|
|
ถึงท่านผู้นำ โดย ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ 7 กุมภาพันธ์ 2548 07:17 น.
|
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) ครั้งที่ 2 ก็ได้เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่ค่อย คึกคัก เท่าใดนัก ทั้งนี้ เพราะเกิดเหตุการณ์ที่ภาคใต้ขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมาก็เลยทำให้คนไทยส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะเศร้าสลด แต่อย่างไรก็ดี หากไม่มีปาฏิหารย์ใดๆเกิดขึ้น ก็คงเป็นที่แน่นอนว่า พรรคไทยรักไทยของ ท่านผู้นำ คงจะ ชนะ การเลือกตั้งแบบขาดลอย ชัยชนะของพรรคไทยรักไทยในครั้งที่ 2 นี้คงมาจากหลายเหตุด้วยกันที่ทำให้พรรคไทยรักไทยของท่านผู้นำเป็นต่อพรรคการเมืองอื่นอยู่มากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมาที่พรรคไทยรักไทยเข้ามาบริหารประเทศและได้รับความ นิยม จากประชาชนเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ จากการศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองของไทยที่ผ่านมาจะพบว่า รัฐบาลของพรรคไทยรักไทยในช่วงเวลา 4 ปี ที่เพิ่งผ่านไปเป็นรัฐบาลที่มี เสถียรภาพ มากที่สุดในบรรดารัฐบาลทั้งหมดเท่าที่เคยมีมา ความมีเสถียรภาพของรัฐบาลส่วนหนึ่งแล้วเกิดขึ้นจาก ผล ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันและจาก ผล ของการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง รูปแบบใหม่ ของพรรคไทยรักไทย ดังนั้น จึงค่อนข้างเป็นที่แน่นอนว่า พรรคไทยรักไทยคงต้องเป็น แกนนำ ในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ หรือเป็น ผู้จัดตั้ง รัฐบาลชุดใหม่ หากเป็นไปตามที่ ท่านผู้นำ ได้เคยประกาศเอาไว้ว่า หากได้ 400 เสียงก็จะจัดตั้งรัฐบาลเพียงพรรคเดียว
ปัจจัยที่ทำให้พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งนั้นมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ทุน ที่มีอยู่มาก อำนาจรัฐ ที่มีอยู่ในมือ รวมทั้ง คุณภาพ ของบุคลากรที่อยู่ในพรรคก็ล้วนแล้วแต่เป็นระดับ สุดยอด ของพื้นที่ทั้งสิ้น ฉะนั้น เป้าหมาย 400 เสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวของพรรคไทยรักไทยจึงเป็นสิ่งที่ น่าจะ เป็นไปได้ไม่ยากนัก
คำถามที่น่าสนใจก็คือ อะไรจะเกิดขึ้นใน 4 ปีข้างหน้าหากพรรคไทยรักไทยได้คะแนนเกิน 400 เสียงและเป็นรัฐบาลพรรคเดียว
คำตอบคงมีหลายแนวทาง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามคงเป็นสิ่งที่ คาดเดา ได้ยากมากว่า ท่านผู้นำ คิดอะไรอยู่และจะทำอย่างไรต่อไป แต่ถ้าพิเคราะห์จาก 4 ปีที่ผ่านมานั้น ก็อาจทำให้เราคาดเดาได้ว่า ท่านผู้นำ คงต้อง สานต่อ สิ่งที่ท่านได้ทำไว้ทั้งหมดในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็จะเกิดปัญหาให้ต้องขบคิดต่อไปอีกว่า ท่านผู้นำจะ สานต่อ อะไรบ้าง เพราะจากที่ได้ยินมานั้น ท่านผู้นำได้พยายามชี้ให้เห็นว่า ที่ผ่านมา 4 ปีนั้น รัฐบาลของท่านผู้นำได้เข้ามาแก้ปัญหาที่เกิดจากรัฐบาลก่อนจนได้ผลดีแล้ว ดังนั้นใน 4 ปีข้างหน้า ก็จะทำสิ่งใหม่ๆ ให้กับประเทศไทยต่อไป
