ฉ้อราษฎร์บังหลวง

7 มกราคม 2561 17:38 น.

       ในยุคสมัยที่ผู้คนกำลังจับตาว่าเรื่องของ “แหวนมารดา นาฬิกาเพื่อน”ว่าจะจบลงอย่างไร ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กๆว่าเหตุใดเราจึงใช้คำว่า "คอร์รัปชัน" ทับศัพท์จากภาษาต่างด้าวเสียจนติดปาก ทำไมเราจึงไม่ใช้คำว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" ซึ่งเป็นคำที่บรรพบุรุษของเราใช้กันมาแต่โบร่ำโบราณแทน
       คำว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" มีที่มาจากคำว่า "ฉ้อ"ที่แปลว่า โกง เช่น ฉ้อทรัพย์ ฉะนั้นคำว่า "ฉ้อราษฎร์"ก็แปลง่ายๆว่าโกงราษฎร ส่วนคำว่า บังหลวง" ก็มาจากคำว่า "บัง"ซึ่งกร่อนมาจาก"เบียดบัง"ซึ่งแปลว่า ยักยอกเอาไว้เป็นประโยชน์ของตัว รวมกับคำว่า"หลวง" ที่แปลว่าที่เป็นของพระเจ้าแผ่นดิน เช่น วังหลวง ฯลฯ ฉะนั้นคำว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" หากจะแปลตามคำศัพท์ก็จะแปลได้ว่า โกงราษฎรและยักยอกเอาส่วนที่เป็นของพระเจ้าแผ่นดินไว้เป็นของตัว (ในที่นี้ย่อมหมายรวมของของรัฐหรือราชการนั่นเอง)
       ความหมายอย่างเป็นทางการของคำว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หน้า ๓๔๖ นั้น ให้ความหมายว่า "การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ เก็บกินจากราษฎรแล้วไม่ส่งให้หลวงหรือเบียดบังเงินหลวง" นั่นเอง
       ที่มาของคำว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" นั้นแต่เดิมเราใช้คำว่า "ส่วยสาอากร"ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น"ภาษีอากร"ในปัจจุบัน ซึ่งลักษณะของการเก็บส่วยของอยุธยานั้น จะเน้นเก็บจากผลิตผลบางอย่างที่เจ้าและขุนนางจะนำมาใช้ประโยชน์ของตน ถ้าหากมีเหลือก็จะนำไปขายเป็นสินค้าต่อไป แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น การเก็บส่วยส่วนใหญ่มุ่งไปในลักษณะที่จะนำไปเป็นสินค้าส่งออกโดยเฉพาะการส่งไปขายเมืองจีน
       การเก็บส่วยนี้จะมีหน่วยงานราชการทำหน้าที่เก็บอยู่หลายหน่วย เช่น กรมกลาโหม กรมมหาดไทย และกรมคลัง ดูเหมือนว่ากรมมหาดไทยซึ่งเป็นหน่วยราชการที่คุมดินแดนทางตอนเหนือของกรุงเทพฯขึ้นไป เป็นผู้ทำการเก็บส่วยมากที่สุด ทั้งนี้ เพราะมีอำนาจในดินแดนส่วนที่จะมีของป่าเป็นผลิตผลสำคัญมาก ดังนั้น ในอดีตจะมีสภาพของการเก็บส่วยที่เป็น พริกไทย ครั่ง ฝ้าย ตลอดจนโลหะ เงิน ทอง ฯลฯ ผ่านหน่วยงานของกรมกลาโหม กรมมหาดไทย กรมคลัง ส่งต่อไปยังพระคลังสินค้าเพื่อส่งเป็นสินค้าออก
       การเก็บส่วยเช่นที่ว่านี้ทำกันมากในสมัยรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ เมื่อถึงปลายรัชกาลที่ ๓ การเก็บส่วยลดลง ทางราชการหันไปเก็บเงินตราแทนการส่งผลิตผลแทน ในระบบนี้บุคคลบางคนก็อาจมีความสามารถหรือมีช่องทางในการหาส่วยได้มากกว่าอีกคนหนึ่ง แต่คนที่หาส่วยได้น้อยไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็จำเป็นต้องเสียภาษีเท่ากับคนที่หาได้มาก
       ในบางครั้งถ้าหากเกิดภัยธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง ผลิตผลบางอย่างไม่สามารถจะหามาเป็นส่วยได้ แต่รัฐยังคงเรียกเก็บในอัตราเดิมที่กำหนดไว้ ความเดือดร้อนย่อมเกิดขึ้นเป็นของธรรมดา หรือในบางครั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการเก็บส่วยมีความบกพร่อง เบียดบังส่วยไปเป็นของตนแล้วก็แจ้งมายังหน่วยราชการกลางในเมืองหลวงว่า ตนไม่สามารถเก็บส่วยได้ตามกำหนด หน่วยราชการกลางก็อาจบังคับให้ไพร่ส่วยส่งผลิตผลของตนมาอีก ดังนั้น ในบางกรณีไพร่ส่วยอาจจะต้องเสียภาษีเป็นสองเท่า
       เหตุการณ์ที่เรียกว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง"นั้นเกิดมีขึ้นในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่ผู้คนในระบบนี้ พยายามหนีออกระบบส่วยสาอากรที่ว่านี้ วิธีที่จะหนีก็มี เช่น การติดสินบนข้าราชการในท้องถิ่น ให้ข้าราชการนั้นทำชื่อตนตกจากทะเบียน เมื่อชื่อตกไปจาก "ทะเบียนหางว่าว" ก็ไม่จำเป็นต้องส่งส่วยให้รัฐ บุคคลนั้นก็อาจแปรสภาพเป็นคนของข้าราชการในท้องถิ่นไป เรียกว่ายอมเป็นการ "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" ให้กับข้าราชการในท้องถิ่นของตนไป
        
