ครั้งที่ 313

24 มีนาคม 2556 21:33 น.

       สำหรับวันจันทร์ที่ 25 มีนาคมถึงวันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน 2556
       
       “เมื่อประธานศาลรัฐธรรมนูญวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญ”
       
       เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้จัดโครงการสัมมนาสื่อมวลชนประจำปี 2556 ในหัวข้อ การรักษาดุลยภาพทางการเมืองของศาลรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย
       มีข่าวเกี่ยวกับการสัมมนาปรากฏออกมาตามสื่อต่างๆ ว่า ในระหว่างการสัมมนานั้น ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้ออกมา “ให้ข้อมูล” เกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญเอาไว้หลายตอนด้วยกัน การให้ข้อมูลเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญโดยประธานศาลรัฐธรรมนูญทำให้คนภายนอกมีโอกาสได้รับทราบ "วิธีการทำงาน" ของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องดังกล่าวจึงกลายมาเป็นที่มาของเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายๆฝ่ายไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ สื่อมวลชน รวมไปถึงบรรดาผู้ที่ไม่ชอบศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว จนกระทั่งต้องมีการออกมา “แก้ข่าว” และน่าจะตามมาด้วยการฟ้องร้องกันต่อไป
       จากที่ปรากฏในข่าวตามสื่อต่างๆ ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้ออกมากล่าวถึงคำวินิจฉัยกรณี “ชิมไปบ่นไป” ที่ทำให้นายสมัคร สุนทรเวช ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปว่า เป็นคำวินิจฉัยที่ “สุกเอาเผากิน” มีการนำเอาข้อกฎหมายขึ้นมาวินิจฉัยก่อนแล้วค่อยมาถกเถียงในเรื่องข้อเท็จจริงซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และนอกจากนี้ประธานศาลรัฐธรรมนูญก็ยังได้กล่าวถึงคำวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน พรรคมัชฌิมาและพรรคชาติไทยว่า “ในช่วงเวลาดังกล่าวบ้านเมืองกำลังวุ่นวาย กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บุกบ้านพักของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ซึ่งหากขณะนั้นบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รัฐบาลและฝ่ายค้านจับมือกัน บ้านเมืองสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เชื่อว่าตุลาการเสียงข้างมากคงจะใช้ดุลพินิจสั่งไม่ยุบพรรคเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ แต่ขณะนั้นบ้านเมืองวุ่นวาย หาทางออกไม่เจอ ศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องวินิจฉัยเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ....”
       คงไม่ต้องอธิบายหรือวิจารณ์สิ่งที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้กล่าวมาข้างต้นเพราะประธานศาลรัฐธรรมนูญได้ “อธิบาย” ให้สังคมทราบถึง “เบื้องหลัง” ของการตัดสินคดีสำคัญของประเทศทั้ง 2 คดีแล้วว่าเป็นอย่างไร ผลของคำวินิจฉัยทั้ง 2 ก่อให้เกิดผลทางการเมืองที่ค่อนข้างร้ายแรงตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการตัดสิทธิทางการเมืองนักการเมืองจำนวนหนึ่ง การทำให้รัฐบาลต้องพ้นจากตำแหน่งก่อนเวลาอันควร ความแตกแยกและการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายในประเทศรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ผลกระทบที่เกิดจากคำวินิจฉัยทั้ง 2 ยังมีอีกมากที่ไม่สามารถยกขึ้นมากล่าวได้หมด
       หากสิ่งที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญกล่าวข้างต้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ใครจะรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นครับ และจะรับผิดชอบอย่างไร
