ครั้งที่ 311

25 กุมภาพันธ์ 2556 15:06 น.

       สำหรับวันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ถึงวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2556
       
       “กฎหมายว่าด้วยการพนัน”
       
       เมื่อวันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมประชุมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับ ร่างกฎหมายใหม่ 2 ฉบับของกระทรวงมหาดไทย คือ ร่างกฎหมายว่าด้วยการพนัน และร่างกฎหมายว่าด้วยการให้รางวัลด้วยการเสี่ยงโชค เป็นการประชุมที่จัดโดยศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยขณะนี้ ร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับอยู่ในขั้นการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
       ในการประชุมระดมความคิดเห็น ผมมีส่วนร่วมในการเสนอเอกสารที่เกี่ยวกับกฎหมายการพนันในประเทศไทย จึงขอนำเอาสรุปเอกสารดังกล่าวมานำเสนอเป็นบทบรรณาธิการในครั้งนี้
       การพนันในประเทศไทยมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากทั้งประเทศอินเดียและประเทศจีน โดยทางอินเดียอาจติดมากับคัมภีร์ทางศาสนาหรือชาดก เช่น มีบางตอนกล่าวถึงการเล่นสกาเดิมพันเอาเมืองกันของเจ้าเมืองในชมพูทวีป  ส่วนทางจีนน่าจะมีอิทธิพลมากกว่าทางอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพนันของชาวจีน อาทิเช่น ถั่ว โป หวย หรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า “ฮวยหวย” เมื่อจีนติดต่อค้าขายกับไทย การพนันเหล่านี้ได้ติดมาด้วย
       การเล่นพนันแบบไทยไม่พบหลักฐานที่แน่นอนว่าเป็นอะไร สันนิษฐานว่าอาจเป็นการพนันโดยใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ เช่น การตีไก่ การกัดปลากัดและการชนวัว เมื่อครั้งที่ไทยตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า ในเวลานั้นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงท้าตีไก่กับพระมหาอุปราช ไก่ของสมเด็จพระนเรศวรชนะ และมีการเยาะเย้ยกันว่า “ไก่เชลย” ถึงกับมีการท้าพนันเอาเมืองกันเลยทีเดียว การพนันแบบไทยแท้จึงน่าเป็นการใช้สัตว์สู้กัน ตั้งแต่สัตว์เล็ก ๆ จำพวกจิ้งหรีดและปลากัด จนถึงสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย หรือช้าง แต่ที่นิยมกันมากน่าจะเป็นการชนไก่ โดยเจ้าของบ่อนจะหักเงินค่าบำรุงบ่อนอย่างน้อยร้อยละ 10 จากจำนวนเงินเดิมพัน
       ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการพนันจากจีนเข้ามาเป็นที่แพร่หลาย 3 ชนิด คือ ถั่ว โป และหวย โดยชาวไทยได้เรียกการเล่นถั่วโปว่าการ “เล่นเบี้ย” คือ เรียกตามเงินที่ใช้เล่นมีลักษณะเป็นหอยเล็กๆ ใช้แทนเหรียญ และเรียกสถานที่เล่นถั่วโปว่า “บ่อนเบี้ย” รัฐจึงได้แสวงหาผลประโยชน์จากการพนันโดยการเก็บภาษีจากการเล่นนี้เรียกว่า “อากร” รวมเรียกว่า “อากรบ่อนเบี้ย และ “อากรหวย” เพื่อเป็นการนำเงินเข้าสู่รัฐและขณะเดียวกันก็มิให้ตกอยู่แก่ราษฎรผู้ดำเนินการแต่เพียงผู้เดียว อากรบ่อนเบี้ยคือเงินที่เก็บจากผู้ประมูลขอตั้งบ่อนการพนันเล่นถั่วและโปในราชอาณาจักร และบุคคลที่ประมูลผูกขาด ในการตั้งบ่อนการพนันดังกล่าวเรียกว่า “นายอากรบ่อนเบี้ย” ซึ่งส่วนมากมักเป็นชาวจีน อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐจะได้ภาษีจากโรงบ่อนเบี้ยคือ สถานที่เล่นการพนันมากเพียงใดก็ตาม แต่รัฐก็ไม่มีนโยบายในการสนับสนุนให้คนไทยเล่นการพนันแต่อย่างใด