       หรืออาจจะใช้อีกวิธีหนึ่งก็คือ การยอมขายตัวลงเป็นทาส ทั้งนี้ เพราะทาสจะถูกเรียกร้องภาษีน้อยกว่าไพร่ ปกติทาสไม่ต้องเข้าเวรราชการให้รัฐบาลกลาง เพียงแต่รับใช้เจ้านายของตนก็พอ และถ้าหากต้องเสียภาษีให้รัฐบาลเป็นเงินตราก็เสียถูกกว่าเช่นปีละ ๑.๕๐ บาท ในขณะที่ไพร่ต้องเสียเงินตราแทนแรงงานปีละ ๖ บาท หรือในกรณีที่ทาสส่วยจะต้องส่งผลิตผลก็สามารถจะส่งผลิตผลได้น้อยกว่าไพร่ ยกตัวอย่างเช่น ไพร่ส่วยดีบุกต้องส่งปีละ ๒๖ ชั่ง แต่ถ้าเป็นทาสส่วยดีบุกก็ส่งเพียง ๑๐ ชั่ง เป็นต้น
       เมื่อเปรียบเทียบการ "คอร์รัปชัน" ในปัจจุบันกับการ "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" ในอดีตแล้วแทบจะเรียกได้ว่าไม่ต่างกันเลย ต่างกันแค่เพียงวิธีการที่ทันสมัยขึ้น และแนบเนียนกว่าเท่านั้นเอง และผลที่ตามมาไม่ว่าการ "คอร์รัปชัน" หรือ "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" ก็คงไม่พ้นประชาชนผู้เสียภาษีอากร เราๆท่านๆ จะดีกว่าเดิมหน่อยหนึ่งก็คือ ยังไม่ถึงกับต้องยอมขายตัวลงเป็นทาสเหมือนสมัยโบราณ เท่านั้นเอง
       อย่างไรก็ตามจากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าในแง่ของการใช้ภาษานั้นคำว่า “ฉ้อราษฎร์บังหลวง”นั้นได้ให้ความหมายที่ครอบคลุมชัดเจน และเห็นภาพของพฤติกรรมมากว่าคำว่า “คอร์รัปชั่น” ซึ่งเป็นภาษาต่างด้าวที่จะต้องมาอธิบายหรือขยายความเพิ่มเติมอีก ผมจึงเห็นว่าควรที่เราควรจะหันมาใช้คำว่า “ฉ้อราษฎร์”หรือ “บังหลวง”เป็นกรณีๆไป และหากจะใช้เป็นคำรวมแทนคำว่า “การทุจริตและประพฤติมิชอบ” ตามกฎหมาย ก็ใช้คำว่า “ฉ้อราษฎร์บังหลวง”แทน 
        เอ๊ะ แต่ว่า “แหวนมารดา นาฬิกาเพื่อน”จะเข้าข่าย “ฉ้อราษฎร์” หรือ “บังหลวง”นะ หรือจะเข้าข่าย “เมื่อเสียงปืนดัง เสียงกฎหมายก็เงียบลง (inter arma enim silent leges; for among arms, the laws fall mute หรือ in times of war, the law falls silent)” แทน
        
       ------------


พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1997
เวลา 28 มีนาคม 2567 22:42 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)