|
 |
ข้อความคิดเกี่ยวกับมาตรการควบคุมผู้ต้องขังกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดย วนิดา ไชยชเนตรตี 9 มกราคม 2548 01:07 น.
|
ความนำ
การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นมิติใหม่แห่งการคุ้มครองที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้นอกเหนือจากการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ โดยที่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชนที่รัฐให้การรับรองคุ้มครองโดยทั่วไป มาตรการคุ้มครองของรัฐจึงอยู่ในลักษณะของการตรากฎหมายมาใช้บังคับซึ่งต้องอยู่ภายใต้กรอบของความชอบด้วยกฎหมาย ขณะเดียวกันรัฐก็ต้องตรากฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพเพื่อคุ้มครองบุคคลคุ้มครองสังคมและเพื่อใช้สำหรับกลุ่มคนบางกลุ่ม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดระเบียบให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย ซึ่งบทความนี้มีความมุ่งหมายสำหรับกลุ่มบุคคลซึ่งกระทำความผิดอาญา
๑. แนวคิดในการลงโทษผู้กระทำผิด
คดีอาญาที่ศาลได้มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก จะต้องนำตัวผู้ถูกลงโทษไปไว้ในเรือนจำ1 ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก หากผู้ถูกลงโทษถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษา ให้หักจำนวนวันที่ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา2 ซึ่งการ นำตัวผู้ถูกลงโทษจำคุกไปไว้ในเรือนจำนั้นเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพ โดยที่จุดมุ่งหมายของการลงโทษจำคุกเพื่อเป็นการลงโทษต่อผู้กระทำผิดโดยตรง เป็นการจำกัดเสรีภาพทำให้เกิดความลำบาก สูญเสียอิสรภาพและเกียรติยศชื่อเสียงรวมถึงความสุขสบายต่างๆ ต้องพลัดพรากจาก สิ่งที่เคยมีเคยอยู่หรือคนที่รักห่วงใยทั้งหลาย เป็นการสูญเสียฐานะทางสังคม เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ดำเนินการลงโทษจะเป็นผู้อบรมแก้ไขให้ผู้ถูกลงโทษได้มีโอกาสสำนึกผิดในการกระทำผิดของตน รวมถึงเป็นการป้องกันสังคมส่วนรวมให้ปลอดภัยจากการกระทำผิดของบุคคลนั้นตลอดชั่วระยะเวลาหนึ่งที่บุคคลเหล่านั้นถูกจำคุกอยู่ และเป็นการให้โอกาสแก่ผู้กระทำผิดได้แก้ตัว3 เมื่อผู้ถูก ลงโทษจำคุกหรือผู้ต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกถูกนำตัวมายังเรือนจำจะเรียกบุคคลเหล่านั้นว่า นักโทษเด็ดขาด 4
การลงโทษผู้กระทำความผิด เป็นเรื่องที่กระทำต่อตัวผู้กระทำผิดโดยตรง ซึ่งในยุคปัจจุบันรัฐมีความชอบธรรมที่จะลงโทษผู้กระทำผิดภายใต้หลักเกณฑ์อันเป็นสาระสำคัญของการลงโทษ กล่าวคือ โทษที่จะลงต้องเป็นโทษตามที่กฎหมายบัญญัติ การลงโทษต้องเป็นไปด้วยความเสมอภาค การกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งต้องได้รับโทษในอัตราโทษเดียวกัน โดยไม่มีความแตกต่างในเรื่องฐานะ สภาพแวดล้อม หรือปัจจัย แต่โทษที่จะลงนั้นอาจไม่เท่ากันซึ่งเป็นไปตามพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดที่ศาลนำมาประกอบเป็นดุลพินิจในการลงโทษ และการลงโทษเป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้กระทำผิด การลงโทษจึงเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้กับผู้กระทำผิดโดยมีแนวคิดที่แตกต่างกัน จึงขอกล่าวถึงทฤษฎีในการลงโทษเป็นสังเขป ดังนี้ 5
๑. ทฤษฎีทดแทน (Retributive Theory)
การลงโทษตามทฤษฎีนี้มีแนวความคิดมาจากการแก้แค้น (revenge) หรือชดใช้ความเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย การลงโทษตามทฤษฎีนี้เป็นไปเพื่อทดแทนความเสียหาย (vindication) หรือแก้แค้นให้แก่ผู้เสียหายจากการที่ผู้กระทำผิดทำให้เกิดความเสียหาย การ ลงโทษต้องกระทำเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม (fairness) เป็นการต่างตอบแทน (reciprocity) เมื่อผู้กระทำผิดกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายก็จะต้องได้รับโทษจากการฝ่าฝืนนั้น การลงโทษ ผู้กระทำผิดตามทฤษฎีนี้ต้องได้สัดส่วนกับความผิด (proportionality of punishment) โดย หลักแล้ว จำนวนโทษที่ผู้กระทำผิดควรได้รับจะต้องเท่ากับความเสียหายที่เขาได้กระทำลง