       นอกจากข้อมูลของการวินิจฉัยข้างต้น ประธานศาลรัฐธรรมนูญยังได้กล่าวถึงกระบวนการจัดทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเอาไว้ด้วยว่า “.... มีการเขียนคำวินิจฉัยไว้หลายๆ แบบ หากผลคำวินิจฉัยที่มีการถกเถียงกันเป็นอย่างไร ก็ค่อยนำร่างที่ร่างไว้มาเขียนเป็นคำวินิจฉัย ....”
       ในบทบรรณาธิการครั้งนี้ ผมคงไม่นำเอาเรื่องที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้ “วิจารณ์” คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมา “วิจารณ์” กลับ เพราะผมเข้าใจว่าสิ่งที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้กล่าวไป น่าจะเป็นเหตุผลที่ชัดเจนแล้วว่า การทำงานของศาลรัฐธรรมนูญนั้นไม่ได้เป็นไปตามแนวทางที่ควรจะเป็น เพราะขนาดคนอย่างประธานศาลรัฐธรรมนูญออกมาพูดเองแล้วเราจะไม่เชื่อได้อย่างไรครับ และนอกจากนี้ ผลงานของศาลรัฐธรรมนูญในอดีตที่ผ่านมาทั้งศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 และตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็มีปัญหาในหลายๆ เรื่องและบางเรื่องก็ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบการเมืองการปกครองของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นคำวินิจฉัยกรณีซุกหุ้นไล่มาจนถึงคำวินิจฉัยกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยการตั้ง สสร. เป็นต้น แต่สิ่งที่ผมอยากจะนำมากล่าวถึงในบทบรรณาธิการครั้งนี้คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ก่อให้เกิดปัญหาทางวิชาการครับ
       ปัญหาแรกที่จะกล่าวถึงก็คือ ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคำวินิจฉัยส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคน คำวินิจฉัยส่วนตัวเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในการทำงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ความสามารถและความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นักวิชาการจำนวนหนึ่งรวมท้ังผมด้วยได้เคยพูดเคยเขียนมาหลายครั้งแล้วตั้งแต่สมัยที่รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ใช้บังคับแต่ก็ไม่มีใครให้ความสำคัญ ลองมาดูข้อกฎหมายเกี่ยวกับการทำคำวินิจฉัยส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนกันก่อน ปัจจุบันขั้นตอนและวิธีการในการพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นกำหนดไว้ใน “ข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. 2550” โดยในข้อกำหนดข้อ 54 ได้กล่าวถึงเรื่องของคำวินิจฉัยส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนเอาไว้ว่า
       “ข้อ 54  ตุลาการซึ่งเป็นองค์คณะทุกคนจะต้องทำความเห็นในการวินิจฉัยในส่วนของตนเป็นหนังสือ พร้อมแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุมก่อนการลงมติ เมื่อการลงมติเสร็จสิ้น ให้ตุลาการซึ่งเป็นองค์คณะจัดทำคำวินิจฉัยของศาล
        การทำคำวินิจฉัยของศาลตามวรรคหนึ่ง องค์คณะอาจมอบหมายให้ตุลาการคนใดคนหนึ่งเป็นผู้จัดทำคำวินิจฉัยตามมติของศาลก็ได้
        คำวินิจฉัยของศาลและความเห็นในการวินิจฉัยของตุลาการที่เป็นองค์คณะทุกคน ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา”
       ข้อกำหนดดังกล่าวไม่ได้เขียนอะไรให้ซับซ้อนยุ่งยาก อ่านแล้วก็เห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่า ในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะประชุมกันเพื่อทำคำวินิจฉัยนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนต่างก็จะต้องทำความเห็นในการวินิจฉัยในส่วนของตนเป็นหนังสือ เสร็จเรียบร้อยมาแล้ว เมื่อเริ่มประชุม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนก็จะต้องแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุม เมื่อทุกคนแถลงเสร็จ จึงค่อยมีการลงมติ จากนั้น องค์คณะอาจมอบหมายให้ตุลาการคนใดคนหนึ่งเป็นผู้จัดทำคำวินิจฉัยตามมติของศาลได้
