|
|
นโยบายของ พรรคทางเลือกที่สาม โดย ศาสตราจารย์ อมร จันทรสมบูรณ์ 20 มกราคม 2548 17:26 น.
|
คำปรารภ
พรรคทางเลือกที่สาม ยึดมั่นในระบอบการปกครองเสรีประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์เป็นประมุข
พรรคทางเลือกที่สาม มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างประเทศให้มีความมั่นคงในเอกราช มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและมีการพัฒนาทางสังคม และพรรคจะมุ่งสร้างทัศนคติให้ประชาชนมีความรักชาติ รู้จักสิทธิ หน้าที่ และมีความรับผิดชอบ ตลอดจนมีความสำนึกในประโยชน์ส่วนรวมอันเป็นกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกันในสังคม
พรรคทางเลือกที่สาม ตระหนักถึงความสำคัญของจารีตประเพณี การดำเนินชีวิตประจำวันและสภาพสังคมของคนไทย และตระหนักถึงความสำคัญของรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ที่ให้หลักประกันแก่สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของประชาชน และเป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดกรอบกติกาในการใช้อำนาจรัฐของสถาบันการเมือง อันประกอบด้วยบุคคลที่ได้รับเลือกตั้งจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
ฉะนั้น พรรคทางเลือกที่สาม จึงกำหนดแนวนโยบาย ดังต่อไปนี้
(๑) นโยบายหลักในการปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย
๑.๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ และมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
๑.๒ ประเทศไทยมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา โดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกในทุกศาสนา
๑.๓ จะเทอดทูนองค์พระมหากษัตริย์เป็นสถาบันสูงสุด ผู้ใดจะละเมิดมิได้
๑.๔ จะเคารพและเชื่อมั่นในรัฐธรรมนูญ และจะดำเนินการการเมืองตามวิถีทางที่รัฐธรรมนูญกำหนด
(พลิก)
(๒) นโยบายเพื่อการดำเนินกิจการทางการเมือง
(๒.๑) การปฏิรูปการเมือง
พรรคจะเสนอและดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุง (rationalization) ระบบสถาบันการเมือง ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๔๐) ให้เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ และมีการถ่วงดุลและตรวจสอบซึ่งกันและกันระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ มิให้เกิดการผูกขาดอำนาจรัฐไว้กับกลุ่มการเมืองเดียวกัน โดยสมาชิกรัฐสภาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามมโนธรรม (conscience) ของตน ทั้งนี้โดยจะยังคงเป็นและอยู่ภายใต้ระบบรัฐสภา - parliamentary system อันมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุข
พรรคจะเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพื่อให้มีการจัดตั้งองค์กรเพื่อทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยมีหลักการในสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้
๑) ยืนยันในพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการพระราชทาน
คำแนะนำ(advice)ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อันเป็นหลักการตามจารีตประเพณีอันยาวนานใน การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
๒) จัดให้มีการคัดสรรและจัดตั้ง คณะบุคคล ขึ้นคณะหนึ่ง ซึ่งโดย
หลักการ จะประกอบด้วยอดีตนักการเมืองที่มีประสบการณ์ทางการเมือง กับผู้เชี่ยวชาญกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวพันกับพรรคการเมืองหรือนักการเมือง คณะบุคคลนี้จะเป็นองค์กรผู้รับผิดชอบในการยกร่างและเสนอร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยจัดทำเอกสารอธิบายหลักการสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญและเหตุผลให้ประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกัน
ในการยกร่างรัฐธรรมนูญ คณะบุคคลดังกล่าวจะต้องจัดให้มีวิธีการทบทวนและตรวจสอบข้อคิดเห็นของสถาบันการเมือง รัฐสภา กลุ่มผลประโยชน์ และประชาชนทั่วไปอย่างทั่วถึง