๒. ทฤษฎีอรรถประโยชน์ (Utilitarian Theories)
แนวคิดการลงโทษของทฤษฎีนี้ มีแนวคิดที่ถือว่าการลงโทษเป็นการ ป้องกันสังคมมิให้กระทำความผิดขึ้นมาใหม่ เป็นการป้องกันการผิดพลาดในอนาคต เป็นการ ลงโทษเพื่อให้ทราบถึงผลของการฝ่าฝืนกฎหมายเป็นการข่มขู่หรือยับยั้ง รวมถึงการให้ผู้กระทำผิดได้รับการเยียวยาแก้ไขฟื้นฟูจิตใจ ให้ผู้กระทำความผิดกลับตนเป็นคนดี และเพื่อเป็นการตัดโอกาสมิให้ผู้นั้นกระทำความผิด สังคมจึงปลอดภัยจากการกระทำผิดที่เกิดจากผู้ต้องโทษนั้น
๒. การควบคุมผู้ต้องขังภายในเรือนจำ
ปัจจุบันการควบคุมผู้ต้องขัง6ภายในเรือนจำ จะใช้วิธีการราชทัณฑ์ผสมผสานกับการควบคุมผู้ต้องขังอย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาพฤตินิสัยของผู้ต้องขังให้สามารถเข้ากับสังคมได้ เมื่อพ้นโทษไปแล้ว มีการฝึกวิชาชีพ ให้การศึกษาอบรมแก่ผู้ต้องขัง มีการจำแนกลักษณะผู้ต้องขัง7 ดังกล่าวนี้เป็นการดำเนินการตามหลักอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา ตามหลักทั่วไปการควบคุม ผู้ต้องขังจะไม่ใช้เครื่องพันธนาการ8 เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอันมีวัตถุประสงค์เพื่อความปลอดภัยต่อการควบคุมจึงอาจใช้เครื่องพันธนาการได้9 ซึ่งการใช้เครื่องพันธนาการมีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันการหลบหนี ป้องกันมิให้ผู้ต้องขังทำอันตรายต่อคนเองหรือผู้อื่น
สำหรับการควบคุมผู้ต้องหาหรือจำเลยในระหว่างสอบสวนหรือไต่สวนมูลฟ้อง หรือระหว่างการพิจารณาคดีของศาล หากศาลออกหมายขังผู้ต้องหาหรือจำเลยก็ต้องนำตัวบุคคลดังกล่าวไปขังในเรือนจำ บุคคลที่ถูกขังตามหมายขังเหล่านี้เรียกว่า คนต้องขัง ส่วนบุคคลที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกและคดีถึงที่สุดโดยมิได้มีการอุทธรณ์ฎีกา ศาลจะออกหมายจำคุกจำเลยก็จะเป็นนักโทษเด็ดขาดนำตัวไปจำคุกในเรือนจำ10ตามกำหนดโทษที่ได้รับ
การควบคุมผู้ต้องขัง ซึ่งในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะการควบคุม คนต้องขัง เท่านั้น โดยทั่วไป การควบคุมคนต้องขังจะไม่ใช้เครื่องพันธนาการ เว้นแต่จะมีเหตุน่าเชื่อว่า ผู้ต้องขังจะทำอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายผู้อื่น และเห็นว่าไม่มีทางอื่นที่จะป้องกันได้ดีกว่าให้ใช้กุญแจมือหรือโซ่ล่ามเพิ่มขึ้นนอกจากตรวนหรือกุญแจเท้าได้11 ในกรณีการใช้โซ่ล่ามและตรวนสำหรับคนต้องขังที่ศาลจังหวัดชลบุรีได้ส่งคำร้องของจำเลยในคดีอาญา (นายฮายาชิ หรือโยชิมิ คาสิโนมิ หรือคะสิโนริ หรือทะนะกะ) ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย โดยจำเลยยื่นคำร้องว่าคดีของจำเลยอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดชลบุรี และจำเลยถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางชลบุรี ถูกตีโซ่ตรวนที่เท้า ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔ มาตรา ๓๐ มาตรา ๓๓ ดังนั้น เมื่อคดีของจำเลยอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล จะปฏิบัติต่อจำเลยเสมือนเป็นผู้กระทำผิดมิได้ ขอให้มีคำสั่งยกเลิกการตีโซ่ตรวนแก่จำเลย ซึ่งคำร้องของจำเลยอาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ มาตรา ๔ (๒) มาตรา ๑๔ (๑) ถึง (๕) และกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ข้อ ๒๕ ถึงข้อ ๒๘ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ12 การปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมดังกล่าวขัดต่อ รัฐธรรมนูญ มาตรา ๔ ที่บัญญัติว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง จึงมีข้อน่าพิจารณาว่าอย่างไรจึงจะถือได้ว่าเป็นการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
