|
 |
สาระสำคัญของพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ 3 มกราคม 2548 17:27 น.
|
ส่วนที่ ๑
ความเป็นมาของกฎหมาย
๑. ข้อความคิดเดิมเกี่ยวกับความรับผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
[๑] แนวความคิดของนักกฎหมายไทยเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่เดิมนั้น
เห็นว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐมิได้แตกต่างจากการกระทำของประชาชนทั่วไป หากเจ้าหน้าที่
ของรัฐกระทำละเมิดและก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่บุคคลอื่นหรือแม้แต่แก่หน่วยงานของรัฐเอง
เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการกระทำละเมิดนั้นก็จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย
หรือรัฐ แล้วแต่กรณีจนเต็มจำนวนความเสียหายที่เกิดขึ้นเสมือนหนึ่งว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นได้กระทำในฐานะส่วนตัว หากกการละเมิดนั้นเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่หลายคน ไม่ว่าจะเป็นกรณี
เจ้าหน้าที่แต่ละคนร่วมกันกระทำละเมิดขึ้นหรือในกรณีเจ้าหน้าที่แต่ละคนมิได้ร่วมกันกระทำละเมิด
แต่การกระทำของเจ้าหน้าที่แต่ละคนเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดการละเมิดขึ้น เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกคนก็จะต้องร่วมกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ซึ่งหมายความว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้เสียหายหรือแก่รัฐ แล้วแต่กรณีจนเต็มจำนวนความ
เสียหาย ถ้าไม่สามารถเรียกให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหรือหลายคนชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ คนที่เหลือ
ก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจนเต็มจำนวนอยู่นั่นเอง ซึ่งข้อความคิดในการกำหนดความรับผิด
ในกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดเช่นว่านี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วย
ละเมิด
[๒] อย่างไรก็ดี แม้ข้อกำหนดเกี่ยวกับความรับผิดในการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ดังกล่าวจะทำให้รัฐสามารถเรียกคืนค่าสินไหมทดแทนที่รัฐต้องจ่ายให้แก่ผู้เสียหายไปก่อนหรือสามารถ
ชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รัฐเองได้จนเต็มจำนวน แต่ในทางตรงกันข้าม หลักเกณฑ์ดังกล่าว
กลับกลายเป็นอุปสรรคอย่างสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ด้วยเกรงว่าการกระทำของตน
อาจก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นและตนต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่การกระทำของ
เจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติหน้าที่เป็นการกระทำแทนรัฐ และเจ้าหน้าที่ก็ได้รับค่าตอบแทนต่ำอยู่แล้ว
หลักเกณฑ์ดังกล่าวจึงไม่เป็นธรรมต่อเจ้าหน้าที่ สภาพการไม่กล้าที่จะตัดสินใจกระทำการตามอำนาจ
หน้าที่นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการจัดทำบริการสาธารณะของหน่วยงานของรัฐในอดีต
ที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก ซึ่งผลเสียก็จะตกแก่ประชาชนในท้ายที่สุด
[๓] สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ติดตามสภาพปัญหาดังกล่าวมาเป็นเวลานาน
และเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิด
ของเจ้าหน้าที่เสียใหม่ เพื่อความเป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดทำ
บริการสาธารณะของหน่วยงานของรัฐ จึงเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการ
ยกร่างกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ขึ้น เพื่อศึกษาวิเคราะห์หลักเกณฑ์เกี่ยวกับ
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เหมาะสมโดยศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศ และ
ยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ขึ้น โดยมีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ปฏิบัติหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการดังกล่าว
๒. ข้อความคิดใหม่เกี่ยวกับความรับผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
[๔] หากพิเคราะห์การกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยละเอียดแล้ว จะเห็นว่าการกระทำ
ของเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท ประเภทแรกเป็นการกระทำในการปฏิบัติ
หน้าที่ ซึ่งได้แก่การกระทำการตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือตามคำสั่ง
ของผู้บังคับบัญชา เพื่อประโยชน์ของทางราชการ เช่น การอนุมัติ การอนุญาต การเดินทางไปราชการ
เป็นต้น ส่วนอีกประเภทหนึ่งเป็นการกระทำที่มิใช่การปฏิบัติหน้าที่หรือการกระทำที่เป็นไปเพื่อประโยชน์
หรือเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ส่วนตัว
[๕] ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการใดที่มิใช่การปฏิบัติหน้าที่ก็ย่อมต้องถือว่าการ
กระทำดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นเอง หากการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิด
ความเสียหายแก่บุคคลภายนอกหรือแก่หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ผู้นั้นก็จะต้องรับผิดชอบในการกระทำ
นั้นเป็นการส่วนตัว ไม่มีเหตุผลใดที่หน่วยงานของรัฐจะต้องร่วมรับผิดชอบในการกระทำของเจ้าหน้าที่
ดังกล่าว เช่น ระหว่างเดินทางจากบ้านพักมาปฏิบัติราชการ ณ ที่ทำงาน เจ้าหน้าที่ขับรถยนต์ส่วนตัวชน
นาย ก.ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่ผู้นั้นก็ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว เป็นต้น
[๖] แต่กรณีการกระทำของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่นั้น โดยที่หน่วยงานของรัฐ
มีสถานะเป็นนิติบุคคลซึ่งไม่มีตัวตนและไม่สามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้ด้วยตนเอง
การดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐจึงต้องกระทำโดยผ่านเจ้าหน้าที่ของรัฐ การกระทำ
ของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติหน้าที่จึงมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์เฉพาะตัว แต่เป็นการกระทำ
"แทนหน่วยงานของรัฐ" ดังนั้น หากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น
แก่บุคคลภายนอกหรือแก่หน่วยงานของรัฐเอง หน่วยงานของรัฐก็ชอบที่จะต้องรับภาระในความเสียหาย
ที่เกิดขึ้นก่อน แต่เมื่อหน่วยงานของรัฐรับภาระในความเสียหายนั้นไว้แล้วจะเรียกให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ผู้ก่อให้เกิดความเสียหายชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่รัฐได้หรือไม่ และเป็นจำนวนเท่าใดนั้น หน่วยงานของรัฐก็พึงควรที่จะคำนึงด้วยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้กระทำละเมิดนั้นมีความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่มากน้อยเพียงใด
[๗] ในทางปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบมาก อีกทั้งการ
บริหารงานภาครัฐนั้นจำเป็นต้องใช้ความรู้และประสบการณ์มาก และต้องใช้การตัดสินใจที่ละเอียดอ่อน
ความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่จึงเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้น หากความบกพร่องในการ
ปฏิบัติหน้าที่นั้นเป็นความบกพร่องที่ย่อมอาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ รัฐก็ไม่พึงควร
เรียกให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้กระทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่รัฐได้จ่ายแก่ผู้เสียหายไปแล้ว
เพราะในการดำเนินการใด ๆ ก็ตามนั้นเป็นธรรมดาอยู่เองที่อาจเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้แม้จะได้ใช้
ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว แต่หากการกระทำละเมิดนั้นเกิดขึ้นจากความบกพร่องในการปฏิบัติ
หน้าที่อย่างมากหรืออย่างร้ายแรงแล้ว ก็สมควรที่หน่วยงานของรัฐจะเรียกให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้กระทำ
ละเมิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่หน่วยงานของรัฐรัฐได้ชดใช้แก่ผู้เสียหายไปแล้วหรือแก่ความ
เสียหายที่เกิดขึ้นแก่หน่วยงานรัฐ เนื่องจากความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่อย่างมากหรืออย่าง
ร้ายแรงดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นมิได้ใช้ความรอบคอบหรือความระมัด
ระวังในการปฏิบัติหน้าที่เลย
[๘] สำหรับกรณีเหตุละเมิดเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่หลายคน หน่วยงานของรัฐ
ก็ควรที่จะต้องพิจารณากำหนดความรับผิดของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นราย ๆ ไป เพราะแม้เจ้าหน้าที่
ทุกคนจะบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายขึ้น แต่ในทางข้อเท็จจริงแล้ว
เจ้าหน้าที่แต่ละคนนั้นมีความรับผิดชอบและความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ในระดับที่แตกต่างกันการกำหนดให้เจ้าหน้าที่ซึ่งมีความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่เช่นที่ธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้ในการ
ปฏิบัติหน้าที่ ต้องรับผิดเท่ากับเจ้าหน้าที่ซึ่งบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่อย่างมากหรืออย่างร้ายแรง
ย่อมไม่เป็นธรรม
๓. ความรับผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
[๙] พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้นำข้อความคิด
ใหม่เกี่ยวกับความรับผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐมาบัญญัติเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณากำหนดความ
รับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐขึ้นใหม่ ดังนี้
[๑๐] (๑) แยกการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐออกเป็น ๒ ประเภท คือ กรณีเจ้าหน้าที่
ของรัฐกระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก และกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ
(๒) กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก
[๑๑] ๒.๑ แยกความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ออกจากการ
กระทำละเมิดที่มิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ โดยหากเป็นการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่มิใช่การปฏิบัติ