๓) การให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญเพื่อนำมาใช้บังคับ จะกระทำโดยการออกเสียงประชามติ (referendum) ทั้งประเทศ
๔) จะมีบทบัญญัติกำหนดให้การปรับปรุงรัฐธรรมนูญให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ประมาณ ๒ ปีนับแต่วันจัดตั้งคณะบุคคลดังกล่าวตาม (๒) และจะยุบเลิกพรรคในทันทีที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านความเห็นชอบโดยการออกเสียงประชามติ
(๒.๒) การปฏิรูประบบบริหาร
ในระหว่างการดำเนินการตามนโยบายปฏิรูปการเมือง พรรคจะพยายามขจัดหรือทำให้ลดน้อยลงซึ่งการทุจริตคอรัปชั่นและการบิดเบือนการใช้อำนาจรัฐ (abuse of powers) เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวโดยมิชอบ โดยพรรคจะเสนอให้มีการกำหนดให้การใช้อำนาจโดยเจ้าหน้าที่รัฐ (นักการเมือง และข้าราชการประจำ) เป็นไปอย่างโปร่งใสภายในกรอบของหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการที่กำหนดไว้ ด้วยการตราเป็นกฎหมาย(พระราชบัญญัติ) อย่างเหมาะสม โดยมิให้ขึ้นอยู่กับความอำเภอใจของนักการเมืองโดยอาศัยมติของฝ่ายบริหารที่ไร้ขอบเขต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคจะดำเนินการแก้ไขปัญหาการบริหารใน ๔ ประการดังต่อไปนี้
๑) จะทบทวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่เป็นสาธารณูปโภค และการแปร
สัญญาสัมปทานที่มีลักษณะเป็นการผูกขาด โดยจะแก้ไขพ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจให้มีขั้นตอนที่โปร่งใสที่กำหนดไว้เป็นบทบัญญัติของกฎหมาย(พระราชบัญญัติ) และการแปรรูปดังกล่าวจะต้องผ่านการตรวจสอบ โดยรัฐสภาและ/หรือการทำประชามติ มิใช่กระทำโดยมติคณะรัฐมนตรี
๒) จะปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นและการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยการตรากฎหมายเพื่อปรับเปลี่ยนองค์กรของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมและการปราบปรามการทุจริต ให้มีการทำงานที่เป็น ระบบงานประจำ โดยมีความรับผิดชอบตามหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในบทกฎหมายตามรูปแบบสากล โดยมิให้เจ้าหน้าที่ในองค์การเหล่านั้นอยู่ภายใต้การสั่งการของนักการเมืองโดยไม่เปิดเผย ซึ่งเป็นการเสี่ยงต่อการใช้อำนาจ(ของนักการเมือง) เพื่อความมุ่งหมายและประโยชน์ส่วนตัวที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังและไม่เป็นกลาง
๓) จะทบทวนนโยบาย populist ที่มีลักษณะเป็นการเอาใจและเอื้อประโยชน์แก่ประชาชนเฉพาะกลุ่มที่(นักการเมือง)อาจมีความมุ่งหมายในการแสวงหาความนิยม (popularity)ระยะสั้นเพื่อการดำรงตำแหน่งต่อไปของนักการเมืองเอง แต่จะเป็นผลเสียแก่ประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม - public interest ในระยะยาว
โดยจะแก้ปัญหาของประชาชน ด้วยการตราเป็นบทบัญญัติของกฎหมาย (พระราชบัญญัติ) ที่มีการกำหนดขั้นตอนการดำเนินการที่ชัดเจนและโปร่งใส (transparency) มิให้ขึ้นอยู่กับการใช้อำนาจของนักการเมืองโดยทำเป็นมติคณะรัฐมนตรีหรือเป็นการสั่งการของรัฐมนตรี เพราะวิธีการใช้อำนาจดังกล่าวเป็นการเปิดโอกาสให้มีการรั่วไหลในเงินของแผ่นดินและมีการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ(คอรัปชั่น) ที่องค์กรตรวจสอบของรัฐในปัจจุบัน(ที่พิกลพิการ) ทำการตรวจสอบไปไม่ถึงหรือยากที่จะทำการตรวจสอบได้
๔) จะทบทวน นโยบาย ๓๐ บาทรักษาทุกโรค โดยมีหลักการว่า คนมีเงินต้องจ่ายเงิน และคนไม่มีเงินไม่ต้องจ่าย
(๒.๓) นโยบายการจัดตั้งรัฐบาล
พรรคไม่มีความมุ่งหมายในการจัดตั้งหรือร่วมกับพรรคการเมืองอื่นในการจัดตั้งรัฐบาล แต่จะมุ่งมั่นสูงสุดในการปฏิรูปการเมือง
|
|
|
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=725
เวลา 23 พฤศจิกายน 2567 01:05 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|