๓. การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
การพิจารณาถึงความคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กับการใช้โซ่ตรวนซึ่งเป็นมาตรการควบคุมผู้ต้องขังในเรือนจำมีข้อน่าพิจารณาว่าแค่ไหน เพียงใด ที่จะเป็นการละเมิด ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จึงต้องพิจารณาควบคู่กับความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยส่วนรวมและวัตถุประสงค์ของการควบคุมแล้วจึงกำหนดทิศทางค่าความเป็นกลางที่เป็นเครื่องชี้วัดมาตรฐานของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ว่าการกระทำใดเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
๔. ความหมายและสถานะทางกฎหมายของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
๔.๑ ความหมายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สำหรับการศึกษาถึงการกำหนดหลักเกณฑ์ที่จะเป็นทิศทางแห่งการกระทำว่า แค่ไหน เพียงใด ที่จะเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในลำดับแรกจึงควรต้องศึกษา ถึงความหมายของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ว่ามีความหมายอย่างไร การกำหนดความหมายของ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในบริบททางความคิดเชิงปรัชญานั้น มีการให้ความหมายของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามทัศนะการแปลความหมายของแต่ละฝ่ายในแง่มุมต่างๆ เช่น
ฝ่ายสังคมนิยม ถือสารัตถะของชีวิตให้มีความเป็นอยู่ที่ดีทางวัตถุขั้นต่ำ แต่มิได้ถือเอาการมีสมบัติเป็นองค์ประกอบเดียวของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปัจเจกชนจะมีศักดิ์ศรีต่อเมื่อเขาเป็นผู้กำหนดความเป็นตัวเขาเอง (self determining) และมีชีวิตที่ปรารถนาการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างมีลักษณะริเริ่มสร้างสรรค์ลักษณะริเริ่มสร้างสรรค์13
ฝ่ายเสรีนิยม ถือสารัตถะแห่งความเป็นมนุษย์อยู่ที่โลกภายใน มีอิสระเสรีภาพในความคิดเห็น สิทธิของความเสมอภาคเท่าเทียมกับสิทธิแห่งเสรีภาพ14 ดังกล่าวเป็นการให้ความหมายในเชิงสารัตถะทางด้านปรัชญา ส่วนการให้ความหมายในเชิงกฎหมายนั้นในคราวที่มีการร่างรัฐธรรมนูญมีผู้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นสิทธิอย่างหนึ่งที่รับรองคุ้มครองให้แก่บุคคล มิให้ได้รับการปฏิบัติที่ไม่สมกับความเป็นมนุษย์ของบุคคลนั้น โดยพิจารณาเชิงภาวะวิสัยว่า การกระทำใดที่เห็นกันทั่วไปว่าละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งมิใช่การพิจารณาในลักษณะอัตตวิสัยตามความคิดเห็นของแต่ละบุคคล บทบัญญัติดังกล่าวเป็นการพัฒนาการแห่งการรับรองคุ้มครองสิทธิบุคคล และเป็นที่ ยอมรับในต่างประเทศ ดังปรากฏตามรัฐธรรมนูญอาฟริกาใต้ รัฐธรรมนูญเยอรมัน ส่วนการใช้สิทธิทางศาลนั้น บุคคลที่ถูกกระทำละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สามารถนำคดีมาฟ้องได้ ตามลักษณะการกระทำละเมิดว่าเป็นประการใด เช่น ข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนก็ฟ้องศาลยุติธรรม ฝ่ายปกครองกับเอกชนก็ฟ้องศาลปกครอง เป็นต้น ซึ่งการดำเนินคดีในชั้นศาลจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานต่อไปว่า การกระทำใดเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์15
ส่วนทางด้าน Klaus Stern ได้ให้ความหมายไว้ว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หมายถึง คุณค่าอันมีลักษณะเฉพาะและเป็นคุณค่าที่มีความผูกพันอยู่กับความเป็นมนุษย์ ซึ่งบุคคลในฐานะที่เป็นมนุษย์ทุกคนได้รับคุณค่าดังกล่าว โดยไม่ว่าจำเป็นต้องคำนึงถึงเพศ เชื้อชาติ ศาสนา วัยหรือคุณสมบัติอื่นๆ ของบุคคลนั้น16 และโดยที่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นเป็น ส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชน (Human Right) หรือกล่าวอีกนัยว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นรากฐานแห่งสิทธิมนุษยชน จึงต้องมีการให้ความหมายของสิทธิมนุษยชนว่าให้หมายถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคที่ได้รับการรับรองคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือตามกฎหมายไทย หรือตามสนธิสัญญาที่ประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตาม17 อย่างไรก็ตาม ขอบเขตความหมายของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ยังไม่มีความหมายชัดเจน รองศาสตราจารย์ ดร. สมคิด เลิศไพฑูรย์ ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่ใช่เรื่องของความจนความรวย ไม่ใช่เรื่องสภาพของสังคม แต่เป็นเรื่องของสิ่งที่มีอยู่ติดตัวมนุษย์ทุกคน18 ในส่วนของรัฐธรรมนูญต่างประเทศได้บัญญัติเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไว้เช่นกัน เช่น รัฐธรรมนูญของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน มาตรา ๑ ความว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นที่มาของสิทธิและเสรีภาพ ดังนั้น จึงอาจสรุปความหมายของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ว่าหมายถึง สิทธิอย่างหนึ่ง ที่เป็นสารัตถะแห่งความเป็นมนุษย์และทรงความเป็นคุณค่าของมนุษย์ทุกคนที่จะต้องได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมกับความเป็นมนุษย์ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จึงเป็นสิทธิอย่างหนึ่งที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกๆ คน
๔.๒ สถานะทางกฎหมายของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ เป็นเจตนารมณ์ที่ล้ำลึกที่มุ่งคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของปวงชน การยอมรับศักดิ์ศรีและสิทธิที่เสมอกัน และไม่อาจโอนแก่กันได้ของสมาชิกทั้งปวงแห่งครอบครัวมนุษย์ คือรากฐานของเสรีภาพ ความยุติธรรมและสันติภาพในพิภพ19 ด้วยกฎเกณฑ์เบื้องต้นในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จึงอาจถือได้ว่า สิทธิมนุษยชนเป็นกฎหมายมหาชน และเนื่องจากศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชน จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นกฎหมายมหาชนเช่นกัน และยังมีสถานะในทางกฎหมายที่รัฐธรรมนูญมุ่งให้ความคุ้มครองอีกด้วย
การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ย่อมต้องมีการคุ้มครองภายในขอบเขต หากมีการล้ำขอบเขตแห่งการคุ้มครองจึงจะเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ดังนั้น การอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จึงอ้างได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น20 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลหนึ่งย่อมมีขอบเขตอยู่ที่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่น ดังนั้น จึงต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อเป็นการวางแนวทางว่าการกระทำใดที่นอกขอบเขตแห่งการคุ้มครองเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
๔.๓ หลักเกณฑ์การพิจารณาการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และการจำกัดสิทธิเสรีภาพ
หลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และมาตรการที่เป็นแนวทางในการกำหนดหลักเกณฑ์แห่งการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ควรกำหนดที่หลักแห่งสิทธิและเสรีภาพ เนื่องจากศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นที่มาของสิทธิและเสรีภาพ หากการกระทำใดๆ เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพแล้ว การกระทำนั้นๆ ย่อมเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วย หลักดังกล่าวได้แก่
(๑) หลักความเสมอภาค