หน้าที่ เจ้าหน้าที่ผู้นั้นจะต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว แต่หากเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติ
หน้าที่ กฎหมายกำหนดให้หน่วยงานของรัฐรับภาระชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่
ผู้ได้รับความเสียหายไปก่อน
[๑๒] ๒.๒ กำหนดหลักเกณฑ์ในการที่หน่วยงานของรัฐจะใช้สิทธิไล่เบี้ยให้เจ้าหน้าที่
ชดใช้เงินคืนแก่หน่วยงานของรัฐภายหลังจากที่หน่วยงานของรัฐได้รับภาระชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ได้รับความเสียหายไปก่อนแล้วขึ้นใหม่ โดยหน่วยงานของรัฐจะใช้สิทธิไล่เบี้ย
โดยเรียกให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้กระทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคืนแก่หน่วยงานของรัฐได้เฉพาะ
กรณีความเสียหายจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้น
กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้น ส่วนว่าหน่วยงานของรัฐจะใช้สิทธิไล่เบี้ย
ได้มากน้อยเพียงใดนั้น ก็จะต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงเป็นกรณี ๆ ไป โดยหน่วยงานของรัฐไม่จำต้องได้รับ
ชดใช้จนเต็มจำนวนความเสียหาย
[๑๓] ๒.๓ กำหนดหลักเกณฑ์ในการใช้สิทธิไล่เบี้ยกรณีการกระทำละเมิดเกิดขึ้น
จากการกระทำของเจ้าหน้าที่หลายคนว่า เจ้าหน้าที่แต่ละคนไม่ต้องร่วมกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม
แต่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเป็นกรณีไปว่าแต่ละคนสมควรต้องร่วมรับผิดมากน้อยเพียงใด โดยหน่วยงาน
ของรัฐไม่จำต้องได้รับชดใช้จนเต็มจำนวนความเสียหาย
(๓) กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ
[๑๔] กำหนดหลักเกณฑ์ในการที่หน่วยงานของรัฐจะเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิด
ต่อหน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่หน่วยงานของรัฐขึ้นใหม่ว่าหน่วยงานของรัฐจะเรียกให้
เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้กระทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่หน่วยงานของรัฐได้เฉพาะกรณีที่เจ้าหน้าที่
ผู้นั้นกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้น ส่วนว่าหน่วยงานของรัฐจะใช้สิทธิไล่เบี้ย
ได้มากน้อยเพียงใดนั้นต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงเป็นกรณี ๆ ไป โดยหน่วยงานของรัฐไม่จำต้องได้รับ
ชดใช้จนเต็มจำนวนความเสียหาย ส่วนกรณีการกระทำละเมิดเกิดขึ้นจากการกระทำของเจ้าหน้าที่
หลายคนว่า เจ้าหน้าที่แต่ละคนไม่ต้องร่วมกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม แต่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเป็นกรณีไป
ว่าแต่ละคนสมควรต้องร่วมรับผิดมากน้อยเพียงใด โดยหน่วยงานของรัฐไม่จำต้องได้รับชดใช้จนเต็ม
จำนวนความเสียหาย
ส่วนที่ ๒
ความรับผิดของหน่วยงานของรัฐกรณีเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อบุคคลอื่น
๑. หลักเกณฑ์ความรับผิด
[๑๕] มาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
บัญญัติหลักเกณฑ์ความรับผิดของหน่วยงานของรัฐกรณีเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อบุคคลอื่นไว้ดังนี้
มาตรา ๕ หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรงแต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งมิได้สังกัดหน่วยงานของรัฐแห่งใด ให้ถือว่า
กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่ง
[๑๖] ดังนั้น หากเจ้าหน้าที่ของรัฐได้กระทำละเมิดและก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่
บุคคลภายนอกและการกระทำละเมิดดังกล่าวเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ หน่วยงานของรัฐ
ซึ่งเป็นต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นก็ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้ก่อขึ้น
๒. องค์ประกอบของความรับผิด
[๑๗] องค์ประกอบของความรับผิดเพื่อละเมิดของหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๕ ดังกล่าว
ข้างต้น มีอยู่ ๓ ประการ
ประการที่หนึ่ง ต้องมีการกระทำละเมิดเกิดขึ้น
ประการที่สอง การกระทำละเมิดดังกล่าวนั้นกระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ และ
ประการที่สาม การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่
[๑๘] องค์ประกอบของความรับผิดดังกล่าวนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาความสับสนในทางปฏิบัติ
ได้ว่าการกระทำละเมิดคืออะไร เจ้าหน้าที่ของรัฐคือใคร และการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่
เป็นอย่างไร ดังนั้น ก่อนที่จะกล่าวในรายละเอียดเกี่ยวกับความรับผิดของหน่วยงานของรัฐในกรณี
เจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อบุคคลอื่นในรายละเอียด ผู้เขียนจะได้อธิบายเสียก่อนว่าการกระทำละเมิด
คืออะไร เจ้าหน้าที่ของรัฐคือใคร และการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างไร
๒.๑ การกระทำละเมิดคืออะไร?
[๑๙] พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯมิได้นิยามคำว่า "ละเมิด"
ว่าหมายถึงอะไร การพิจารณาความหมายของคำว่า "ละเมิด" จึงต้องพิจารณาตามบทบัญญัติแห่ง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ซึ่งมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์บัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา ๔๒๐ ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายแก่ชีวิตก็ดี ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นกระทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
[๒๐] ดังนั้น การกระทำใดจะเป็นการกระทำละเมิดหรือไม่จึงมีข้อพิจารณาดังนี้
(๑) ต้องมีการกระทำ
[๒๑] "การกระทำ" หมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกในการเคลื่อนไหว และอยู่ใน
บังคับของจิตใจผู้กระทำ และรวมถึงการงดเว้นที่จะกระทำการอันมีหน้าที่ต้องกระทำด้วย ไม่ว่าจะเป็น
หน้าที่ตามกฎหมาย ตามระเบียบปฏิบัติงาน ตามสัญญา ตามวิชาชีพ แต่ไม่รวมถึงหน้าที่ตามศีลธรรม
[๒๒] ตัวอย่างที่ ๑ เทศบาลดำเนินการขยายถนน ทำให้บ่อน้ำซึ่งขอบเป็นคอนกรีตเข้ามาอยู่ใน
ตัวถนน เมื่อเปิดถนนที่ขยายให้รถสัญจรไปมาได้ ก็ไม่ถมบ่อทำให้เรียบเป็นพื้นถนนธรรมดาและไม่ได้
ทำเครื่องหมายหรือสัญญาณบอกไว้ โจทก์ขับรถยนต์มาชนบ่อน้ำเข้าโดยมิได้ประมาท รถยนต์เสียหาย
ต้องถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของเทศบาล2
[๒๓] ตัวอย่างที่ ๒ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงินของสุขาภิบาลกำหนดให้
ต้องมีกรรมการควบคุมการไปรับเงินที่ธนาคาร หากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นประธานกรรมการสุขาภิบาล
ตั้งกรรมการไปรับเงินร่วมกับจำเลยที่ ๑ ตามระเบียบ กรรมการก็อาจควบคุมมิให้จำเลยที่ ๑ ปลอม
ใบขอถอนเงินและรับเงินไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว การละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบดังกล่าวของ
จำเลยที่ ๒ จึงเป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้สุขาภิบาลโจทก์เสียหาย จึงเป็นการกระทำละเมิด3
(๒) ต้องเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
[๒๔] การกระทำโดย "จงใจ" นั้นในทางกฎหมายหมายถึงการกระทำโดยผู้กระทำรู้สึกนึก
ถึงผลเสียหายที่จะเกิดจากการกระทำของตน กล่าวคือ รู้ว่าการกระทำนั้นจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ส่วนว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดนั้นไม่สำคัญ
[๒๕] การกระทำโดยจงใจนั้นมีความหมายกว้างกว่ากระทำโดย "เจตนา" ตามประมวล
กฎหมายอาญา เพราะการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา ๕๙ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายอาญา4
ผู้กระทำต้องประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นด้วย เช่น นาย ก. ทะเลาะ
กับนาย ข. จึงใช้มือผลักอกนาย ข. นาย ข. ลื่นล้มลงหัวฟาดถนนถึงแก่ความตาย เช่นนี้ นาย ก. จะมี
ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ แต่ถือว่า นาย ก.กระทำ
ละเมิดต่อนาย ข. โดยจงใจ เพราะนาย ก.ย่อมรู้ว่าการกระทำของตนจะทำให้นาย ข. เสียหาย เพียงแต่
ไม่ทราบว่านาย ข. จะเสียหายมากน้อยเพียงใดเท่านั้น
[๒๖] ส่วนการกระทำโดย "ประมาทเลินเล่อ" นั้นมีความหมายเช่นเดียวกับการกระทำโดย
ประมาทในทางอาญาตามมาตรา ๕๙ วรรคสี่ แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่บัญญัติว่า "การกระทำโดย
ประมาทได้แก่กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนาแต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะ
เช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หากได้ใช้
ให้เพียงพอไม่"
[๒๗] "วิสัย" หมายถึง สภาพเกี่ยวกับตัวผู้กระทำ เช่น อายุ เพราะเด็กและผู้ใหญ่จะมีความ
ระมัดระวังในเรื่องเดียวกันต่างกัน เนื่องจากมีประสบการณ์แตกต่างกัน เพศชายและหญิงต่างมีความ
ระมัดระวังในแต่ละเรื่องต่างกัน ผู้ประกอบวิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่ง หรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
หรือผู้ปฏิบัติงานใดงานหนึ่งมาเป็นระยะเวลานาน ก็ย่อมมีความระมัดระวังในวิชาชีพหรือเรื่องที่ตน
เชี่ยวชาญหรือชำนาญงานมากกว่าคนทั่วไป เป็นต้น
[๒๘] "พฤติการณ์" หมายถึง ปัจจัยแวดล้อมผู้กระทำ เช่น เหตุเกิดกลางวันหรือกลางคืน
มีฝนตกถนนลื่นหรือไม่ มีเวลาที่จะคิดคำนวณไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะกระทำการใดการหนึ่งลงไป
หรือไม่ เป็นต้น เพราะพฤติการณ์แวดล้อมเหล่านี้จะมีผลต่อระดับความระมัดระวังในการกระทำที่เกิดขึ้น
ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น เช่น ถ้าฝนตกถนนลื่นผู้ขับขี่รถยนต์ทั่วไปย่อมต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น
กว่าการขับรถยนต์ในภาวะปกติ เป็นต้น
[๒๙] ดังนั้น การวินิจฉัยว่าประมาทเลินเล่อหรือไม่ จึงต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นกรณี ๆ ไป
[๓๐] ตัวอย่างที่ ๑ ตำรวจจับและยึดเรือจับปลาทูสดที่โจทก์บรรทุกเข้ามาในราชอาณาจักรโดยอ้างว่ายังไม่เสียภาษีโดยไม่ตรวจสอบว่ากฎหมายยกเว้นภาษีปลาทูสด การกระทำของตำรวจดังกล่าวจึงเป็นการกระทำละเมิดโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่5