4 ปีซ่อม 4 ปีสร้าง ฟังดูแล้วก็น่าประทับใจ แต่อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากันจริงๆแล้วในช่วง 4 ปีซ่อมนั้น ท่านผู้นำก็ได้ทำอย่างอื่นไปด้วยนอกจากการซ่อม โครงการ เอื้ออาทร จำนวนมากที่เกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ที่ดูๆแล้วน่าจะเป็นการ สร้าง ปัญหามากกว่าการ ซ่อม เพื่อแก้ปัญหาก็เกิดขึ้นในช่วง 4 ปีซ่อม ดังนั้น ในช่วง 4 ปีสร้างที่จะมาถึงข้างหน้าจึงอาจเข้าใจว่าท่านผู้นำก็คงต้อง ซ่อม สิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้นควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับการปฏิรูประบบราชการซึ่งมีบางส่วน ล้มเหลว แต่ก็ยังไม่มีการยอมรับว่าเกิดความ ล้มเหลว ขึ้นในการปฏิรูปราชการบางส่วน
ส่วนสำคัญของการทำงานของรัฐบาลใหม่ของท่านผู้นำไม่ว่าจะเป็นการ ซ่อม หรือการ สร้าง คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกล่าวถึงบรรดา รัฐมนตรี ของท่านผู้นำ เป็นเรื่องน่าขบคิดกับคำพูดของท่านผู้นำที่ได้ประกาศไว้ก่อนการเลือกตั้งว่า รัฐบาลจะมีรัฐมนตรีชุดเก่าออกไปไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ซึ่งก็หมายความว่า ในรัฐบาลชุดใหม่ของท่านผู้นำจะมีรัฐมนตรีหน้าเดิมอยู่ประมาณ 18 คน คำพูดดังกล่าวสมควรนำมาพิเคราะห์ให้ละเอียด เพราะในช่วง 4 ปีซ่อมที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าในการดำเนินงานของรัฐบาลของท่านผู้นำมีปัญหาที่เกิดขึ้นจากคนที่เข้ามาดำรงตำแหน่งค่อนข้างมาก คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง คุณภาพ หรือ ศักยภาพ เพราะว่ามัน ผ่านไปแล้ว ทั้งๆที่ในช่วงที่ผ่านมาบางครั้งก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าท่านผู้นำ มองเห็น หรือไม่กับสิ่งที่รัฐมนตรีของท่านทำ โครงการหลายโครงการที่ เกิด และ เลิก ไปด้วยความ เคลือบคลุม นั้นล้วนแล้วแต่เป็นโครงการที่ผ่าน ครม. ทั้งนั้น !!! สำหรับในช่วง 4ปีสร้าง นี้ แม้จะยังมองไม่ออกว่าท่านผู้นำจะ สร้าง อะไร เพราะท่านก็ได้ สร้าง สิ่งดีๆเอาไว้หลายอย่างแล้วในช่วง 4 ปีซ่อม แต่อย่างไรก็ดีการที่ท่านผู้นำได้กล่าวไว้ว่า รัฐบาลใหม่ในอีก 4 ปีข้างหน้าจะเป็นรัฐบาลที่ สร้าง นั้น ก็เป็นสิ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง และจะน่ายินดีไปกว่านี้หากท่านผู้นำจะ สร้าง กติกาใหม่ให้กับสังคมไทยเรา
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า รัฐบาลชุดที่ผ่านมานั้นเกิดจากการรวมตัวกันขึ้นของนักการเมืองหลายๆกลุ่มที่สลายตัวมาจากพรรคการเมืองต่างๆ ดังนั้น ครม. ในรัฐบาลชุดที่ผ่านมาจึงมีบางส่วนมาจาก ตัวแทน ของกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่แม้ในบางครั้งท่านผู้นำจะ ทุบโต๊ะ ได้แต่ในบางครั้งท่านผู้นำก็คงต้อง ประนีประนอม เพื่อให้รัฐบาลของท่านสามารถอยู่ได้อย่างสงบเพื่อปฎิบัติหน้าที่ได้ดีและสำเร็จตามที่ท่านผู้นำต้องการ ดังนั้น จึงเป็นที่น่าสนใจว่ารัฐบาลใหม่ของท่านผู้นำจะเป็นอย่างไร โฉมหน้า