                 ในสมัยรัชกาลที่ 1 ไม่ทรงเห็นด้วยที่จะให้เล่นการพนันหรือเล่นเบี้ยกันแบบสมัยกรุงธนบุรี แต่ยังคงยอมให้มีเบี้ยอยู่บ้าง โดยเก็บอากรบำรุงแผ่นดิน ถึงอย่างไรก็ตามทรงเคร่งครัดเรื่องการพนันและการดื่มสุรามากขึ้น โดยเฉพาะกับพวกข้าราชการ โดยทรงออกพระราชกำหนด เมื่อปี พ.ศ. 2325 ห้ามข้าราชการเล่นบ่อนเบี้ยและเสพสุรา หากผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษเฆี่ยน 90 ที และสักรูปถั่วประจานไว้ที่หน้าผากด้วย ส่วนเจ้าของบ่อนผู้อนุญาตให้ข้าราชการเข้าไปเล่นเบี้ย ระวางโทษเฆี่ยน 30 ทีด้วยนอกจากนี้ ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้มีการออกพระราชบัญญัติในพ.ศ. 2333 ห้ามมิให้ผู้ใดเล่นการพนันชนไก่ และพระราชบัญญัติใน พ.ศ. 2337 ห้ามมิให้ผู้ใดเล่นการพนันเด็ดปลี แทงห่วง และกอบข้าวสาร
                 ครั้นต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงโปรดให้ตั้งโรงหวยขึ้นเพื่อให้ประชาชนเอาเงินออกมาหมุนเวียนแทนที่จะฝังดินเอาไว้ เพราะการเอาฝังดินทำให้เกิดการขาดแคลนเงินตราที่ใช้หมุนเวียนในท้องตลาดขึ้น จึงเกิดโรงหวยและอากรหวยในปี พ.ศ. 2378 จนกระทั่งสมัยรัชกาล  ที่ 4 ไทยได้ทำสัญญาผูกพันกับต่างประเทศ ต้องยกเลิกภาษีผูกขาดหลายประเภทเป็นเหตุให้รายได้ของแผ่นดินลดลง ทางราชการสมัยนั้นจึงได้คิดปรับปรุงภาษีอากรหลายประเภท และได้กำหนด “ภาษีการพนัน” เพิ่มขึ้นจากอากรบ่อนเบี้ยอีกประเภทหนึ่งแต่ผลเสียของการอนุญาตให้มีการเล่นการพนันในรูปแบบของการแสวงหาผลประโยชน์มีผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก ทำให้ประชาชนมัวเมาอยู่แต่การเล่นพนันแต่เพียงอย่างเดียวไม่สนใจที่จะเอาเวลาไปประกอบอาชีพต่าง ๆ มาเลี้ยงตนเองและครอบครัว ทำให้คนที่ติดการพนันส่วนใหญ่มีฐานะความเป็นอยู่ที่ยากจนลง ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์จึงประกาศเลิกบ่อนเบี้ยในปี พ.ศ. 2430
       ปีพุทธศักราช 2473 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการตราพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2473 ขึ้นใช้บังคับเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการพนันฉบับแรกของประเทศไทย เนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวคือการรวบรวมกฎหมายการพนันต่าง ๆ มาไว้ในที่เดียวกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้ กฎหมายเกี่ยวกับการพนันจะเป็นลักษณะเฉพาะเรื่อง ๆ ไป เช่น
       - กฎหมายห้ามมิให้เล่นการพนัน คือ เด็ดปลี แทงห่วง ทายอึ่ง ทายปลาไหล รูดไม้ดมพัด เสือนอนกิน
       -  ประกาศเรื่องผลนำจับผู้ลักลอบเล่นหวยจับยี่กี