[๓๑] ตัวอย่างที่ ๒ ลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์มาตามถนนตามปกติ แต่มีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกจากซอยด้านซ้ายมือตัดหน้าในระยะกระชั้นชิดมาก ลูกจ้างของจำเลยจึงหักหลบโดยไม่มีโอกาสได้ทันคิดหรือตัดสินใจว่าควรจะหักหลบไปทางใดได้โดยปลอดภัย เมื่อการหักหลบดังกล่าวไปชนรถยนต์ของโจทก์ที่สวนทางมา จึงไม่ใช่ความประมาทของลูกจ้างของจำเลย6
[๓๒] ตัวอย่างที่ ๓ เป็นตัวอย่างที่ผู้เขียนเห็นว่าแสดงให้เห็นถึงแนวทางในการวินิจฉัยว่าการกระทำใดเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อได้ชัดเจนได้แก่คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๑๙/๒๕๑๐ โดยจำเลยขับรถในราชการตำรวจไปตามถนนโดยใช้สัญญาณไฟกระพริบและแตรไซเรนเพื่อนำผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุส่งโรงพยาบาล ซึ่งการขับรถยนต์โดยใช้สัญญาณดังกล่าวมิได้หมายความว่าผู้ขับขี่จะขับเร็วเท่าใดก็ได้ แต่จะต้องขับด้วยความเร็วไม่สูงเกินกว่าที่ควรกระทำในพฤติการณ์เช่นนั้น
ในการนี้ จำเลยขับรถยนต์ดังกล่าวมาด้วยความเร็ว ๘๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อจะขึ้นสะพานได้ลด
ความเร็วลงเหลือ ๕๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่มีรถบรรทุกแล่นสวนมาบนสะพานโดยไม่หยุด และมี
เด็กวิ่งข้ามถนนตัดท้ายรถบรรทุกในระยะกระชั้นชิด จำเลยไม่สามารถหยุดรถได้ทันทีจึงต้องหักหลบ
แล้วไปชนผู้ตาย ถือได้ว่าความเร็วที่จำเลยใช้ในขณะข้ามสะพานไม่เป็นความเร็วเกินสมควรเมื่อ
พิจารณาจากเวลา สถานที่ และพฤติการณ์อื่น ๆ ในขณะนั้น จึงไม่เป็นการประมาทเลินเล่อ การที่เด็ก
วิ่งตัดท้ายรถบรรทุกข้ามถนนผ่านหน้ารถจำเลยในระยะใกล้เป็นเหตุบังเอิญอันมิอาจคาดหมายได้
และเกิดขึ้นโดยฉับพลัน จึงเป็นเหตุที่ไม่มีใครป้องกันได้จึงถือว่าจำเลยได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร
อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลในฐานะที่ประสบเหตุเช่นนั้นแล้ว เหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นเหตุสุดวิสัย
(๓) ต้องเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย
[๓๓] การกระทำโดยผิดกฎหมาย หมายความว่ากระทำโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือ
โดยไม่มีอำนาจหรือไม่มีสิทธิโดยชอบที่จะกระทำการนั้นได้ นอกจากนี้ โดยที่มาตรา ๔๒๑ แห่ง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่า "การใช้สิทธิซึ่งมีแต่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น
ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย" ดังนั้น การกระทำโดยผิดกฎหมายอันจะเป็นการกระทำละเมิด
จึงหมายความรวมไปถึงการใช้สิทธิที่ผู้กระทำมีอยู่ตามกฎหมายทำให้บุคคลอื่นเสียหายด้วย
[๓๔] การใช้สิทธิที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น จะต้องเป็นการแกล้ง
โดยผู้กระทำมุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่ผู้อื่นฝ่ายเดียว7 เช่น นาย ก. ขอรังวัดที่ดิน นาย ข. คัดค้าน
การรังวัดโดยอ้างว่านาย ก.นำรังวัดล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของตนและขอวัดสอบเขตก่อน แต่ก็ไม่
ดำเนินการใด ๆ เมื่อนาย ก.จัดให้มีการรังวัดใหม่ นาย ข. ก็ยังคัดค้านแต่ก็ไม่ดำเนินการขอวัดสอบเขต
เหมือนเช่นเดิม ดังนี้ เป็นการกระทำซึ่งมีแต่จะเสียหายแก่บุคคลอื่นตามมาตรา ๔๒๑8 ส่วนการฟ้องคดี
ต่อศาลมิใช่การใช้สิทธิโดยแกล้งเนื่องจากเป็นการใช้สิทธิทางศาลอันเป็นสิ่งที่กฎหมายอนุญาต เว้นแต่
โจทก์จะไม่สุจริตคือไม่หวังผลธรรมดาจากการใช้สิทธิทางศาลหรือจงใจให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายโดย
ใช้ศาลเป็นเครื่องกำบัง9
(๔) การกระทำนั้นต้องก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
[๓๕] ความรับผิดทางละเมิดจะเกิดขึ้นเมื่อการกระทำนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่
บุคคลอื่น หากบุคคลอื่นยังไม่ได้รับความเสียหายจากการกระทำ ย่อมไม่เป็นละเมิด โดยความเสียหายนั้นจะเป็นความเสียหายที่เกิดแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ แต่ต้องเป็นความเสียหายที่แน่นอน กล่าวคือ ความเสียหายให้เกิดขึ้นแล้วหรือที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต และความเสียหายจะต้องเกิดจากผลโดยตรงของผู้กระทำด้วย และผู้ที่ได้รับ
ความเสียหายต้องเป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้กระทำโดยตรงหรือมีส่วนร่วมในการกระทำนั้น
๒.๒ เจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่คือผู้ใด
[๓๖] ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน่วยงานของรัฐ
จะต้องรับผิดในการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมาตรา ๔ แห่งกฎหมายดังกล่าว
นิยามคำว่า "เจ้าหน้าที่" ว่าหมายถึง "ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่า
จะเป็นการแต่งตั้งในฐานะเป็นกรรมการ หรือฐานะอื่นใด" และนิยามคำว่า "หน่วยงานของรัฐ"
ว่าหมายถึง "กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วน
ภูมิภาคราชการ ส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และ
ให้หมายรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้หน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติ
นี้ด้วย" ดังนั้น บุคคลทุกประเภทที่ทำงานให้แก่หน่วยงานรัฐ ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว
กรรมการ อนุกรรมการ คณะทำงาน หรือบุคคลที่กฎหมายกำหนด ให้เป็นเจ้าหน้าที่ เช่น บุคคลที่ต้อง
ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายต่าง ๆ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าหน้าที่ ของรัฐภายใต้บังคับแห่ง
กฎหมายนี้ทั้งสิ้น
[๓๗] คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เคยให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวไว้ว่า กรณี
ลูกจ้างเป็นครั้งคราวเฉพาะงานนั้น ต้องพิจารณาว่าลูกจ้างนั้นมีความสัมพันธ์กับหน่วยงานอย่างไร ถ้ามีความสัมพันธ์ในลักษณะการใช้อำนาจบังคับบัญชาก็ถือเป็นลูกจ้างตามนัยมาตรา ๔ แห่งกฎหมายนี้ แต่ถ้าเป็นความสัมพันธ์ตามสัญญาจ้างแรงงาน ลูกจ้างนั้นก็มิใช่ลูกจ้างตามกฎหมายนี้10 อย่างไรก็ดี หากหน่วยงานใดเป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๔ แห่งกฎหมายนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐแห่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการ อนุกรรมการ พนักงาน ฯลฯ ย่อมเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมายนี้ด้วย สำหรับกรณีหน่วยงานของรัฐทำสัญญาจ้างเอกชนทำหน้าที่บางอย่างแทนหน่วยงาน
ของรัฐ เช่น กรณี กฟภ. ทำสัญญาตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือประชาชนเพื่อทำหน้าที่เก็บ
ค่าไฟฟ้าแทน กฟภ. นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เห็นว่าเป็นการจ้างทำของตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อบต. และประชาชนผู้ได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ดังกล่าวจึงมิใช่เจ้าหน้าที่ตาม
มาตรา ๔ แห่งกฎหมายนี้11
๒.๓ เป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่
[๓๘] การกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่เป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ
มีอำนาจหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง และการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่นั้นได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่
บุคคลอื่นหรือแก่รัฐขึ้นโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ เช่น ขณะที่เจ้าหน้าที่สรรพสามิตเข้าไปจับกุม
ผู้ต้มเหล้าเถื่อนบริเวณชายป่าละเมาะท้ายหมู่บ้าน ผู้กระทำความผิดวิ่งหนีเข้าไปหลบอยู่ในบ้านของ
ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หากเจ้าหน้าที่สรรพสามิตตามเข้าไปในบ้านดังกล่าวเพื่อจับกุมผู้กระทำความผิด
แต่ไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่อยู่ในบ้านเหล่านั้น ก็เท่ากับเจ้าหน้าที่สรรพสามิตกระทำ
ละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งกรมสรรพสามิตก็ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้กระทำขึ้น
[๓๙] นอกจากอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้มีอำนาจกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
ดังกล่าวข้างต้นแล้ว หน้าที่ดังกล่าวยังอาจเกิดจากระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ชอบด้วย
กฎหมายด้วยการกระทำหรือละเว้นการกระทำในหน้าที่ดังกล่าวหากก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
หรือแก่รัฐก็เป็นการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน เช่น กรณีหัวหน้าส่วนราชการมีคำสั่ง
ให้ข้าราชการหรือลูกจ้างต้องมาปฏิบัติหน้าที่อยู่เวรเพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของหน่วยงาน
ในเวลากลางคืน นาย ก. ซึ่งได้รับมอบหมายให้อยู่เวรด้วยไม่มาเข้าเวร หรือมาลงชื่อรับเวรแล้ว
แต่ออกไปเที่ยวเตร่ไม่ได้อยู่รักษาเวร ก็ต้องถือว่า นาย ก. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แล้ว เป็นต้น
[๔๐] การวินิจฉัยว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่เป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น
ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นกรณี ๆ ไป ตัวอย่างเช่น นายอำเภอขับรถของทางราชการเพื่อไป
ตรวจราชการในพื้นที่ ระหว่างเดินทางไปราชการเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์ของบุคคลอื่นได้รับ
ความเสียหาย ก็ถือได้ว่าการกระทำละเมิดดังกล่าวเกิดขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ หรือกรณีเจ้าหน้าที่
ซึ่งผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ดูแลรับผิดชอบทรัพย์สินของทางราชการไม่ดูแลให้มีการล็อคห้องพัสดุ
ให้เรียบร้อย เป็นเหตุให้มีคนร้ายลักเอาทรัพย์สินในห้องพัสดุไป ก็ถือเป็นการกระทำละเมิดในการ
ปฏิบัติหน้าที่ หรือผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ดูแลให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของ
ทางราชการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ดูแลให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบฯ เป็นเหตุให้
ผู้ใต้บังคับบัญชาทุจริตยักยอกเงินของหน่วยงาน ก็เป็นการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน
[๔๑] มีข้อควรระวังในการวินิจฉัยว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่เป็นการกระทำในการปฏิบัติ
หน้าที่หรือไม่ ๒ ประการ