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพ มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพซึ่งกันและกัน แนวคิดหลักแห่งความเสมอภาคได้มีการบัญญัติรับรองไว้ในกฎหมายของนานาประเทศ เช่น รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ฉบับลงวันที่ ๔ ตุลาคม ๑๙๕๘ มาตรา ๑ ฝรั่งเศสเป็นสาธารณรัฐที่แบ่งแยกมิได้ ... สาธารณรัฐรับรองถึงความเสมอภาคตามกฎหมายของประชาชนโดยไม่แบ่งแยกกำเนิดเชื้อชาติหรือศาสนา ... ดังนั้น หลักความเสมอภาคจึงเป็นหลักการพื้นฐานของกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญยิ่ง
หลักแห่งความเสมอภาคเป็นหลักที่มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกับหลักแห่งสิทธิเสรีภาพ ดังนั้น หลักความเสมอภาคคือหลักที่ว่า ในสถานการณ์ที่เหมือนกันจะต้องปฏิบัติด้วยหลักเกณฑ์เดียวกัน21 ความเสมอภาคย่อมต้องมีทั้งทางกฎหมายและสิทธิและหน้าที่ อีกทั้งต้องคำนึงถึงประโยชน์ของมหาชนมากกว่าประโยชน์ของปัจเจกชน ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายมหาชนทั่วไปอีกด้วย
(๒) หลักพอสมควรแก่เหตุ
การจำกัดสิทธิเสรีภาพจะกระทำมิได้เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งข้อยกเว้นให้กระทำได้นี้ต้องกระทำได้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น หากไม่มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพแล้ว สังคมจะเกิดการไร้เสรีภาพ นั่นก็คือกลายเป็นสังคมที่มีเสรีภาพอย่างไม่มีขอบเขต จึงจำเป็นที่ รัฐต้องตรากฎหมายเพื่อมิให้มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพ และการตรากฎหมายของรัฐต้องกระทำภายใต้ขอบเขตแห่งความชอบด้วยกฎหมาย
การใช้หลักพอสมควรแก่เหตุจึงเป็นหลักการเพื่อจำกัดมิให้รัฐใช้อำนาจตามอำเภอใจ และเป็นหลักตามรัฐธรรมนูญทั่วไปที่มีค่าบังคับเท่ากันกับบทบัญญัติอื่นแห่ง รัฐธรรมนูญ โดยการบัญญัติกฎหมายขององค์กรนิติบัญญัติจะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมและ จำเป็น และที่สำคัญต้องไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคล หรือหากกระทบกระเทือนก็จะต้องกระทบกระเทือนอย่างน้อยที่สุด ตามความจำเป็น22ที่ต้องกระทำ
(๓) หลักแห่งความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
โดยที่รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖ มีสาระสำคัญในเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ส่วนมาตรา ๒๙ สาระสำคัญเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งสาระสำคัญของทั้งสองประการนี้ รัฐธรรมนูญมีความมุ่งหมายให้การคุ้มครองที่แตกต่างกัน โดยมาตรา ๒๖ ให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพทุกประเภท แต่มาตรา ๒๙ ให้ความคุ้มครองเฉพาะสิทธิเสรีภาพแต่ละเรื่องเท่านั้น
กฎเกณฑ์แห่งการบัญญัติกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพหรือกฎเกณฑ์แห่งการวางค่าความเป็นกลางแห่งการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ พิจารณาได้จากหลักเกณฑ์ใดนั้น พึงพิเคราะห์ได้จากบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่ามีการจำกัดสิทธิเสรีภาพหรือมีการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่รัฐมุ่งให้ความคุ้มครองหรือไม่เพียงใด และต้องพิจารณาประกอบกับหลักเกณฑ์ในการตีความการบังคับใช้รัฐธรรมนูญว่าควรตีความการบังคับใช้อย่างแคบหรือตีความอย่างกว้าง ซึ่งในกรณีนี้ควรจะตีความอย่างแคบ หากกฎหมายใดได้ตราก่อนที่รัฐธรรมนูญจะมีผลใช้บังคับ การจำกัดการใช้บังคับว่ากฎหมายใดจำกัดสิทธิเสรีภาพหรือละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือไม่ นั้น จึงน่าจะใช้บังคับเฉพาะกฎหมายที่ตราขึ้นภายหลังจากที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว หากกฎหมายที่ตราขึ้นก่อน ตราขึ้นโดยไม่อาจทราบได้ว่าภายหลังการตรากฎหมายนั้นจะมีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบัญญัติในเรื่องการจำกัดสิทธิเสรีภาพไว้ก็จะมีผลให้กฎหมายที่ตราขึ้นก่อนนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การตีความการบังคับใช้ในเรื่องการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพจึงต้องจำกัดการตีความ
๕. บทสรุป
การพิจารณาว่าจะนำหลักเกณฑ์ใดมาเป็นเครื่องชี้วัดว่า การกระทำใดละเมิด ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะกับการใช้มาตรการการควบคุมผู้ต้องขังที่เห็นว่าเป็นภัยต่อสังคม และน่าจะหลบหนีหรือก่อให้เกิดความไม่สงบนั้น อย่างไรที่การควบคุมผู้ต้องขังเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จึงต้องนำองค์ประกอบหลายประการรวมถึงองค์ประกอบแห่งการกระทำความผิด มูลเหตุจูงใจในการกระทำผิด และการกระทำผิดโดยความชั่วของผู้กระทำ และการปฏิบัติตามหลักแห่งความเสมอภาคที่หากกระทบกระเทือนสิทธิของผู้ต้องขังแล้ว ก็ต้องกระทบกระเทือนอย่างน้อยที่สุด แต่ต้องอยู่ภายใต้การคุ้มครองประโยชน์สุขของสังคมโดย ส่วนรวมด้วย และผสมผสานกับหลักพอสมควรแก่เหตุ หลักแห่งการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประกอบกับหลักอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา การควบคุมเพื่อมิให้หลบหนีเป็นการจำกัดเสรีภาพเนื่องจากความจำเป็นและมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองบุคคลอื่นและคุ้มครองสังคม ซึ่งการควบคุมโดยใช้โซ่ตรวนมิได้มีการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังทุกคน แต่จะปฏิบัติต่อผู้ต้องขังรายที่อยู่ในเกณฑ์ข้อยกเว้นของหลักการควบคุมตัวในเรือนจำที่เป็นหลักทั่วไป ซึ่งมีเหตุผลสมควรแก่การควบคุมและมีวัตถุประสงค์หลักเพียงเพื่อให้สังคมปลอดภัย ดังนั้น การคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามสถานะของผู้ต้องขัง จึงควรต้องคำนึงถึงความสงบเรียบร้อยของประชาชนด้วย
"ความปลอดภัยของบ้านเมือง เป็นกฎหมายสูงสุด"
(The Safety of the common wealth is the highest law.)
เชิงอรรถ
* นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง
[กลับไปที่บทความ]
1. พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ม.๔ (๑) เรือนจำ หมายความว่า ที่ซึ่งใช้ควบคุมกักขังผู้ต้องขังกับสิ่งที่ใช้ต่อเนื่องกัน และให้หมายความรวมตลอดถึงที่อื่นใดซึ่งรัฐมนตรีได้กำหนดและประกาศในราชกิจจานุเบกษาวางอาณาเขตไว้โดยชัดเจน
[กลับไปที่บทความ]
2. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๒
[กลับไปที่บทความ]
3. วิสัย พฤกษะวัน , คำอธิบายพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ (กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทิพย์อักษร , ๒๕๔๔) , ๒ ๓
[กลับไปที่บทความ]
4. หมายถึง บุคคลซึ่งถูกขังไว้ตามหมายจำคุกภายหลังคำพิพากษาถึงที่สุด และหมายความรวมถึงบุคคลที่ถูกขังไว้ตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้ลงโทษด้วย
[กลับไปที่บทความ]
5. ณรงค์ ใจหาญ , กฎหมายอาญา ว่าด้วยโทษและวิธีการเพื่อความปลอดภัย (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์วิญญูชน , ๒๕๔๓) , ๒๐ - ๓๗
[กลับไปที่บทความ]
6. พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ มาตรา ๔ (๒) ผู้ต้องขัง หมายความรวมตลอดถึงนักโทษเด็ดขาด คนต้องขังและคนฝาก
[กลับไปที่บทความ]
7. หมายถึง การศึกษาและทำความรู้จักผู้ต้องขังเป็นรายกลุ่ม รายบุคคล เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง เช่นการศึกษาประวัติผู้ต้องขังแต่ละคน การศึกษาพฤติกรรมของผู้ต้องขัง เพื่อนำมาประมวลวิธีการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังให้เหมาะสม
[กลับไปที่บทความ]
8. เครื่องพันธนาการ มี ๔ ประเภท คือ ตรวน กุญแจมือ กุญแจเท้า โซ่ล่าม
[กลับไปที่บทความ]
9. พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ มาตรา ๑๔ ห้ามมิให้ใช้เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องขัง เว้นแต่