       แต่เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้กล่าวถึงกระบวนการจัดทำคำวินิจฉัยเอาไว้ข้างต้น จะเห็นได้ว่าเป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่ปรากฎอยู่ในข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. 2550 เลยครับ
       ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่อยู่ในข้อกำหนดกับสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญปฏิบัติย่อมส่งผลต่อคำวินิจฉัยไม่มากก็น้อย เพราะที่ในข้อกำหนดวางหลักเอาไว้เช่นนั้นก็เพื่อให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนได้ทำงานอย่างอิสระ มีความคิดของตนอย่างอิสระ จึงได้กำหนดให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องทำความเห็นในการวินิจฉัยในส่วนของตนเป็นหนังสือก่อนที่จะมีการลงมติ ซึ่งก็หมายความว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนต้อง “ตัดสิน” เรื่องดังกล่าวมาเรียบร้อยแล้วก่อนเข้าห้องประชุม การลงมติเป็นกระบวนการของการหา “เสียงข้างมาก” เพื่อที่จะได้ไปจัดทำคำวินิจฉัยตามแนวทางของเสียงข้างมากต่อไป
       เป็นไปได้อย่างไรที่ศาลรัฐธรรมนูญ “.... เขียนคำวินิจฉัยไว้หลายๆ แบบ หากผลการวินิจฉัยที่มีการถกเถียงออกมาเป็นอย่างไร ก็ค่อยนำร่างที่ร่างไว้มาเป็นคำวินิจฉัย ....”
       เป็นเรื่องที่แปลกมากที่มีผู้สามารถเขียนคำวินิจฉัยล่วงหน้าและเผื่อเลือกไว้ได้โดยที่ยังไม่ทราบเลยว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนจะแสดงความเห็นไว้ในคำวินิจฉัยส่วนตัวอย่างไรครับ
       หรือว่า “ข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. 2550” ข้อ 54 ยกเลิกไปแล้วครับ !!!
       ปัญหาต่อมาคือข้อสงสัยที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและยังขาดความชัดเจนทางวิชาการแต่ก็ยังไม่มีใครยอมตอบ นั่นก็คือข้อสงสัยที่ว่า วันไหนคือวันที่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ
       แม้ในข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. 2550 ข้อ 55 วรรคสองจะกำหนดว่า “คำวินิจฉัยของศาลให้มีผลในวันอ่าน” แต่ในทางปฏิบัติก็เกิดความสับสนขึ้นทุกครั้งที่มีการอ่านคำวินิจฉัยคดีสำคัญที่อยู่ในความสนใจของผู้คน ผมจะขอยกตัวอย่างจริงที่เกิดขึ้นในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี พ.ศ. 2554 โดยภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยไปแล้ว สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญก็ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย(อย่างไม่เป็นทางการ)ในเรื่องดังกล่าวลงใน website ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเป็นเอกสารจำนวน 15 หน้า แต่ต่อมาเมื่อคำวินิจฉัยดังกล่าวประกาศในราชกิจจานุเบกษา กลับปรากฎว่าคำวินิจฉัยมีจำนวนหน้าถึง 42 หน้า
       ที่สำคัญที่สุดคือ คำวินิจฉัยที่ศาลอ่าน คำวินิจฉัย(อย่างไม่เป็นทางการ)ที่ได้เผยแพร่ใน website และคำวินิจฉัยที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีข้อความที่ไม่ตรงกันครับ
       ผู้ที่จะให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็คือศาลรัฐธรรมนูญ คงมีคนจำนวนมากอยากทราบว่า สรุปแล้วจะต้องยึดถือเอาคำวินิจฉัยที่อ่าน เพราะเป็นคำวินิจฉัยที่ “ก่อให้เกิดผล” ต่อคดี หรือจะต้องรอไปอ่านคำวินิจฉัยที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาที่ใช้เวลาเป็นเดือนหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยไปแล้วจึงจะประกาศ
       ตามความเข้าใจของผมนั้น ในเมื่อคำวินิจฉัยมีผลเมื่ออ่าน เมื่ออ่านอย่างไรก็ควรจะต้องเขียนคำวินิจฉัยไปอย่างนั้น หากจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำให้สละสลวยบ้างก็คงเป็นที่ยอมรับได้ แต่ไม่ใช่เมื่ออ่านแล้วและผลก็เกิดขึ้นแล้วตาม“ข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. 2550” ข้อ 54 ประกอบกับมาตรา 216 วรรค 5 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่กำหนดให้คำวินิจฉัยมีผลผูกพันทุกองค์กร  แต่พอมาเขียนก็เลยถือโอกาสเขียนเพิ่มเติมขยายความออกไปอีก เรื่องนี้ควรจะต้องมีคำตอบที่ชัดเจนนะครับว่าที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร ต้องยืนยันให้ชัดเจนกันไปเลยว่าคำวินิจฉัยมีผลเมื่ออ่านใช่หรือไม่ อ่านแล้วแก้ไขเพิ่มเติมได้หรือไม่ ถ้าได้สามารถทำได้มากน้อยเพียงใด ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่มีผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ ศาลรัฐธรรมนูญจึงควรออกมาอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน
       ผมยังมีข้อสังเกตอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับคำวินิจฉัยส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคน จากที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า ในวันตัดสินคดี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนต้องเสนอความเห็นของตนต่อที่ประชุมก่อน  เมื่อทุกคนเสนอความเห็นเสร็จแล้ว ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นการตรวจดูความเห็นของแต่ละคนในแต่ละประเด็นเพื่อให้ผลออกมาว่า สรุปแล้วเสียงข้างมาก เสียงข้างน้อยในแต่ละประเด็นเป็นอย่างไร จากนั้นจึงไปทำคำวินิจฉัยกลาง  แต่เท่าที่ปรากฏ สาธารณชนไม่เคยได้รับทราบความเห็นส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนในเวลาใกล้เคียงกับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัย เนื่องจากความเห็นส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนเป็นที่มาของคำวินิจฉัย ก่อนที่จะทราบผลของคำวินิจฉัยกลาง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทราบความเห็นส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนก่อน หากสามารถเปิดเผยคำวินิจฉัยส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนซึ่งต้องมีอยู่แล้วก่อนการวินิจฉัยภายหลังจากที่มีการอ่านคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากและอย่างน้อยก็จะเป็นเกราะป้องกันความเข้าใจผิดหรือข้อครหาต่าง ๆ ที่ตามมาด้วยครับ
       ท้ายที่สุด สงสัยมานานแล้วว่า ทำไมการประกาศคำวินิจฉัยกลางและคำวินิจฉัยส่วนตัวในราชกิจจานุเบกษาถึงได้ช้าเหลือเกิน บางคำวินิจฉัยอยากจะเขียนวิจารณ์หรือนำมาใช้สอนหนังสือแต่ก็ไม่สามารถทำได้ทันทีเพราะไม่มีรายละเอียด กว่าคำวินิจฉัยจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็เลิกล้มความคิดที่จะเขียนแล้วเพราะมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ อยากทราบว่าที่ช้านั้น ช้าเพราะต้องมานั่งเขียนคำวินิจฉัยส่วนตัวและคำวินิจฉัยกลางกันใหม่และตรวจกันจนพอใจแล้วจึงค่อยส่งไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือช้าเพราะกระบวนการที่จะลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาที่ต้อง “รอคิว” ก็ไม่ทราบได้ครับ
       
       ก่อนที่จะจบบทบรรณาธิการครั้งนี้ ก็ต้องขอขอบคุณประธานศาลรัฐธรรมนูญที่ได้กรุณาออกมาให้ข้อมูลการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ประชาชนได้มีโอกาสรับรู้การทำงานของศาลรัฐธรรมนูญมากขึ้นและน่าจะสามารถนำไปใช้ในการตรวจสอบการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญได้ดียิ่งขึ้นครับ
       
       ในสัปดาห์นี้ เรามีบทความมานำเสนอเพียงบทความเดียว คือบทความเรื่อง "การกระทำทางรัฐบาลนำไปฟ้องศาลไม่ได้จริงหรือ?" ที่เขียนโดยคุณวรัญญา ทัศนีศรีวงศ์ นักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขากฎหมายมหาชน จากมหาวิทยาลัย Aix-Marseille ประเทศฝรั่งเศส  ผมขอขอบคุณเจ้าของบทความด้วยครับ
       
       พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 8 เมษายน 2556 ครับ
       
       ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์


พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1834
เวลา 19 เมษายน 2567 05:56 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)