[๔๒] ประการที่หนึ่ง การกระทำละเมิดในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือในระหว่าง
เวลาราชการ มิใช่สิ่งบ่งชี้ว่าการกระทำละเมิดดังกล่าวเป็นการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น
กรณีนายอำเภอขับรถยนต์ของทางราชการเพื่อไปตรวจราชการในพื้นที่ ระหว่างเดินทางกลับจากการ
ตรวจราชการเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์ของบุคคลอื่นได้รับความเสียหาย แม้เหตุละเมิดดังกล่าวจะ
เกิดขึ้นหลังจากเวลา ๑๖.๓๐ นาฬิกา ก็ถือได้ว่าการกระทำละเมิดดังกล่าวเกิดขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่
เนื่องจากการไปตรวจราชการเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติหน้าที่ของนายอำเภอและเป็นการดำเนินการ
เพื่อประโยชน์ของทางราชการ อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวยังไม่เสร็จสิ้นลง
[๔๓] แต่กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านตรวจผู้กระทำผิดกฎจราจร ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่
เจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดบันดาลโทสะ ทำร้ายร่างกายผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎจราจร ดังนี้ แม้การกระทำ
ละเมิดจะเกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ แต่ก็มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของทางราชการ หากแต่เป็นไป
เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ผู้นั้น อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่มีหน้าที่ในการทำร้าย
ร่างกายประชาชน จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำละเมิดดังกล่าวเป็นการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่
[๔๔] ประการที่สอง กรณีเจ้าหน้าที่ทุจริตยักยอกเงินของทางราชการไปใช้เป็นประโยชน์
ส่วนตัวนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เคยให้ความเห็นไว้ว่าเป็นการกระทำความผิดโดย
ส่วนตัวตามกฎหมายอาญาฐานยักยอกทรัพย์สิน มิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วย
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ผู้นั้นจึงต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว แต่ผู้บังคับบัญชา
ของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะต้องรับผิดทางละเมิดตามกฎหมายนี้หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาพฤติการณ์
ของผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ผู้ทุจริตยักยอกเงินของทางราชการนั้นด้วยว่าจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
ในการปฏิบัติหน้าที่จนเป็นเหตุให้เกิดมีการทุจริตยักยอกเงินนั้นหรือไม่ แต่ถ้าร่วมกับเจ้าหน้าที่กระทำ
ทุจริตก็เป็นการกระทำโดยส่วนตัวตามกฎหมายอาญา มิใช่การกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ตาม
กฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่12
ส่วนที่ ๓
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
[๔๕] ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิด
ของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ความรับผิดกรณีการกระทำละเมิดมิใช่การกระทำ
ในการปฏิบัติหน้าที่ และความรับผิดกรณีการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่
๑. กรณีการกระทำละเมิดมิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่
[๔๖] กรณีที่เจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อบุคคลอื่นหรือต่อหน่วยงานของรัฐ ซึ่งไม่ใช่การกระทำ
ในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น ทะเลาะวิวาทชกต่อยกับบุคคลอื่น เจตนาทุจริตยักยอกทรัพย์ของทางราชการ
หรือเอารถของทางราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ระหว่างนั้น เกิดอุบัติเหตุเป็นเหตุให้รถยนต์ของทาง
ราชการเสียหาย หรือกระทำการใด ๆ ให้ทรัพย์สินของหน่วยงานของรัฐเสียหายอันไม่ได้เกิดจากการ
ปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่จะต้องรับผิดในการกระทำละเมิดเป็นการส่วนตัวตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด
๒. กรณีการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่
(๑) ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
[๔๗] หากเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าการกระทำละเมิดดังกล่าวจะเกิด
ผลโดยตรงต่อบุคคลภายนอกและหน่วยงานของรัฐได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกไปแล้ว
หรือกรณีที่เจ้าหน้าที่กระทำละเมิดในหน้าที่ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐโดยตรง
เจ้าหน้าที่จะต้องรับผิดในการละเมิดนั้นเฉพาะกรณีเจ้าหน้าที่นั้นได้กระทำการนั้นไปด้วยความจงใจ
หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หากเจ้าหน้าที่มิได้กระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
อย่างร้ายแรงแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้นั้นไม่ต้องรับผิดในการละเมิดดังกล่าว หน่วยงานของรัฐจะใช้สิทธิไล่เบี้ย
หรือเรียกให้เจ้าหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ได้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง ประกอบกับ
มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๘ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย
เพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่ ให้หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิด
ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้น
ไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ฯลฯ ฯลฯ
มาตรา ๑๐ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐไม่ว่า
จะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ผู้นั้นอยู่ในสังกัดหรือไม่ ถ้าเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่
การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๗ มาใช้บังคับโดย
อนุโลม แต่ถ้ามิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ฯลฯ ฯลฯ
[๔๘] ส่วนปัญหาว่าการกระทำใดเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นกรณี ๆ ไป โดยมีข้อพิจารณาเบื้องต้นดังนี้
- การกระทำโดยจงใจอย่างร้ายแรงนั้นจะต้องเป็นการกระทำที่ผู้กระทำจงใจและคาดเห็นได้อย่างแน่นอนว่าการกระทำดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าปกติ
- การกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต้องเป็นกรณีที่บุคคลนั้นได้กระทำไปโดยขาดความระมัดระวังอย่างมาก เช่น คาดเห็นได้ว่าความเสียหายอาจเกิดขึ้นได้ หรือหากใช้ความระมัดระวังสักเพียงเล็กน้อย ก็คงคาดเห็นได้ว่าอาจเกิดความเสียหายขึ้น
[๔๙] ตัวอย่างที่หนึ่ง โรงงานของจำเลย (กระทรวงการคลัง) เผาเศษปอทำให้มีควันดำ
ปกคลุมถนนจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า เป็นเหตุให้มีคนขับรถยนต์มาชนท้ายรถยนต์ของโจทก์
ที่จอดอยู่ได้รับความเสียหาย เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ๒-๓ ครั้ง แต่จำเลยก็ปล่อยปละ
ละเลยไม่เปลี่ยนวิธีเผาเศษปอเป็นวิธีอื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ
อย่างร้ายแรง13
[๕๐] ตัวอย่างที่สอง ความเสียหายเกิดขึ้นเนื่องจากคลื่นของเรืออื่นในลำแม่น้ำมาปะทะ
กับเรือฉลอมของจำเลยที่บรรทุกสินค้าและจอดอยู่ที่ท่าเรือ เรือฉลอมกระแทกกับท่า ทำให้สินค้าที่
บรรทุกบางส่วนเคลื่อนตกลงไปในแม่น้ำ เป็นผลพิบัติที่อาจป้องกันได้ถ้าได้จัดการระมัดระวังตาม
สมควร ไม่ใช่เป็นเหตุที่ไม่มีใครจะอาจป้องกันได้ จึงไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดจากเหตุสุดวิสัย จำเลย
บรรทุกสินค้าเกินกว่าเก๋งท้ายเรือหรือหลังคาอันเป็นการผิดระเบียบของกรมเจ้าท่า ถือได้ว่าเป็นความ
ประมาทเลินเล่อของจำเลยแล้วและเนื่องจากจำเลยมีอาชีพรับขนส่ง ย่อมมีหน้าที่ใช้ความระมัดระวัง
เป็นพิเศษกว่าปกติสามัญชน แต่กลับละเลยการปฏิบัติหน้าที่ในอาชีพอันควรต้องพึงปฏิบัติเสีย กล่าวคือ
เมื่อบรรทุกสินค้าลงเรือเสร็จแล้ว ส.ผู้ควบคุมเรือของจำเลยกับลูกเรืออีก ๓ คนขึ้นไปบนท่าหมดไม่มี
คนอยู่ในเรือที่จะคอยระมัดระวังป้องกันภัยอันตรายอันอาจจะเกิดความเสียหายขึ้นได้ ซึ่งโดยปกติต้อง
มีคนงานคอยระวังอยู่เพราะอาจมีคลื่นแรงมา ซึ่งแล้วก็มีคลื่นแรงมาจริง ๆ และปะทะเรือฉลอมที่บรรทุก
อยู่สูงตกลงไปในแม่น้ำเสียหาย ส.กับลูกเรือไม่สามารถจะเข้าไปช่วยประคองเรือเพื่อป้องกันความ
เสียหายไว้ได้เพราะเกรงว่ากระสอบสินค้าที่เคลื่อนหล่นลงมาจะทับเอาตามพฤติการณ์ถือว่าเป็นความ
ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลย จำเลยต้องรับผิด14
[๕๑] ตัวอย่างที่สาม โจทก์ขับรถยนต์ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงไป ๓/๔ คันแล้ว ถูกรถแท็กซี่
ซึ่งได้ไฟเขียวขับมาทางซ้ายชนที่ประตู การขับรถของโจทก์เป็นการประมาทฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง
อย่างธรรมดา ไม่ใช่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง15
[๕๒] ตัวอย่างที่สี่ จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นศึกษาธิการจังหวัดและผู้ช่วยศึกษาธิการ
จังหวัดตามลำดับ ได้ลงชื่อในใบถอนเงินฝากของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดที่ฝากประจำไว้กับธนาคาร
จำเลยที่ ๔ เพื่อโอนเข้าบัญชีกระแสรายวันของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งมีอยู่แล้วที่ธนาคารจำเลย
ที่ ๔ ทั้งนี้ เพื่อปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการโจทก์ที่ ๑ ว่าด้วยการจัดการกองทุนสงเคราะห์
โดยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มอบฉันทะให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นข้าราชการครูช่วยปฏิบัติงานสำนักงานศึกษาธิการ
จังหวัดเป็นผู้รับเงินแทนแต่ใบถอนเงินดังกล่าวมิได้ระบุว่าเป็นการถอนเงินเพื่อโอนไปฝากในบัญชี
กระแสรายวัน จึงเป็นใบถอนเงินเพื่อรับเงินสดไปจากธนาคาร แม้จำเลยที่ ๒ จะได้ทำหนังสือแจ้ง
ธนาคารจำเลยที่ ๔ ขอถอนเงินกองทุนสงเคราะห์ฯในบัญชีเงินฝากประจำโอนเข้าบัญชีกระแสรายวัน
มอบให้จำเลยที่ ๑ ไปก็ตาม แต่จำเลยที่ ๑ มิได้ยื่นหนังสือดังกล่าวต่อธนาคาร เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้รับเงิน
แล้วก็หลบหนีไป การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เพราะเป็นช่องทาง
ให้จำเลยที่ ๑ ทุจริตเอาเงินที่ถอนไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวได้โดยง่ายเนื่องจากธนาคารจำเลยที่ ๔