(๑) เป็นบุคคลที่น่าจะทำอันตรายต่อชีวิต หรือร่างกายของตนเองหรือผู้อื่น
(๒) เป็นบุคคลวิกลจริต หรือจิตไม่สมประกอบ อันอาจเป็นภยันตรายต่อผู้อื่น
(๓) เป็นบุคคลที่น่าจะพยายามหลบหนีการควบคุม
(๔) เมื่อถูกควบคุมตัวไปนอกเรือนจำ เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ควบคุมเห็นเป็นการสมควรที่จะต้องใช้เครื่องพันธนาการ
(๕) เมื่อรัฐมนตรีสั่งว่าเป็นการจำเป็นจะต้องใช้เครื่องพันธนาการ เนื่องแต่สภาพของเรือนจำ หรือสภาพการณ์ของท้องถิ่น
ภายใต้บังคับอนุมาตรา (๔) และ (๕) แห่งมาตรานี้ ให้พัศดีเป็นเจ้าหน้าที่มีอำนาจที่จะสั่งให้ใช้เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องขังและที่จะ เพิกถอนคำสั่งนั้น
[กลับไปที่บทความ]
10. เรือนจำแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ดังนี้
(๑) เรือนจำกลาง
(๒) เรือนจำส่วนภูมิภาค
(๓) เรือนจำชั่วคราว
(๑) เรือนจำกลางแบ่งเป็น
(ก) เรือนจำกลางบางขวาง โดยปกติรับควบคุมกักขังผู้ต้องขังที่มีคำพิพากษาแล้ว กำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ ๑๐ ปีขึ้นไป และกำหนดโทษประหารชีวิต
(ข) เรือนจำกลางประจำเขต โดยปกติรับควบคุมกักขังนักโทษเด็ดขาดที่มีกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ ถึง ๑๐ ปี
(ค) เรือนจำพิเศษ โดยปกติรับควบคุมกักขังผู้ต้องขังเฉพาะแต่ละประเภท คือ หญิง เด็ก คนชรา หรือพิการทุพพลภาพ คนเป็นโรคเรื้อน คนเป็นวัณโรค คนเป็นโรคจิต หรือคนเป็นโรคติดต่ออันตรายต่างๆ
(๒) เรือนจำส่วนภูมิภาคแบ่งเป็น
(ก) เรือนจำจังหวัด
(ข) เรือนจำอำเภอ
เรือนจำส่วนภูมิภาคนี้ โดยปกติรับควบคุมกักขังผู้ต้องขังที่เป็นคนฝาก คนต้องขัง นักโทษเด็ดขาด จำแทนเงินค่าปรับ นักโทษเด็ดขาดที่มีกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี
(๓) เรือนจำชั่วคราว หมายถึง เรือนจำซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการระบายผู้ต้องขังที่มีความประพฤติดีออกไปรับการฝึกอบรมอาชีพนอกเรือนจำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการอบรมและฝึกอาชีพเกษตรกรรม เรือนจำประเภทนี้ตามหลักแล้วไม่เป็นเรือนจำถาวร เมื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์แล้วก็ยุบเลิกไป หรืออาจประกาศตั้งเป็นเรือนจำถาวรต่อไปก็ได้
[กลับไปที่บทความ]
11. กฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช ๒๔๗๙ ลงวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ข้อ ๒๘
[กลับไปที่บทความ]
12. คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๓ / ๒๕๔๔
สำหรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ ๓ / ๒๕๔๔ นี้ ผู้เขียนมีความเห็นว่า กรณีจำเลยต้องขังอยู่ในเรือนจำโดยกรมราชทัณฑ์มีหน้าที่ ในการควบคุมตัวระหว่างพิจารณาคดีอาญา เป็นการควบคุมโดยศาลออกหมายขังระหว่างพิจารณา จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอาญาอย่างหนึ่ง และพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ นี้ เป็นกฎหมายที่บังคับใช้เพื่อให้กระบวนพิจารณาคดีอาญาเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พระราชบัญญัติดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
[กลับไปที่บทความ]
13. จรัญ โฆษณานันท์, สิทธิมนุษยชนไร้พรมแดน ปรัชญา กฎหมาย และความเป็นจริงทางสังคม (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ นิติธรรม, ๒๕๔๕) , ๑๒๖
[กลับไปที่บทความ]
14. Alan S. Rosenbaum (Ed), The Philosophy of Human Rights International Perspective. (London, Aldwych, Press, 1980 P.18) อ้างถึงใน จรัญ โฆษณานันท์, สิทธิมนุษยชน ไร้พรมแดน ปรัชญา กฎหมาย และความเป็นจริงทางสังคม (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์นิติธรรม, ๒๕๔๕) , ๑๒๖ ๑๒๗
[กลับไปที่บทความ]
