดเห็นของผู้แทนปวงชนชาวไทยก็ น่าจะ ได้แง่คิดที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่าการ ตัดสินใจ ดำเนินการโดยคนไม่กี่คนครับ และนอกจากนี้แล้ว การอภิปรายดังกล่าวก็ยังทำให้ ประชาชน และ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ทั้งหลายทราบถึง ข้อดี และ ข้อเสีย ของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอีกด้วยครับ ดีกว่าไปพูดกันเองหรือไปประท้วงโดยที่ยังไม่มี ข้อมูล ที่แน่นอนว่าในที่สุดแล้ว หากทำการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ประเทศชาติ ประชาชน หรือ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ใครจะ ได้ประโยชน์ มากกว่ากันครับ !!!
บทบรรณาธิการครั้งที่แล้วเกี่ยวกับการก่อสร้างศูนย์การค้าขนาดยักษ์กลางกรุงเทพฯ สร้างความ ฮือฮา พอสมควรเพราะมีหนังสือพิมพ์สองสามฉบับนำไปขยายต่อครับ จริงๆแล้วประเด็นที่ต้องการนำเสนอคงไม่ใช่ประเด็นทางด้านกฎหมาย เพราะจากการสอบถามหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารศูนย์การค้าขนาดยักษ์บนถนนพระรามที่ 1 ทำให้ทราบว่าในแง่ของกฎหมายคงไม่สามารถ ห้าม การก่อสร้างอาคารดังกล่าวได้เพราะกฎหมายไม่เปิดโอกาสให้ทำเช่นนั้นได้ แต่ประเด็นที่ กองบรรณาธิการ ของเราซึ่งเป็นผู้เขียนบทบรรณาธิการคราวที่แล้ว พยายาม จะนำเสนอประเด็นสำคัญสองประเด็น โดยในประเด็นแรกนั้นเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ การมีส่วนร่วมในสังคม ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่าครับ พวกเราส่วนใหญ่คงจะทราบว่า บนถนนพระรามที่ 1 เริ่มตั้งแต่ทางรถไฟตรงถนนสุขุมวิทไปจนถึงเชิงสะพานกษัตริย์ศึกนั้น ปัจจุบันรถจะติดมาก เพราะนอกจากจะเป็นถนนสาย ผ่าเมือง แล้ว บนถนนดังกล่าวยังเป็นที่ตั้งของ ศูนย์การค้า ที่เป็นตึกขนาดใหญ่ 8 ตึกคือ ห้างเซ็นทรัลชิดลม โซโก้ เกสรพลาซ่า เซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ มาบุญครองเซ็นเตอร์ และห้างโลตัส แล้วก็ยังมีศูนย์การค้า ทางราบ ขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งคือ สยามสแควร์ครับ ลำพังการเป็นที่ตั้งของศูนย์การค้าทั้งหลายเหล่านี้ก็สร้างปัญหาให้กับผู้ที่ต้องใช้รถใช้ถนนพระรามที่ 1 เป็นเส้นทางสัญจรอยู่แล้ว แต่นี่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเราก็จะมีอภิมหาศูนย์การค้าเกิดขึ้นอีกแห่งหนึ่งบนถนนดังกล่าวอีก ลองนึกภาพดูแล้วกันครับว่าสภาพการจราจรบนถนนดังกล่าวจะเป็นอย่างไร ดังนั้น ประเด็นแรกที่นำเสนอในบทบรรณาธิการคราวที่แล้วคงเป็นประเด็นของการเป็น ส่วนหนึ่ง ของสังคมที่สามารถ เลือก ได้ว่าจะร่วม สร้าง ความสุขให้กับผู้อยู่ร่วมในสังคม หรือจะ สร้าง ปัญหาให้กับสังคมครับ ส่วนประเด็นสำคัญประการที่สองก็คงเป็นเรื่องของ สำนึก ของ ประชาชนชาวไทย ครับ หากได้ดูรูปที่ได้นำเสนอในบทบรรณาธิการครั้งที่แล้วคงไม่ต้องพูดอะไรกันมากมายนะ ครับ การสร้างศูนย์การค้าขนาดยักษ์ให้ติดกับ วัง และ วัด น่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความ หม่นหมองใจ ให้กับประชาชนชาวไทยครับ คงต้องถามกันอีกสักครั้งหนึ่งว่า สมควร หรือไม่ครับ เพราะแม้ กฎหมาย จะห้ามไม่ได้ แต่ สำนึก ก็น่าจะเข้ามาเป็นสิ่งสำคัญที่นำมาใช้ประกอบการตัดสินใจก่อสร้างอภิมหาศูนย์การค้านะครับ และในทั้งสองประเด็นดังกล่าวข้างต้นที่กองบรรณาธิการของเราได้นำเสนอไปในบทบรรณาธิการครั้งที่แล้ว คงมีจุดมุ่งหมายสำคัญประการหนึ่งคือ พยายามเรียกร้องให้มีการ เพิ่มบทบาทประชาชน ด้วยการเสนอขอให้มีการทำ ประชาพิจารณ์ โครงการเหล่านี้ก่อนที่จะมีการอนุมัติ อนุญาตให้มีการก่อสร้างครับ จริงอยู่แม้การทำประชาพิจารณ์จะไม่สามารถ ห้าม การดำเนินการก่อสร้างที่เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายได้ แต่ถ้าหากการก่อสร้างนั้น ขัดใจ ประชาชนก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำเพราะจะ สวนทาง กับความประสงค์ของประชาชนครับ ก็คงต้อง เรียกร้อง ขอให้มีการดำเนินการออกกฎหมายว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนดังที่กำหนดไว้ในมาตรา 59 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอย่างเร่งด่วนด้วยครับ เพราะรัฐธรรมนูญใช้บังคับมา 7 ปีกว่าแล้ว แต่เราก็ยังไม่มีกฎหมายสำคัญฉบับดังกล่าวซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายที่กำหนด สิทธิ ของประชาชนที่สำคัญอีกประการหนึ่งครับ ขอฝากไว้ด้วยครับ
เมื่องสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาส ร่วมทาง ไปประเทศฝรั่งเศสกับคณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของไทยครับ คณะดังกล่าวก็มีประธานศาลรัฐธรรมนูญ คือ ศ.ดร. กระมล ทองธรรมชาติ เป็นหัวหน้าคณะครับ การเดินทางไปฝรั่งเศสครั้งนั้นก็เพื่อไปสร้างความสัมพันธ์กับคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ( le Conseil Constitutionnel) ของฝรั่งเศส และไปหาข้อมูลเพื่อเข้าร่วมกับองค์กรประเภท สมาคมรัฐธรรมนูญระหว่างประเทศ ของยุโรปครับ ผมเห็นว่าในประการหลังนี้มีสาระน่าสนใจก็เลยเก็บมาเล่าให้ฟังครับ
คณะกรรมาธิการแห่งสหภาพยุโรปเพื่อประชาธิปไตยโดยกฎหมาย (la Commission Européen pour la Démocratie par le Droit) เป็นองค์กรที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของสภายุโรป (Conseil de lEurope) ในเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญครับ เนื่องจากคณะกรรมาธิการชุดนี้ ชื่อยาวเหลือเกิน ก็เลยมีการเรียกชื่อใหม่ว่า คณะกรรมาธิการเวนิส (la Commission de Venise) โดยมีที่มาจากชื่อเมืองเวนิส ในประเทศอิตาลีซึ่งใช้เป็นสถานที่ประชุมของคณะกรรมาธิการชุดนี้ครับ คณะกรรมาธิการเวนิสนี้ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1990 โดยในครั้งนั้น คณะกรรมาธิการเวนิส ประกอบด้วยกรรมาธิการที่เป็นตัวแทนของ 18 ประเทศที่เป็นสมาชิกของสภายุโรป ซึ่งต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2002 คณะกรรมาธิการเวนิสก็ได้ ขยาย ฐานสมาชิกของตนออกไปอีกโดยเปิดโอกาสให้ประเทศอื่นที่อยู่นอกเหนือจากประเทศ ในสหภาพยุโรปเข้ามาเป็นสมาชิกประเภท ผู้สังเกตการณ์ (observateur) ได้ โดยในปัจจุบันมีประเทศที่เข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่หลายประเทศเช่น อาเจนติน่า แคนนาดา อิสราแอล เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศในเอเชียก็มีสองประเทศ คือ ญี่ปุ่นและเกาหลีครับ
คณะกรรมาธิการเวนิสประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเป็นอิสระทางด้านกฎหมายและรัฐศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นบรรดาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่สอนรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายระหว่างประเทศ เหรืออาจเป็นผู้พิพากษาศาลสูงหรือศาลรัฐธรรมนูญ หรืออาจมาจากสมาชิกรัฐสภาก็ได้เช่นกัน กรรมาธิการเวนิสได้รับการแต่งตั้งมาจากประเทศของตน มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 4 ปี และมีอิสระในการทำงานครับ คณะกรรมาธิการเวนิสมีหน้าที่สำคัญๆ 3 ประการ ประการแรก คือการให้ความเห็นทางด้านรัฐธรรมนูญในกรณีที่เกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญของประเทศสมาชิก โดยในหน้าที่ประการแรกนี้ คณะกรรมาธิการเวนิสสามารถให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกในการร่างหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการให้ความเห็นต่อรัฐธรรมนูญของประเทศสมาชิกเพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานของยุโรป (les standards européens) ครับ ส่วนหน้าที่ประการที่สอง ก็คือ หน้าที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติที่คณะกรรมาธิการเวนิสมีหน้าที่ ดูแล ให้การเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด โดยคณะกรรมาธิการสามารถให้ความเห็นและคำแนะนำต่อกฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติของประเทศสมาชิก รวมทั้งยังจัดสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติเพื่อให้การเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องและเป็นประชาธิปไตยครับ สำหรับหน้าที่ประการที่สาม นั้นได้แก่ การเป็นศูนย์กลางความร่วมมือระหว่างองค์กรศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอื่นที่ทำหน้าที่คล้ายศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงการจัดสัมมนากับศาลรัฐะรรมนูญของประเทศสมาชิกด้วยครับ
บทบรรณาธิการนี้คงยาวเกินไปหากจะเล่าให้ฟังทั้งหมด เอาเป็นว่าหากใครสนใจลองเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ website ของคณะกรรมาธิการเวนิส คือ www.venice.coe.int แต่ถ้าหากสนใจรายงานประจำปีของ ค.ศ. 2003 ก็มาขอดูได้ที่ผมนะครับ เอกสารดังกล่าวมีข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่างโดยเฉพาะรายละเอียดของกิจกรรมทางรัฐธรรมนูญของประเทศสมาชิกเกือบ 20 ประเทศครับ เอกสารที่ผมมีเป็นภาษาฝรั่งเศสครับ
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมได้ไปร่วมประชุมคณะอนุกรรมการฝ่ายเลขานุการประธานสมาคมศาลปกครองสูงสุดระหว่างประเทศ ที่สำนักงานศาลปกครองของไทยครับ สมาคมศาลปกครองสูงสุดระหว่างประเทศ (International Association of Supreme Administrative Jurisdictions) นั้นก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1983 มีศาลปกครองสูงสุดและองค์การระหว่างประเทศกว่า 80 ประเทศเข้าร่วมเป็นสมาชิกครับ ในปัจจุบันนั้น ศาตราจารย์ ดร. อักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุดของไทยได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมศาลปกครองสูงสุดระหว่างประเทศเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2004 ครับ สมาคมศาลปกครองสูงสุดระหว่างประเทศมีกิจกรรมที่สำคัญประการหนึ่ง คือการจัดประชุมทางวิชาการทุก 3 ปี ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ได้ทำการจัดประชุมไปแล้ว 8 ครั้ง ข่าวดีที่สำคัญก็คือการประชุมครั้งที่ 9 ในปี ค.ศ. 2007 นั้น สมาคมศาลปกครองสูงสุดระหว่างประเทศจะจัดประชุมที่ประเทศไทย ครับ ผมเห็นว่าข้อมูลของสมาคมศาลปกครองสูงสุดระหว่างประเทศที่ฝ่ายเลขานุการได้แจกให้ผมในที่ประชุมน่าสนใจและจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการ website แห่งนี้ ผมจึงได้ขอนำเอกสารดังกล่าวมาลงเผยแพร่ไว้ใน www.pub-law.net แล้วครับ สนใจลองอ่านดูใน ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสมาคมศาลปกครองสูงสุดระหว่างประเทศ (IASAJ) ครับ
นอกจาก ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสมาคมศาลปกครองศุงสุดระหว่างประเทศ แล้ว เราขอนำเสนอบทความใหม่ใน นานาสาระจากนักเรียนไทยในต่างแดน ที่เขียนโดยนางสาวกิตยาภรณ์ ประยูรพรหม นักเรียนไทยในประเทศฝรั่งเศส คือบทความเรื่อง การทำประชามติเพื่อให้สัตยาบันสนธิสัญญาก่อตั้งรัฐธรรมนูญยุโรปในฝรั่งเศส
ซึ่งผมต้องขอขอบคุณผู้เขียนไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2548 ครับ
ศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์
|
|
|
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=753
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 19:35 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|