ต้องจ่ายเงินสดให้จำเลยที่ ๑ นอกจากนี้ การมอบฉันทะให้จำเลยที่ ๑ ไปถอนเงินเป็นจำนวนมากถึง
หกแสนบาทเศษ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ กลับมอบฉันทะให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับเงินแต่ผู้เดียว จึงเป็นความ
ประมาทเลินเล่อยิ่งขึ้น แม้ตามระเบียบจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มีหน้าที่มีหน้าที่ไปไถ่ถอนเงินด้วยตนเองเพราะ
มีอำนาจลงนามผู้ถอนเงิน และอาจมอบฉันทะให้ผู้อื่นทำการแทนได้ แต่จะต้องควบคุมดูแลและใช้
วิธีการที่รัดกุม รอบคอบเพื่อป้องกันมิให้เกิดการทุจริตขึ้นได้ แต่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ก็มิได้ดำเนินการ
ดังกล่าว จึงถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง16
เชิงอรรถ
1. โดยนายปกรณ์ นิลประพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันกฎหมายพัฒนาเศรษฐกิจ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
[กลับไปที่บทความ]
2. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๐๑/๒๕๐๒
[กลับไปที่บทความ]
3. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๙๐๔/๒๕๒๕
[กลับไปที่บทความ]
4. มาตรา ๕๙ ฯลฯ ฯลฯ
กระทำโดยเจตนา ได้แก่กระทำโดยรู้สึกสำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกัน ผู้กระทำประสงค์
ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ฯลฯ ฯลฯ
[กลับไปที่บทความ]
5. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๐๑๐/๒๕๒๐
[กลับไปที่บทความ]
6. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๖๘/๒๕๒๖
[กลับไปที่บทความ]
7. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๖๑๘/๒๕๑๒ และ ๒๖๙๓/๒๕๒๔
[กลับไปที่บทความ]
8. คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๐๒/๒๔๙๙
[กลับไปที่บทความ]
9. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๓/๒๕๑๖
[กลับไปที่บทความ]
10. เรื่องเสร็จที่ ๘๙๔/๒๕๔๒
[กลับไปที่บทความ]
11. เรื่องเสร็จที่ ๘๙๖/๒๕๔๒
[กลับไปที่บทความ]
12. เรื่องเสร็จที่ ๘๕๐/๒๕๔๒
[กลับไปที่บทความ]
13. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๘๙-๑๗๙๐/๒๕๑๘
[กลับไปที่บทความ]
14. คำพิพากษาฎีกาที่ ๙๔๓/๒๕๑๐
[กลับไปที่บทความ]
15. คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๑๒/๒๕๒๓
[กลับไปที่บทความ]
16. คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๒๙๓/๒๕๓๐
[กลับไปที่บทความ]
ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2546
|
[๕๓] ตัวอย่างที่ห้า สหกรณ์โจทก์มีระเบียบว่าด้วยการรับจ่ายและเก็บรักษาเงินของสหกรณ์
พ.ศ. ๒๕๒๐ โดยข้อ ๘ กำหนดว่าเหรัญญิกหรือเจ้าหน้าที่การเงินของสหกรณ์จะเก็บรักษาเงินสดของ
สหกรณ์ได้ไม่เกินหนึ่งพันบาท เงินสดส่วนที่เกินให้นำส่งเข้าฝากในธนาคารที่สหกรณ์เปิดบัญชี
เงินฝากไว้ ในกรณีจำเป็นไม่สามารถนำเข้าฝากได้ทันในเวลานั้น ๆ ให้ทำบันทึกเสนอประธาน
กรรมการหรือรองประธานกรรมการทราบ และให้นำส่งเข้าฝากในวันแรกที่เปิดทำการ เงินสดที่เก็บ
รักษาไว้ดังกล่าวข้างต้นให้เก็บรักษาไว้ในตู้นิรภัยของสหกรณ์ ซึ่งจำเลยทราบระเบียบดังกล่าวดีอยู่แล้ว
แต่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบโดยรักษาเงินสดของโจทก์ไว้เป็นจำนวนมากถึง ๔๓,๘๗๘.๒๒ บาท โดยละเลย
ไม่นำส่วนที่เกินหนึ่งพันบาทไปฝากธนาคาร ทั้งไม่ทำบันทึกเสนอประธานกรรมการหรือรองประธาน
กรรมการของโจทก์รับทราบ และเก็บรักษาลูกกุญแจตู้นิรภัยเก็บเงินไว้ในโต๊ะทำงานซึ่งอยู่ห่างจาก
ตู้นิรภัยเพียง ๑ เมตร ง่ายต่อการที่คนร้ายจะค้นพบแล้วนำไปไขเปิดตู้นิรภัยนั้น พฤติการณ์ของจำเลย
ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เมื่อมีคนร้ายลักลอบเข้ามางัดโต๊ะทำงานและ
ค้นได้ลูกกุญแจนำไปไขตู้นิรภัยแล้วลักเอาเงินสดจำนวนดังกล่าวข้างต้นไป ความเสียหายย่อมเป็นผล
โดยตรงจากการประมาทเลินเล่อของจำเลย ถือได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์17
[๕๔] ตัวอย่างที่หก เครื่องหมายจราจรเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้ผู้ขับรถได้ระมัดระวัง
เพื่อความปลอดภัยเท่านั้น การฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรยังถือไม่ได้ว่าเป็นความประมาท
เลินเล่ออย่างร้ายแรง18
[๕๕] ตัวอย่างที่เจ็ด ก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถมาตามถนนศรีนครินทร์ จากบางกะปิมุ่งหน้า
มาทางจังหวัดสมุทรปราการ พอมาถึงสี่แยกเทพารักษ์ จำเลยเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปทางอำเภอบางพลี
เพื่อจะกลับรถตรงบริเวณสิ้นสุดเกาะกลางถนน ครั้นมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบริเวณสุดเกาะกลางถนน
จำเลยก็เลี้ยวขวากลับรถและเมื่อรถเลี้ยวเลยหัวเกาะกลางถนนไปแล้วมีโจทก์ขับรถจักรยานยนต์ย้อน
ช่องเดินรถมาชนรถยนต์จำเลยที่ประตูด้านขวา หากโจทก์ไม่ขับรถจักรยานยนต์ย้อนช่องเดินรถเข้าไป
ชนรถยนต์จำเลยแล้ว รถทั้งสองคันก็ไม่อาจชนกันตรงบริเวณที่เกิดเหตุได้ และเมื่อพิจารณาสภาพรถ
ทั้งสองคันหลังจากชนกันปรากฏว่ารถจักรยานยนต์โจทก์พังยับเยินส่วนรถยนต์จำเลยประดูบุบยุบเข้าไป
ด้านใน กระจกหน้าแตกหมด แสดงว่าโจทก์ขับรถย้อนช่องเดินรถเข้าไปด้วยความเร็วสูงเพื่อจะให้
รถจักรยานยนต์ของตนเข้าไปอยู่ในช่องเดินรถด้านซ้าย จึงเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกันขึ้นและ
เหตุดังกล่าวเกิดจากการขับรถด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ หาใช่เกิดจากความ
ประมาทเลินเล่อของจำเลยไม่19
[๕๖] ตัวอย่างที่แปด จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงบนถนนที่ลื่นเพราะผิวจราจรเปียกและ
มีเศษดินตกอยู่ทั่วไปแล้วแซงรถยนต์คันอื่นล้ำเข้าไปในช่องเดินรถสวนชนรถที่แล่นสวนทางมา
เป็นการขับรถด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง20
(๒) การกำหนดจำนวนความรับผิด
[๕๗] เมื่อหน่วยงานของรัฐพิจารณาแล้วเห็นว่า ความเสียหายเกิดจากการกระทำละเมิด
ของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่และเจ้าหน้าที่กระทำไปโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
และเจ้าหน้าที่จะต้องรับผิดและถูกไล่เบี้ยหรือเรียกชดใช้ค่าสินไหมทดแทน การกำหนดจำนวนเงิน
หรือความรับผิดเป็นไปตามมาตรา ๘ วรรคสอง และวรรคสาม ซึ่งกำหนดไว้ว่า สิทธิเรียกให้ชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่งจะมีได้เพียงใด ให้คำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและ
ความเป็นธรรมในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์โดยมิต้องให้ใช้เต็มจำนวนของความเสียหายก็ได้ ถ้าการละเมิด
เกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐ หรือระบบการดำเนินงานส่วนรวมหรือหาก
เห็นว่าความเสียหายดังกล่าวหน่วยงานของรัฐมีส่วนบกพร่องอยู่ด้วย ให้หักส่วนแห่งความรับผิดดังกล่าว
ออกด้วย ในการกำหนดความเสียหายที่เจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดจะต้องรับผิดนั้น หน่วยงานของรัฐ
ที่เสียหายจะต้องกำหนดโดยคำนึงถึงความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐมาหักออกจากความรับผิดด้วย
[๕๘] ตัวอย่าง เจ้าหน้าที่ได้ขับรถพยาบาลฉุกเฉินเพื่อส่งผู้ป่วยให้ถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
ได้ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดในขณะที่ฝนตกหนักและรถเกิดพลิกคว่ำ แม้จะฟังได้ว่าเป็นการ
กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานของรัฐจะเรียกให้
เจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดชดใช้ค่าเสียหายเพียงใดนั้น ก็จะต้องพิจารณาระดับความร้ายแรงแห่ง
การกระทำ เช่น สภาพถนนที่เกิดเหตุ ความเร็วที่ใช้สภาพการจราจร และความเป็นธรรมในกรณี
ที่เกิดขึ้นด้วย เช่น คนเจ็บมีอาการหนัก หากไม่รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วอาจเป็นอันตรายแก่
ชีวิตได้ เป็นต้น
(๓) กรณีมูลละเมิดเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่หลายคน
[๕๙] ในกรณีนี้ มาตรา ๘ วรรคสี่ บัญญัติหลักเกณฑ์ในการกำหนดความรับผิดไว้ว่า
"ในกรณีการกระทำละเมิดจากเจ้าหน้าที่หลายคน มิให้นำหลักลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับ และเจ้าหน้าที่
แต่ละคนต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนตน"
[๖๐] บทบัญญัติดังกล่าวเกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นหลายกรณีนั้น
เกิดขึ้นจากการกระทำของเจ้าหน้าที่หลายคน บางกรณีเจ้าหน้าที่เหล่านั้นร่วมกันกระทำละเมิด
แต่บางกรณีเป็นการที่เจ้าหน้าที่แต่ละคนต่างกระทำ แต่ก่อให้เกิดผลเป็นการละเมิดอันเดียวกัน
ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่าผู้กระทำละเมิดดังกล่าวต้องร่วมกันรับผิดชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนร่วมกันอย่างลูกหนี้ร่วม แต่ในกรณีกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่อาจก่อให้เกิดความ
ไม่เป็นธรรมขึ้นได้ เนื่องจากตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่บางคนจะต้องรับผิดชอบสูงเกินส่วน
ของการกระทำ และหากไม่สามารถเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งคนใดรับผิดได้ ภาระการชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนก็จะตกอยู่แก่เจ้าหน้าที่ที่เหลือซึ่งไม่เป็นธรรมเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น พระราชบัญญัติ
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยกำหนดให้หน่วยงาน
ของรัฐที่ได้รับความเสียหายพิจารณากำหนดความรับผิดของเจ้าหน้าที่โดยแยกความรับผิดของ
เจ้าหน้าที่แต่ละคนออกจากกันว่าแต่ละคนควรต้องรับผิดชดใช้เป็นเงินเท่าใด เจ้าหน้าที่คนใด
ได้ชดใช้ส่วนของตนไปแล้วก็พ้นความรับผิดไป
ส่วนที่ ๔
สิทธิของผู้เสียหายในการเรียกให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
เพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่
[๖๑] หากเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่และก่อให้เกิดความเสียหาย
แก่บุคคลอื่น ผู้เสียหายก็ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ตน
ซึ่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ กำหนดวิธีการเยียวยาความ
เสียหายไว้ ๒ แนวทาง
[๖๒] แนวทางที่หนึ่ง ผู้เสียหายอาจฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้ศาลซึ่งเป็นองค์กรตุลาการเป็น