15. มนตรี รูปสุวรรณ และคณะ , เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์วิญญูชน , ๒๕๔๒) , ๘๙
[กลับไปที่บทความ]
16. Klaus Sterm, Das. Staoat srecht der Bundesre publik Deutschland, Band III / 2, Allgemeine Lehren der Grundrechte, S 1113. อ้างถึงใน อุดม รัฐอมฤต และคณะ, การอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือการใช้สิทธิและเสรีภาพของบุคคลตาม มาตรา ๒๘ (กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัดนานาสิ่งพิมพ์, ๒๕๔๔) , ๑๗๙ ๑๘๐
[กลับไปที่บทความ]
17. พระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓
[กลับไปที่บทความ]
18. รายงานการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ ๑๔ วันอังคารที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๐ หน้า ๑๓๘ - ๑๔๐
[กลับไปที่บทความ]
19. คำปรารภ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
[กลับไปที่บทความ]
20. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๘
[กลับไปที่บทความ]
21. Ren? CHAPUS. Drodit Administratif G?n?ral, T.1, 4 e ?dition, (paris : Montchrestien, 1988), P 35 อ้างถึงใน สมคิด เลิศไพฑูรย์ , หลักความเสมอภาค วารสารนิติศาสตร์ ๒ (มิถุนายน ๒๕๔๓) : ๑๖๕
[กลับไปที่บทความ]
22. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ . เงื่อนไขการตรากฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน : มาตร ในการควบคุมตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย . วารสารนิติศาสตร์ ๒ (มิถุนายน ๒๕๔๓) : ๑๘๗ ๑๘๙
[กลับไปที่บทความ]
เอกสารอ้างอิง
คณิต ณ นคร . กฎหมายอาญาภาคความผิด . พิมพ์ครั้งที่ ๗ กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๓
จรัญ โฆษณานันท์ . สิทธิมนุษยชนไร้พรมแดน ปรัชญา กฎหมาย และความเป็นจริงทางสังคม, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์นิติธรรม, ๒๕๔๕
ณรงค์ ใจหาญ . กฎหมายอาญา ว่าด้วยโทษและวิธีการเพื่อความปลอดภัย . กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์วิญญูชน, ๒๕๔๓
บวรศักดิ์ อุวรรณโณ . กฎหมายมหาชน เล่ม ๓ ที่มาและนิติวิธี . กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์นิติธรรม, ๒๕๓๘
ประเทือง ธนิยผล . อาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา . กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๕
มนตรี รูปสุวรรณ และคณะ . เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ . กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์วิญญูชน, ๒๕๔๒
วิสัย พฤกษะวัน . คำอธิบายพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ . พิมพ์ครั้งที่ ๓ กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัดทิพย์อักษร, ๒๕๔๔
อุดม รัฐอมฤต , นพนิธิ สุริยะ บรรเจิด สิงคเนติ . การอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือการใช้สิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามมาตรา ๒๘ . กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัดนานาสิ่งพิมพ์, ๒๕๔๔
เกรียงไกร เจริญธนาวัฒน์ , การจำกัดสิทธิและเสรีภาพ วารสารศาลรัฐธรรมนูญ, เล่ม ๙ กันยายน ธันวาคม ๒๕๔๔
วรเจตน์ ภาคีรัตน์ , เงื่อนไขการตรากฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน : มาตร ในการควบคุมตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย วารสารนิติศาสตร์ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๓
สมคิด เลิศไพฑูรย์ , หลักความเสมอภาค วารสารนิติศาสตร์ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๓
ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2547
|
|
 |
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=703
เวลา 21 เมษายน 2568 14:35 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|
|