ครม. ใหม่จะเป็นอย่างไรและกิจกรรมทางการเมืองใดที่ท่านผู้นำจะ ให้ แก่ประชาชนคนไทย ! คำถามทั้งสามคงเป็นสิ่งที่ท่านผู้นำจะต้องตอบต่อประชาชนคนไทยต่อไป แต่ถ้าหากจะถามผู้เขียนว่าอยากได้รัฐบาลใหม่อย่างไร อยากให้ใครเป็นรัฐมนตรีบ้างและอยากให้ท่านผู้นำทำอะไรบ้างนั้น ก่อนที่จะให้คำตอบที่ถือว่าเป็น ความฝัน ของนักวิชาการคนหนึ่ง เราจะลองมาดูสภาพของ การเมือง และ สังคมวิทยาทางการเมือง กันก่อน ท่านผู้นำอยู่ในตำแหน่งมา 4 ปี ระหว่างที่ท่านผู้นำอยู่ในตำแหน่ง ท่านได้ทำกิจกรรมต่างๆ ไว้มาก ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่า ย่อมต้องมีทั้ง คนรัก และ คนไม่รัก ในส่วนของ คนรัก คงไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น จะยุ่งก็แต่ คนไม่รัก ที่คง จ้อง ทั้งจับผิด จะจับได้หรือไม่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่แน่ๆ บุคคลเหล่านี้เป็นคนที่สร้างความ รำคาญ ให้กับท่านผู้นำไม่มากก็น้อย นอกจากนี้แล้ว ท่านผู้นำเองก็ยังไม่รู้อีกว่า ในอีก 4 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรกับท่าน กับรัฐบาลของท่าน จะอยู่ครบ 4 ปีไหม จะมีปัญหาขัดแย้งภายในหรือภายนอกพรรคของท่านหรือไม่ และนอกจากนี้ หากท่านผู้นำ ลง จากตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการ ลงเอง หรือ ต้องลง จะเกิดปัญหาอะไรตามมา? สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ทั้งนั้น ดังนั้น จึงขอนำมาสู่ ความฝัน ของนักวิชาการคนหนึ่ง ที่ อยากเห็น กิจกรรมทางการเมืองดีๆ กิจกรรมหนึ่งที่อาจเป็นกิจกรรมที่สร้าง อัศวิน หรือ รัฐบุรุษ ใหม่ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยก็ได้
ลองมาดูกันก็แล้วกันครับ อย่างแรกคงต้องเริ่มต้นจากการที่ท่านผู้นำของเราต้องทำตัวใหม่ให้เป็น ท่านผู้นำ ที่สามารถ ทุบโต๊ะ ได้ก่อนครับ ทุบโต๊ะในที่นี้น่าจะมีความหมายไม่ไกลจาก เผด็จการ นัก แต่ก็สามารถยอมรับได้หากการทุบโต๊ะนั้นทำขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนครับ อย่างไรก็ตาม การทุบโต๊ะอย่างเดียวคงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นหากไม่มี เป้า ที่แน่นอนของการทุบโต๊ะ เป้า ที่ฝันว่าจะได้เห็นก็คือการทุบโต๊ะเพื่อแก้ไขปรับปรุงระบบสถาบันการเมืองการปกครองประเทศตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเสียใหม่ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีข้อบกพร่องหลายประการให้สมบูรณ์ (เช่น จัดให้มีระบบการถ่วงดุลและตรวจสอบซึ่งกันและกันระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ แก้ปัญหาการผูกขาดอำนาจรัฐไว้กับพรรคการเมืองพรรคเดียวจนทำให้สมาชิกรัฐสภาไม่สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารได้ แก้ไขปัญหาการคัดเลือกบุคคลเข้าสู่องค์กรตามรัฐธรรมนูญและกำหนดกรอบในการใช้อำนาจและตรวจสอบการใช้อำนาจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อให้เกิดผลดีกับประชาชนและประเทศชาติ เป็นต้น) และแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูประบบราชการให้สมบูรณ์และเกิดผลดีในการปฏิบัติ แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่นให้มีประสิทธิภาพกว่าที่เป็นอยู่ หาจุดยุติที่เหมาะสมและเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การให้สัมปทานทั้งที่มีอยู่แล้วและที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่อยากขอความกรุณาท่านผู้นำให้ ต้องทำ ครับ โดยในขั้นต้น ต้องเริ่มต้นกระบวนการดังกล่าวจากการที่ท่านผู้นำต้องมีความ ตั้งใจ ที่จะทำการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียก่อน ความตั้งใจของท่านผู้นำจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะเปิดประตูไปสู่การแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศชาติ แต่อย่างไรก็ดี ท่านผู้นำคนเดียวคงทำตามเป้าที่วางนี้ไม่ไหวแน่ๆ เพราะเป็น งานใหญ่ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆฝ่ายด้วยกัน ดังนั้น คณะรัฐมนตรี ของท่านผู้นำจึงควรอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นบุคคลที่ดีจริงๆที่คนเหล่านั้นอาจไม่จำเป็นต้อง อยู่ ในพรรคการเมืองของท่านผู้นำก็ได้ครับ ขอเพียงแต่คนเหล่านั้นต้องเป็นคนที่เก่ง ดีและสะอาดจริงๆ เมื่อได้คนดีที่มีคุณสมบัติดังกล่าวครบตามจำนวนที่ท่านผู้นำต้องการมาเป็นคณะรัฐมนตรีชุดใหม่แล้ว ท่านผู้นำก็คงต้อง เริ่ม ลงมือผ่าตัดระบบการเมืองการปกครองขนานใหญ่ การดำเนินการดังกล่าวไม่อาจเป็นไปอย่างราบรื่นได้หากขาดแรงสนับสนุนจากประชาชนครับ ด้วยเหตุนี้เองที่ท่านผู้นำควรต้องแถลงวัตถุประสงค์ในการเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีรอบที่สองของท่านผ่านวิทยุและโทรทัศน์เพื่อชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงเป้าหมายในการทำงานของท่านผู้นำและรัฐบาลใหม่ของท่านว่าจะเข้ามาเพื่อทำการปฏิรูปการเมืองใหม่โดยจะขอใช้เวลาเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ซึ่งไม่น่าจะเกิน 2 ปี) จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามประเด็นที่กล่าวไปแล้วข้างต้น รวมทั้งแก้ไขกฎหมายสำคัญเพื่อให้เกิดการปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง ในการแก้กฎหมายนั้น รัฐบาลของท่านผู้นำจะต้องทำงานร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร (ของท่านผู้นำเพราะมีเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งแน่ๆครับ!) ผลิตกฎหมายที่ดีออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ของสังคมที่มีอยู่เป็นเวลานานและเป็นปัญหาที่กัดกร่อนความเจริญของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการจัดโครงสร้างการบริหารราชการใหม่ การแก้ปัญหาองค์กรอิสระต่างๆ และปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คงต้องทำโดยการจัดตั้งองค์กรพิเศษขึ้นมาเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ (ผู้เขียนเห็นด้วยกับแนวทางที่ศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ได้เสนอไว้เมื่อกลางปีที่ผ่านมาที่เสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 313 