ผู้วินิจฉัยว่าหน่วยงานของรัฐฝ่ายบริหารต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายหรือไม่ จำนวนเท่าใด
แนวทางที่สอง ผู้เสียหายสามารถร้องขอให้หน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นฝ่ายบริหารชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนโดยตรง ซึ่งเป็นไปตามหลักการเยียวยาความเสียหายโดยฝ่ายปกครอง
การดำเนินการแต่ละแนวทางต่างมีรายละเอียดในการดำเนินการแตกต่างกันไป ดังนี้
๑. กรณีผู้เสียหายใช้สิทธิทางศาล
(๑) ฟ้องใคร
[๖๓] ในกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่และก่อให้เกิดความเสียหาย
แก่บุคคลภายนอก ผู้เสียหายย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องศาลเพื่อเรียกให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนแก่ตน อย่างไรก็ดี มาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติของความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
พ.ศ. ๒๕๓๙ กำหนดหลักเกณฑ์ในการที่ผู้เสียหายจะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำ
ละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้เป็นการเฉพาะ ดังนี้
มาตรา ๕ หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่
ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าว
ได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัดหน่วยงานของรัฐแห่งใด ให้ถือว่า
กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่ง
[๖๔] ดังนั้น หากผู้เสียหายต้องการใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ผู้เสียหายก็จะต้องฟ้องหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นสังกัดอยู่ให้เป็นผู้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ผู้นั้น แต่จะฟ้องตัวเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดไม่ได้ เช่น
เจ้าหน้าที่ขับรถไปราชการในท้องที่ ระหว่างเดินทางได้ขับรถชน นาย ข. ได้รับบาดเจ็บสาหัส
หากนาย ข.ต้องการค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้น นาย ข. จะต้องฟ้องหน่วยงานของรัฐ
ที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นสังกัดอยู่ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จะฟ้องเจ้าหน้าที่ผู้นั้นโดยตรงมิได้ หรือกรณี
เจ้าพนักงานเข้ารื้อถอนอาคารของเอกชนที่ก่อสร้างโดยไม่ถูกต้อง แต่สำคัญผิดว่าส่วนที่กำลังรื้อถอน
ก่อสร้างโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่ส่วนดังกล่าวก่อสร้างถูกต้องตามแบบก่อสร้างแล้ว ถ้าผู้เสียหาย
ต้องการ ค่าสินไหมทดแทน ผู้เสียหายจะต้องฟ้องหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว
เป็นจำเลยเพื่อเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จะฟ้องตัวเจ้าหน้าที่ที่เข้าดำเนินการรื้อถอนไม่ได้
[๖๕] ในกรณีที่การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่มิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่มี
เหตุผลที่รัฐจะต้องเข้าไปแก้ต่างคดีแทนเจ้าหน้าที่ผู้นั้น ในกรณีเช่นนี้ผู้เสียหายต้องฟ้องเจ้าหน้าที่
ที่กระทำละเมิดโดยตรงเพื่อให้รับผิดเป็นการส่วนตัว แต่จะฟ้องหน่วยงานให้รับผิดไม่ได้ ทั้งนี้ ตาม
มาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งบัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา ๖ ถ้าการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่มิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่
เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้
โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้
[๖๖] ตัวอย่าง กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อเหตุวิวาทกับผู้เสียหายและทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย
จนได้รับบาดเจ็บ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ
กำลังปฏิบัติหน้าที่ แต่ก็มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของทางราชการ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีหน้าที่
ทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายประชาชน จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าว
เป็นการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ หากแต่เป็นการกระทำส่วนตัว เจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิด
ต้องรับผิดในมูลละเมิดนั้นเป็นการส่วนตัว ผู้เสียหายต้องฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำร้ายร่างกายตน
โดยตรง จะฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้
(๒) ฟ้องศาลใด
[๖๗] มาตรา ๕ และมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
พ.ศ. ๒๕๓๙ รับรองสิทธิของผู้เสียหายที่จะฟ้องให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
กรณีเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ไว้ แต่มิได้บัญญัติไว้ด้วยว่าให้ฟ้องต่อศาลใด กรณีจึง
มีปัญหาว่าหากผู้เสียหายจะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากหน่วยงานของรัฐจะต้องฟ้องศาลยุติธรรม
หรือศาลปกครอง
[๖๘] คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล วางหลักในเรื่องนี้ไว้ดังนี้
"พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษา
หรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของ
หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย
หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่
กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร" อันเป็น
การจำกัดประเภทคดีปกครองที่เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน
ของรัฐ โดยมุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดี
พิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่
หรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ไม่รวมถึงการกระทำละเมิดที่เกิดจากการกระทำทาง
กายภาพของเจ้าหน้าที่" 21
[๖๙] ดังนั้น กรณีผู้เสียหายฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่
เป็นเหตุให้ตนได้รับความเสียหาย และขอให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนนั้น
จึงเข้าลักษณะเป็นการขอให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำทางกายภาพ
ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง หากแต่อยู่ในอำนาจ
พิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ผู้เสียหายจึงต้องฟ้องศาลยุติธรรม
(๓) อายุความฟ้องคดี
[๗๐] มีข้อสังเกตว่าพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มิได้
กำหนดว่าผู้เสียหายจะต้องใช้สิทธิทางศาลเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอันเกิดแก่มูลละเมิดภายใน
กำหนดอายุความเท่าใดโดยเฉพาะเจาะจง ดังนั้น อายุความฟ้องในกรณีดังกล่าว จึงต้องเป็นไปตาม
อายุความในการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำละเมิดตามมาตรา ๔๔๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กล่าวคือ ต้องฟ้องภายใน ๑ ปีนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัว
ผู้จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้น ๑๐ ปีนับแต่วันทำละเมิด แต่ถ้าการเรียกร้องค่าเสียหาย
ในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายอาญาและมีกำหนดอายุความทางอาญายาวกว่าที่กล่าวมานั้น
ก็จะต้องฟ้องภายในกำหนดอายุความทางอาญา
มาตรา ๔๔๘ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความ
เมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหม
ทดแทน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันทำละเมิด
แต่ถ้าการเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะ
อาญาและมีกำหนดอายุความทางอาญายาวกว่าที่กล่าวมานั้นไซร้ ท่านให้เอาอายุความ
ที่ยาวกว่านั้นมาบังคับ
(๔) การเรียกเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเข้ามาเป็นคู่ความในคดี
[๗๑] เมื่อผู้เสียหายจากการกระทำละเมิดได้นำคดีฟ้องร้องต่อศาล ไม่ว่าจะฟ้องให้หน่วยงาน
ของรัฐรับผิดในการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ หรือฟ้องร้องเจ้าหน้าที่โดยตรงเนื่องจากเห็นว่าเป็นการ
กระทำละเมิดในเรื่องส่วนตัว ในระหว่างการพิจารณา หากหน่วยงานของรัฐที่ถูกฟ้องหรือเจ้าหน้าที่ที่
ถูกฟ้องเห็นว่าการกระทำละเมิดดังกล่าวหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่อาจจะต้องรับผิดด้วย หน่วยงาน
ของรัฐที่ถูกฟ้องหรือเจ้าหน้าที่ที่ถูกฟ้องอาจร้องขอต่อศาลให้เรียกเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐ แล้วแต่
กรณี เข้าเป็นคู่ความในคดีได้ด้วย
[๗๒] อย่างไรก็ดี หากคดีเป็นที่ยุติโดยที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องเนื่องจากผู้เสียหายฟ้องผิดตัว
เช่น กรณีเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ผู้เสียหายฟ้องเจ้าหน้าที่นั้นโดยแทนที่จะฟ้อง
หน่วยงานต้นสังกัด หรือเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดเป็นส่วนตัว แต่ผู้เสียหายฟ้องเรียกให้หน่วยงานของรัฐ
รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ผู้เสียหายสามารถฟ้องคดีดังกล่าวใหม่ได้ภายใน ๖ เดือนนับแต่ศาล
พิพากษาถึงที่สุด ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๗ ในคดีที่ผู้เสียหายฟ้องหน่วยงานของรัฐ ถ้าหน่วยงานของรัฐเห็นว่า
เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดหรือต้องร่วมรับผิด หรือในคดีที่ผู้เสียหายฟ้องเจ้าหน้าที่
ถ้าเจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นเรื่องที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดหรือต้องร่วมรับผิด หน่วยงาน
ของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวมีสิทธิขอให้ศาลที่พิจารณาคดีนั้นอยู่เรียกเจ้าหน้าที่หรือ
หน่วยงานของรัฐ แล้วแต่กรณีเข้ามาเป็นคู่ความในคดี
ถ้าศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ที่ถูกฟ้องมิใช่
ผู้ต้องรับผิด ให้ขยายอายุความฟ้องร้องผู้ที่ต้องรับผิดชอบที่มิได้ถูกเรียกเข้ามาในคดีออกไป
ถึงหกเดือนนับแต่วันที่คำพิพากษานั้นถึงที่สุด
๒. กรณีผู้เสียหายร้องขอให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
[๗๓] เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิด หากผู้เสียหายไม่ประสงค์จะใช้สิทธิทางศาลเพื่อ
เยียวยาความเสียหาย ผู้เสียหายก็อาจเรียกให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตน
โดยตรงก็ได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเยียวยาความเสียหายโดยฝ่ายบริหาร (Exhaustion of
administrative remedy)
[๗๔] ในการนี้ มาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิด
ของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ กำหนดวิธีการในการที่ผู้เสียหายจะใช้สิทธิร้องขอให้หน่วยงานของรัฐ
ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนโดยตรงไว้ ดังนี้
มาตรา ๑๑ ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่าหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดตามมาตรา ๕
ผู้เสียหายจะยื่นคำขอต่อหน่วยงานของรัฐให้พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับ
ความเสียหายที่เกิดแก่ตนก็ได้ ในการนี้หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคำขอให้ไว้เป็น
หลักฐานและพิจารณาคำขอนั้นโดยไม่ชักช้า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคำสั่งเช่นใดแล้ว
หากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงานของรัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อ
คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายใน
เก้าสิบวันนับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย
ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคำขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้วเสร็จภายใน
หนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากเรื่องใดไม่อาจพิจารณาได้ทันในกำหนดนั้นจะต้องรายงาน
ปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือกำกับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐ
แห่งนั้นทราบและขออนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีดังกล่าวจะพิจารณา
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาให้อีกได้ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
ฯลฯ ฯลฯ
มาตรา ๑๔ เมื่อได้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นแล้ว สิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการ
วินิจฉัยร้องทุกข์ตามมาตรา ๑๑ ให้ถือว่าเป็นสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
[๗๕] กล่าวโดยสรุป ผู้เสียหายจะต้องยื่นคำขอเป็นหนังสือต่อหน่วยงานของรัฐที่ตนเห็นว่า
ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ตน ซึ่งผู้เสียหายจะต้องยื่นด้วยตนเองหรือ
จะส่งโดยทางไปรษณีย์ก็ได้ และเมื่อหน่วยงานของรัฐได้รับคำขอของผู้เสียหายแล้วจะต้องปฏิบัติตาม
ขั้นตอนและวิธีการ ดังนี้
(๑) ต้องออกใบรับคำขอให้แก่ผู้ยื่นคำขอ
[๗๖] เหตุที่ต้องออกใบรับคำขอให้แก่ผู้เสียหายก็เพื่อเป็นหลักฐานว่าผู้เสียหายได้ยื่นคำขอ
เมื่อใด เนื่องจากกฎหมายกำหนดระยะเวลาในการพิจารณาคำขอดังกล่าวไว้ ใบรับคำขอจึงเป็นสิ่งที่จะ
แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิบัติหน้าที่โดยล่าช้าหรือไม่
[๗๗] ข้อพึงระวัง โดยที่กฎหมายกำหนดระยะเวลาในการพิจารณาคำขอไว้ หากหน่วยงาน
ของรัฐพิจารณาคำขอของผู้เสียหายล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ผู้เสียหายก็มีสิทธิที่จะ
ฟ้องคดีต่อศาลปกครองว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิบัติหน้าที่โดยล่าช้าได้ตามนัยมาตรา ๙ (๒) แห่ง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และหากหน่วยงานไม่ยอม
ออกใบรับคำขอ ผู้เสียหายก็มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองว่าหน่วยงานของรัฐไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่
กฎหมายกำหนดไว้ได้เช่นกันตามนัยมาตรา ๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธี
พิจารณาคดีปกครองฯ
มาตรา ๙ ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่งหรือกระทำการอื่นใด
เนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจ หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสารสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับ
การกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมี
ลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร
หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
(๒) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกิน
สมควร
ฯลฯ ฯลฯ
(๒) ต้องพิจารณาคำขอโดยเร็ว
[๗๘] หน่วยงานของรัฐจะต้องรีบดำเนินการพิจารณาคำขอของผู้เสียหายโดยเร็ว ซึ่งขั้นตอน
และวิธีการพิจารณาคำขอของผู้เสียหายเป็นไปตามบทบัญญัติในหมวด ๒ ของระเบียบสำนักนายก
รัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
โดยตามมาตรา ๑๑ นั้น หน่วยงานทีรับผิดชอบจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วัน นับแต่
รับคำขอจากผู้เสียหาย แต่ถ้าไม่อาจพิจารณาให้เสร็จตามเวลาดังกล่าว หน่วยงานอาจขออนุญาต
รัฐมนตรีที่ควบคุมกำกับหน่วยงานนั้นเพื่อขอขยายเวลาการพิจารณาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีจะอนุมัติ
ให้ขยายเวลาได้อีกไม่เกิน ๑๘๐ วัน
(๓) ต้องออกคำสั่งแจ้งผลการพิจารณา
[๗๙] เมื่อพิจารณาคำขอของผู้เสียหายแล้ว หน่วยงานต้องทำคำสั่งเกี่ยวกับผลการพิจารณา
และต้องแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้ผู้เสียหายที่มีคำขอทราบ ซึ่งการทำคำสั่งและการแจ้งคำสั่งดังกล่าวนั้น
พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มิได้กำหนดวิธีการไว้เป็นการเฉพาะ
จึงต้องปฏิบัติตามแบบการจัดทำคำสั่งในทางปกครองตามหมวด ๒ ส่วนที่ ๔ รูปแบบและผลของคำสั่ง
ทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กล่าวคือ หน่วยงานอาจทำ
คำสั่งเป็นหนังสือ หรือวาจาหรือโดยการสื่อความหมายในรูปแบบอื่นก็ได้ แต่ต้องมีข้อความหรือ
ความหมายที่ชัดเจนเพียงพอที่จะเข้าใจได้ (มาตรา ๓๔)
[๘๐] ถ้าทำคำสั่งเป็นหนังสืออย่างน้อยต้องระบุวัน เดือน ปีที่ทำคำสั่ง ชื่อและตำแหน่งของ
ผู้ทำคำสั่งและลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่ผู้นั้น (มาตรา ๓๖) โดยต้องระบุเหตุผลในการมีคำสั่งเช่นนั้น
ไว้ด้วย ซึ่งเหตุผลในการมีคำสั่งดังกล่าวประกอบด้วยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญของเรื่องนั้น
ข้อกฎหมายที่ใช้อ้างอิงในการพิจารณาและวินิจฉัย ตลอดจนประเด็นการพิจารณาและข้อสนับสนุน
การใช้ดุลพินิจ (มาตรา ๓๗) แต่ถ้าทำคำสั่งด้วยวาจา และผู้เสียหายร้องขอภายใน ๗ วันนับแต่วันที่
มีคำสั่งและการร้องขอมีเหตุผลอันสมควร เจ้าหน้าที่ผู้นั้นต้องยืนยันคำสั่งเป็นหนังสือโดยมีรายการ
ดังระบุไว้ข้างต้นด้วย (มาตรา ๓๕)
[๘๑] ในกรณีที่หน่วยงานมีคำสั่งเกี่ยวกับผลการพิจารณาเป็นประการใด คำสั่งนั้นเข้าลักษณะ
เป็นคำสั่งทางปกครอง หากผู้เสียหายไม่พอใจผลการพิจารณาของหน่วยงาน มาตรา ๑๑ ประกอบกับ
มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงบัญญัติให้ผู้เสียหาย
ฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้โดยตรง
ส่วนที่ ๕
การเรียกให้เจ้าหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
[๘๒] ในกรณีที่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
อย่างร้ายแรง หน่วยงานของรัฐจะต้องเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ที่หน่วยงานของรัฐได้จ่ายแก่ผู้เสียหายไปแล้ว (กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อบุคคลอื่น)
หรือเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่หน่วยงานของรัฐ (กรณีเจ้าหน้าที่
ของรัฐกระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ) ได้ ๒ วิธี คือ การใช้มาตรการบังคับทางปกครองและ
การฟ้องคดีต่อศาล
๑. การใช้มาตรการบังคับทางปกครอง
[๘๓] ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐและหรือกระทรวงการคลัง (แล้วแต่กรณี) เห็นว่า
เจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดโดย
จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานของรัฐอาจมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง
ชำระเงินแก่ทางราชการเพื่อชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ คำสั่งดังกล่าวจึงเป็น "คำสั่งทางปกครอง
ที่กำหนดให้มีการชำระเงิน" ตามมาตรา ๕๗ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังนั้น หากถึงกำหนดชำระเงินแล้วไม่มีการชำระโดยถูกต้องครบถ้วน เจ้าหน้าที่จะต้อง
มีหนังสือเตือนให้ผู้นั้นชำระภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่า ๗ วัน ถ้าไม่มีการปฏิบัติ
ตามคำเตือน เจ้าหน้าที่อาจใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่
ผู้นั้นและขายทอดตลาดเพื่อชำระเงินให้ครบถ้วน ส่วนวิธีการยึด การอายัดและการขายทอดตลาด
ทรัพย์สินต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ส่วนผู้มีอำนาจสั่งยึด อายัดหรือ
ขายทอดตลาดนั้นได้แก่ผู้ที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความใน
พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๕๗ คำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ผู้ใดชำระเงิน ถ้าถึงกำหนดแล้วไม่มี
การชำระโดยถูกต้องครบถ้วน ให้เจ้าหน้าที่มีหนังสือเตือนให้ผู้นั้นชำระภายในระยะเวลา
ที่กำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ถ้าไม่มีการปฏิบัติตามคำเตือน เจ้าหน้าที่อาจใช้
มาตรการบังคับทางปกครองโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้นั้นและขายทอดตลาดเพื่อ
ชำระเงินให้ครบถ้วน
วิธีการยึด การอายัดและการขายทอดตลาดทรัพย์สินให้ปฏิบัติตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม ส่วนผู้มีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดหรือขายทอดตลาด
ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
[๘๔] อนึ่ง แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองดังกล่าวได้ตามมาตรา
๔๔ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แต่การอุทธรณ์ก็ไม่เป็นเหตุ
ให้มีการทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครอง เว้นแต่ผู้ทำคำสั่งให้ยึดอายัดหรือขายทอดตลาด ผู้มี
อำนาจพิจารณาอุทธรณ์ หรือผู้มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยความถูกต้องทำคำสั่งทางปกครองดังกล่าว
จะสั่งให้มีการทุเลาการบังคับไว้ก่อนตามนัยมาตรา ๔๔ ประกอบกับมาตรา ๕๖ แห่งพระราชบัญญัติ
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังนั้น หากผู้มีอำนาจสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งทาง
