ครั้งที่ 54

14 ธันวาคม 2547 18:21 น.

       "ครอบครัวไร้ศาสนา"
       
ผ่านไปแล้วสำหรับวันหยุดยาวช่วงสำคัญช่วงหนึ่งของปี หวังว่าทุกคนคงได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ไปแล้วนะครับ
       ขณะที่เขียนบทบรรณาธิการนี้ผมก็ยังคงอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสครับ ผมบรรยายที่มหาวิทยาลัย Aix-Marseille เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว โดยการบรรยายหนสุดท้ายมีนักเรียนไทยจำนวนหลายคนเข้าร่วมฟังด้วยครับ ช่วงเวลาเดือนเมษายนนี้จึงเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของผม แต่ก็ไม่ถือว่าพักผ่อนเท่าไหร่เพราะผมมีภารกิจช่วยเพื่อนด้วยครับ เพื่อนสนิทคนหนึ่งของผมซึ่งเป็นคนฝรั่งเศสและทำงานอยู่ที่ Paris ซื้อรถใหม่หนึ่งคันและต้องการนำรถคันเก่ากลับไปเก็บไว้ที่บ้านของตนที่อยู่ใกล้กับเมือง Nimes ที่อยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เมื่อผมบรรยายเสร็จก็เลยต้องนั่งรถไฟจากเมือง Aix en Provence ขึ้นมา Paris เพื่อขับรถกับเพื่อนคนละคันไปที่บ้านเพื่อนของผม โดยขาไปเพื่อนผมพาไปแวะพบกับคณบดีคณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Lyon 2 ด้วยครับ บ้านเพื่อนผมอยู่ในเขตเทศบาลเล็กๆชื่อ Générarques มีคนอยู่ประมาณ 300 คน เทศบาลแห่งนี้อยู่ในเขตภูเขา 3 ลูก ห่างไกลจากชุมชนเมืองมาก แม้กระทั่งโทรศัพท์ก็ยังใช้ไม่ได้เลยครับ ก็เล่นเอาบรรดาผู้ใกล้ชิดไม่พอใจผมเพราะคิดว่าผมปิดโทรศัพท์หนีครับ! ผมอยู่ที่บ้านเพื่อนผม 10 วันเศษครับ มีแวะไปเที่ยวเมืองต่างๆหลายเมืองครับ แต่ 2-3 วันสุดท้ายก็ไปแต่โรงพยาบาลเพราะพ่อเพื่อนผมไปผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกที่สะโพกใหม่ครับ ผมเลยต้องรับภาระช่วยขับรถรับส่งแม่เพื่อนผมจากบ้านไปโรงพยาบาล แล้วก็กลับบ้านตอนเย็นครับ เพราะระยะทางไกลต้องผ่านภูเขา 2 ลูกครับ
       พ่อเพื่อนผมคนนี้เป็นอดีตทหารผ่านศึก รบมาหลายสงครามแล้ว ฆ่าคนไปเยอะแยะ! ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่ “ไม่มีศาสนา” ครับ ที่ผมเล่าให้ฟังก็เพราะเหตุผลของการไม่มีศาสนาของครอบครัวนี้เป็นเรื่องที่แปลกมากเพราะครอบครัวนี้ “ปฏิเสธ” พระเจ้าครับ เดิมปู่ย่าของเพื่อนผมเป็นคาทอลิกที่เคร่งศาสนามาก ลูก 2 คนแรกเมื่อเกิดก็รับศีลเป็นคาทอลิก ต่อมาลูก 2 คนป่วยในที่สุดก็ตาย ขณะที่ป่วยนั้นพ่อแม่ก็พยายามสวดอ้อนวอนพระเจ้าให้ช่วยเหลือลูกของตนให้หายป่วย แต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อลูกทั้ง 2 คนตายพ่อแม่ก็เสียใจพร้อมทั้งคิดว่าพระเจ้าใจร้ายกับเด็ก ปล่อยให้เด็กเล็กๆต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดอย่างมากและตายไปในที่สุด ดังนั้น จึงตัดสินใจเลิกนับถือพระเจ้าและกลายเป็นคนไม่มีศาสนาไปในที่สุด พ่อเพื่อนผมเป็นลูกคนที่ 4 ของครอบครัวที่เกิดมาในขณะที่ครอบครัวเลิกนับถือศาสนาไปแล้ว จึงเป็นคนที่อยู่โดยไม่มีศาสนามาตลอด ตอนเป็นทหารไปรบก็ฆ่าคนไปมากโดยไม่รู้สึกอะไร แต่ในช่วงหลังที่ป่วยก็เริ่มมีความรู้สึกกลัวตายขึ้นมา จึงหันมาสนใจศาสนาเพราะอยากรู้ว่าตนเองตายแล้วจะไปไหนและจะต้อง “รับผิดชอบ” กับสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายที่ตนทำไปด้วยหรือไม่ เมื่อผมไปถึงบ้านช่วงแรกๆก่อนเข้าผ่าตัดก็เลยได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องศาสนากันหลายรอบ กลับไปกรุงเทพฯเมื่อไรผมคงต้องส่งหนังสือเกี่ยวกับศาสนาพุทธไปให้ครับ
       บทบรรณาธิการของผมคราวนี้คงไม่มีเรื่องกฎหมายเท่าไหร่เพราะผมไปติดอยู่บนภูเขาเสียเกือบ 2 อาทิตย์ ไม่มีโทรทัศน์ และโทรศัพท์ก็เลยไม่มีข่าวคราวอะไรที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังนะครับ ตอนนี้ผมอยู่ Paris แล้ว อีก 2-3 วันก็จะไปที่มหาวิทยาลัย Nantes เพื่อหาข้อมูลมาทำงานเขียนต่อครับ ผมคงกลับกรุงเทพฯประมาณต้นเดือนพฤษภาคมครับ
       หนังสือ “สัญญาทางปกครอง” ของผมออกวางตลาดแล้วนะครับ ลองอ่านคำแนะนำใน “หนังสือตำรา” ดูก่อนครับ สำหรับสาระสำคัญของ pub-law.net ในคราวนี้เรามีบทความของผมบทความเดียวคือบทความเรื่อง “ข้อเสนอสำหรับกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในประเทศไทย” ลงเผยแพร่ครับ ซึ่งผมต้องขอแบ่งลงเป็น 2 ตอนครับ
       พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม 2546 ครับ
       รองศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์


พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=71
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 20:32 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)