       -  พระราชบัญญัติอากรการพนัน
       -  กฎเสนาบดีการพนันไพ่ป๊อก
       ต่อมาเมื่อกฎหมายดังกล่าวใช้บังคับไปได้ระยะหนึ่งก็ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 ที่มีเนื้อหาสาระเป็นการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการพนันให้ทันสมัยยิ่งขึ้น รวมทั้งยังได้เพิ่มเติมประเภทของการพนันเข้าไปเพื่อให้ครอบคลุมการเล่นพนันประเภทต่าง ๆ  กฎหมายนี้ใช้บังคับมาจนถึงปัจจุบัน  
                   ปัจจุบันในประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวกับการพนันทั้งโดยตรง 3 ฉบับด้วยกันคือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 และพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 โดยในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีบทบัญญัติกำหนดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเล่นพนันไว้อย่างชัดเจนในบรรพ 3 ลักษณะ 18 การพนันและขันต่อในมาตรา 853 - 855  พระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ที่มีการแบ่งลักษณะการเล่นพนันไว้เป็น 2 ลักษณะคือการเล่นพนันที่ห้ามเด็ดขาด และการเล่นพนันที่อนุญาตให้เล่นได้ พระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พุทธศักราช 2517 ที่แม้จะถือว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นการพนันรูปแบบหนึ่งแต่ก็ที่สามารถเล่นได้และให้ถือเป็นการยกเว้นผลทางกฎหมายของการเล่นพนันทั้งทางแพ่งและทางอาญาด้วย เนื่องจากมีกฎหมายกำหนดยกเว้นไว้เป็นการเฉพาะ
                 ปัญหาในการบังคับใช้พระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 นั้นมีอยู่หลายประการทั้งในด้านความไม่ชัดเจนของตัวบทกฎหมาย การกำหนดโทษที่ไม่เหมาะสม ความยุ่งยากในการลงโทษ รวมทั้งความล้าสมัยของกฎหมาย ตลอดจนพื้นฐานความคิด ค่านิยมของประชาชนต่อการพนัน เนื่องจากรูปแบบของการพนันนั้นมีลักษณะที่แพร่หลาย และเป็นส่วนตัวมากกว่าธุรกิจผิดกฎหมายอย่างอื่น อีกทั้งมีความยุ่งยากในการสืบสวนสอบสวนทำให้การลงโทษมีผลในการยับยั้งการกระทำความผิดมีค่อนข้างน้อย โดยสามารถแยกปัญหาออกได้เป็น 4 กรณี คือ
                   ก. ปัญหาความไม่ชัดเจนของการกระทำความผิด บทบัญญัติของพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 นั้นได้ระบุเนื้อหาและรูปแบบของการพนันที่เป็นความผิดต่างๆไว้ โดยกำหนดไว้เป็นชื่อของการเล่นพนันโดยเฉพาะในบัญชี ก. และบัญชี ข. ท้ายพระราชบัญญัติเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันการเล่นการพนันตามบัญชีท้ายถือได้ว่าล้าสมัย การกำหนดชื่อของการพนันเอาไว้ทำให้การพนันเหล่านั้นมีลักษณะที่ตายตัว ไม่มีความยืดหยุ่น ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่มีความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร ส่งผลให้วิธีการเล่นการพนันมีการพัฒนาโดยมีการเล่นโดยใช้เทคโนโลยีหลายรูปแบบ เช่นโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต เป็นต้น