ปกครองไม่ได้สั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งนั้นแล้ว ก็จะต้องมีการยึด อายัด หรือขายทอดตลาดทรัพย์สิน
ของผู้ที่ต้องรับผิดในการละเมิดนั้นต่อไป แม้จะมีการอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวแล้วก็ตาม
มาตรา ๔๔ ภายใต้บังคับมาตรา ๔๘ ในกรณีที่คำสั่งทางปกครองใดไม่ได้ออก
โดยรัฐมนตรีและไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองไว้เป็นการเฉพาะ
ให้คู่กรณีอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองนั้นโดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครองภายใน
สิบห้าวันนับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว
คำอุทธรณ์ต้องทำเป็นหนังสือโดยระบุข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่
อ้างอิงประกอบด้วย
การอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครอง เว้นแต่จะมีการสั่ง
ให้ทุเลาการบังคับตามมาตรา ๕๖ วรรคหนึ่ง
ฯลฯ ฯลฯ
มาตรา ๕๖ เจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครองมีอำนาจที่จะพิจารณาใช้มาตรการบังคับ
ทางปกครอง เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งของตนได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้ เว้นแต่จะมีการสั่งให้
ทุเลาการบังคับไว้ก่อนโดยเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งนั้นเอง ผู้มีอำนาจพิจารณาคำอุทธรณ์หรือผู้มี
อำนาจพิจารณาวินิจฉัยความถูกต้องของคำสั่งทางปกครองดังกล่าว
ฯลฯ ฯลฯ
๒. การฟ้องคดีต่อศาล
[๘๕] ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐเรียกให้เจ้าหน้าที่รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่
ทางราชการแล้ว แต่เจ้าหน้าที่นั้นไม่ยอมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ทางราชการ และหน่วยงาน
ของรัฐไม่ประสงค์ที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองดังกล่าวข้างต้น หน่วยงานของรัฐก็อาจฟ้อง
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นต่อศาลเพื่อไล่เบี้ยหรือเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่หน่วยงานของรัฐได้ แต่การ
ฟ้องคดีต่อศาลดังกล่าวจะต้องกระทำภายในกำหนดอายุความตามมาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ แห่ง
พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งอายุความในการฟ้องคดีต่อศาล
ดังกล่าวแยกออกเป็น ๒ กรณี คือ (๑) อายุความกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก
และ (๒) อายุความกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ
๒.๑ อายุความกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก
[๘๖] เมื่อเกิดกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกซึ่งหน่วยงานของรัฐ
จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายนั้น เมื่อหน่วยงานของรัฐได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
แก่ผู้เสียหายไปแล้วก็อาจใช้สิทธิเรียกร้องหรือที่ในทางกฎหมายเรียกว่า "ใช้สิทธิไล่เบี้ย" ให้เจ้าหน้าที่
ผู้กระทำละเมิดด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนที่หน่วยงาน
ของรัฐได้จ่ายให้แก่ผู้เสียหายไปก่อนแล้วก็ได้ และอาจมีบางกรณีที่เจ้าหน้าที่ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
แก่ผู้เสียหายไปก่อนโดยที่ยังไม่รู้ว่าตนต้องรับผิดในเหตุละเมิดดังกล่าวหรือไม่ หากเจ้าหน้าที่ผู้นั้นเห็นว่า
ตนไม่ต้องรับผิด เพราะมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือผลการสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นไม่ต้องรับผิด เจ้าหน้าที่ผู้นั้นก็ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนที่ตนจ่ายให้แก่ผู้เสียหาย
ไปแล้วคืนจากหน่วยงานของรัฐได้
[๘๗] ในการนี้ มาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.
๒๕๓๙ กำหนดอายุความในการใช้สิทธิไล่เบี้ยกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกไว้ดังนี้
มาตรา ๙ ถ้าหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย
สิทธิที่จะเรียกให้อีกฝ่ายหนึ่งชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนให้มีกำหนดอายุความหนึ่งปี
นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นแก่ผู้เสียหาย
[๘๘] ดังนั้น อายุความในการใช้สิทธิไล่เบี้ยจึงแยกออกได้เป็น ๒ กรณี ดังนี้
(๑) กรณีเจ้าหน้าที่ใช้สิทธิไล่เบี้ย
[๘๙] ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ได้กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่แต่การกระทำละเมิดดังกล่าว
มิได้เป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง แต่เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น เจ้าหน้าที่
ที่กระทำละเมิดได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายไปก่อนแล้ว เจ้าหน้าที่ดังกล่าวก็ชอบที่จะได้รับ
เงินค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวคืนจากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งกรณีนี้เจ้าหน้าที่ต้องใช้สิทธิไล่เบี้ยเพื่อขอ
คืนเงินที่ตนได้จ่ายแก่ผู้เสียหายไปแล้วคืนจากหน่วยงานของรัฐภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่ตนได้ชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย
(๒) กรณีหน่วยงานของรัฐใช้สิทธิไล่เบี้ย
[๙๐] ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำละเมิดของ
เจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่แก่ผู้เสียหายไปก่อนแล้ว และผลการสอบข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่า
การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
เมื่อได้กำหนดจำนวนเงินที่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะต้องรับผิดตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติความ
รับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ แล้ว หน่วยงานจะต้องเรียกให้เจ้าหน้าที่ชดใช้เงินจำนวน
ดังกล่าว หากเจ้าหน้าที่ผู้นั้นยังไม่ชดใช้ หน่วยงานของรัฐจะต้องฟ้องคดีต่อศาลภายใน ๑ ปี นับแต่
หน่วยงานของรัฐได้ชดใช้ให้แก่ผู้เสียหาย
๒.๒ อายุความกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ
[๙๑] มาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
กำหนดอายุความกรณีที่หน่วยงานของรัฐจะใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาล เพื่อเรียกให้เจ้าหน้าที่ที่กระทำละเมิด
ต่อหน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่หน่วยงานของรัฐซึ่งได้รับความเสียหายจากการกระทำ
ละเมิดดังกล่าว ไม่ว่าการกระทำละเมิดนั้นจะเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่หรือนอกกการปฏิบัติ
หน้าที่ก็ตามไว้ดังนี้
มาตรา ๑๐ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ
ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ผู้นั้นอยู่ในสังกัดหรือไม่ ถ้าเป็นการกระทำในการปฏิบัติ
หน้าที่การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๗ มาใช้บังคับ
โดยอนุโลม แต่ถ้ามิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ทั้งสองประการตามวรรคหนึ่ง
ให้มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่
ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน และกรณีที่หน่วยงานของรัฐเห็นว่าเจ้าหน้าที่ผู้นั้น
ไม่ต้องรับผิด แต่กระทรวงการคลังตรวจสอบแล้วเห็นว่าต้องรับผิด ให้สิทธิเรียกร้อง
ค่าสินไหมทดแทนนั้นมีกำหนดอายุความหนึ่งปีนับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐมีคำสั่งตาม
ความเห็นของกระทรวงการคลัง
[๙๒] ดังนั้น อายุความกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐจึงแยกออกเป็น
๒ กรณี คือ กรณีอายุความ ๒ ปี และกรณีอายุความ ๑ ปี
(๑) อายุความ ๒ ปี
[๙๓] กรณีที่หน่วยงานของรัฐตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และหัวหน้าหน่วยงาน
มีคำวินิจฉัยว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมีเจ้าหน้าที่รายหนึ่งหรือหลายรายจะต้องรับผิดในความเสียหาย
ที่เกิดขึ้น หน่วยงานของรัฐจะต้องฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้กระทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายใน
๒ ปี นับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยวันที่รู้ถึง
การละเมิดนั้นได้แก่วันที่หน่วยงานได้รับแจ้งว่ามีเหตุละเมิดเกิดขึ้น ส่วนวันที่รู้ตัวผู้พึงจะต้องชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนได้แก่วันที่หัวหน้าหน่วยงานมีคำสั่งว่าเจ้าหน้าที่ผู้ใดต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนในกรณีดังกล่าว สาเหตุที่กฎหมายกำหนดอายุความเช่นนี้ เพราะหลังจากหน่วยงานฯมี
คำวินิจฉัยแล้ว จะต้องรายงานในกระทรวงการคลังตรวจพิจารณาและมีความเห็นก่อน จะเรียกให้
เจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดชดใช้ทันทีไม่ได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงต้องกำหนดอายุความให้ยาวกว่า
อายุความละเมิดทั่วไป
(๒) อายุความ ๑ ปี
[๙๔] แต่ถ้ากรณีที่หัวหน้าหน่วยงานของรัฐพิจารณาและวินิจฉัยว่าการกระทำละเมิดของ
เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดเนื่องจากไม่เป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
แต่เมื่อรายงานให้กระทรวงการคลังตรวจพิจารณา กระทรวงการคลังกลับเห็นว่าเจ้าหน้าที่ที่กระทำละเมิดจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้น อายุความที่หน่วยงานของรัฐดังกล่าวจะใช้สิทธิฟ้องต่อศาลเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนมีกำหนดอายุความ ๑ ปี ซึ่งอายุความจะเริ่มนับเมื่อหน่วยงานฯ มีคำสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
เชิงอรรถ
17. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๕๘/๒๕๓๑
[กลับไปที่บทความ]
18. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๑๑/๒๕๓๕
[กลับไปที่บทความ]
19. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๗๐/๒๕๓๙
[กลับไปที่บทความ]
20. คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๒๙๖/๒๕๔๐
[กลับไปที่บทความ]
21. คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๕
[กลับไปที่บทความ]
ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2546
|
|
 |
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=612
เวลา 21 เมษายน 2568 19:01 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|