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปการเมืองโดยคณะกรรมการพิเศษที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวพันกับนักการเมืองหรือพรรคการเมือง!!!) เมื่อท่านผู้นำทำทุกอย่างคือทั้งได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่และกฎหมายสำคัญๆ เพื่อการปฏิรูปการเมืองตามเป้าหมายเสร็จสิ้นแล้ว ก็สมควรเปิดให้มีการรับฟังความเห็นของประชาชนด้วยการให้ประชาชนมาออกเสียงแสดงประชามติ เมื่อประชาชนให้ความเห็นชอบโดยการออกเสียงประชามติแล้ว ก็เข้าสู่จุดสำคัญสำหรับความเป็น รัฐบุรุษ ของท่านผู้นำ คือยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามกติกาใหม่ที่ได้จัดทำขึ้นครับ เท่านี้เราก็จะได้สิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นในสังคมไทย
แนวทางที่กล่าวมาข้างต้น แม้จะเป็นแนวทางที่ค่อนข้างจะ เพ้อฝัน เพราะต้องอาศัยองค์ประกอบและปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความเป็น ผู้นำ ที่กล้าหาญและประชาชนยอมรับ (แน่นอนครับ ท่านผู้นำมีอยู่แล้ว) ความเชี่ยวชาญของผู้ร่างรัฐธรรมนูญและความร่วมมือร่วมใจกันระหว่างรัฐบาลและรัฐสภา ที่ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่เกื้อหนุนการปฏิรูปการเมืองให้สำเร็จได้ทั้งนั้น แต่ก็เป็นแนวทางที่ น่าจะ เป็นไปได้ หากท่านผู้นำ ประสงค์ เพราะด้วยบุคลิกภาพและความสามารถของท่านผู้นำที่ได้แสดงให้เห็นใน 4 ปี ที่ผ่านมา ทำให้มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่า ท่านผู้นำ ทำได้ ครับ ดังนั้น ด้วยความตั้งใจของท่านผู้นำ ประกอบกับบทบาทของท่านผู้นำที่จะมีต่อรัฐบาลของท่านผู้นำและรัฐสภาที่มีเสียงข้างมากเป็นของท่านผู้นำ ก็จะทำให้การปฏิรูปการเมืองกลายเป็นกิจกรรมสำคัญที่รัฐบาลในช่วง 4 ปีสร้าง ของท่านผู้นำ น่าจะ ทำครับ
คำถามที่จะต้องมีผู้ถามแน่ๆ ก็คือ เมื่อปฏิรูปการเมืองตามแนวทางข้างต้นเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้นำจะเป็นอย่างไรต่อไป คงไม่ต้องคิดให้มากนะครับ ทำการใหญ่ขนาดนี้ได้สำเร็จก็สมควรที่จะเลิกเล่นการเมืองดีกว่าครับ เพราะไหนๆทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนแล้ว ก็ควรลงจากตำแหน่งไปอย่างสวยงามด้วยตัวเองพร้อมชื่อเสียงเกียรติยศที่จะมีผู้คนสรรเสริญและระลึกถึงต่อไปอีกนานแสนนาน ลองทำดูแล้วจะรู้ว่าแนวทางนี้ น่าสนใจกว่าการอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ต้องคอยแก้ปัญหาเดิมๆ พร้อมกับวิตกว่า พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร? ครับ
ก่อนจบก็ขอฝากความฝันข้างต้นผ่าน คำคม ที่ปรากฏอยู่ในเพลงของ John Lennon แห่ง The Beatles ไว้ด้วยนะครับว่า A dream you dream alone is only a dream. A dream you dream together is reality. ครับ
ขอบคุณครับ
ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์
www.pub-law.net
|
|
|
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=730
เวลา 23 พฤศจิกายน 2567 00:36 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|