                   ข. ปัญหาความไม่ชัดเจนในการนิยามคำว่าการพนัน พระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีโทษทางอาญา แต่เป็นเรื่องแปลกที่กฎหมายดังกล่าวไม่ได้มีการให้คำนิยามของคำว่า “การพนัน” เอาไว้ มีแต่เพียงการกำหนดรูปแบบและวิธีการเล่นพนันตามบัญชี ก. และบัญชี ข. ท้ายพระราชบัญญัติเท่านั้น ดังนี้ การที่จะพิจารณาว่าการกระทำที่เป็นการเล่นพนันอื่นๆ ที่เป็นความผิดจึงต้องพิจารณาจากเนื้อหาของบทบัญญัติมาตรา 4 ทวิ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ใช้อุดช่องว่างสำหรับการพนันรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ได้กำหนดไว้
                   ค. ปัญหาอัตราโทษ  การกำหนดโทษของการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 เป็นปัญหาเช่นเดียวกันคือเป็นโทษที่มีลักษณะเบา กล่าวคือ โทษจำคุกอย่างสูงสุดไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับเท่านั้น ผู้กระทำความผิดจึงไม่เกิดความเข็ดหลาบหรือเกรงกลัวต่อโทษเมื่อเปรียบเทียบอัตราโทษตามกฎหมายกับการเล่นพนันในปัจจุบันอย่างเช่นการเล่นพนันทายผลฟุตบอลของโต๊ะรับพนันรายใหญ่ซึ่งมีวงเงินราว 10-50 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าอัตราค่าปรับขั้นสูงที่สุดของพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ในส่วนของผู้จัดให้มีการเล่นคือ 5,000 บาท ตามมาตรา 12 (1) นั้น มีอัตราส่วนเท่ากับ 1 : 2,000-10,000 ซึ่งหมายความว่าวงพนันที่เป็นเจ้ามือพนันฟุตบอลมีรายรับสูงกว่าอัตราค่าปรับขั้นสูงที่สุดที่กฎหมายกำหนด 2,000-10,000 เท่า ซึ่งแสดงถึงความไม่ได้สัดส่วนของโทษกับการกระทำความผิดอย่างชัดเจน
                   ง. ปัญหาด้านทัศนคติต่อกฎหมายการพนัน สังคมไทยมีค่านิยมประการหนึ่งที่สำคัญคือ การเชื่อถือโชคลางที่คอยกำหนดความเป็นไปของมนุษย์ และสามารถดลบันดาลสิ่งต่างๆ ให้ได้อย่างไม่คาดคิดมาก่อน ค่านิยมดังกล่าวมีมานานแล้วและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนิสัยการเล่นพนันของคนไทย เมื่อมองในแง่ของบุคคลที่มีรายได้น้อย โอกาสที่จะร่ำรวยค่อนข้างน้อย จึงมีหนทางเดียวที่จะหวังร่ำรวยได้คือ การเสี่ยงโชคในรูปแบบต่างๆ อีกทั้งสภาพของคนที่ติดการพนันจะเหมือนกับคนติดยาเสพติด คือยิ่งเสพมากก็ยิ่งติด ยิ่งเล่นมากก็ยิ่งติด
                 ด้านทัศนคติส่วนตัวของผู้เล่นการพนันนั้นมองว่า การเล่นการพนันแม้กฎหมายจะบัญญัติให้เป็นความผิด แต่ก็ไม่ได้ว่าเป็นความผิดที่เลวร้ายที่เป็นลักษณะความผิดในตัวเอง (Mala in se) อย่างการฆ่าคน หรือการลักทรัพย์ แต่มองว่าเป็นความผิดลักษณะไม่ใช่ความผิดในตัวเองเป็นเพียงความผิดที่กฎหมายที่เป็นข้อห้าม (Mala Prohibita) เท่านั้น ผู้กระทำความผิดส่วนใหญ่จึงไม่รู้สึกผิดในการกระทำความผิดของตนเอง
                 ดังนั้น การเคารพเชื่อฟังและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดจึงไม่ค่อยมี การฝ่าฝืนข้อห้ามจึงไม่ใช่สิ่งที่มีความสำคัญมากนัก เมื่อมีการจับกุมผู้กระทำความผิดส่วนใหญ่มักได้รับโทษเพียงโทษปรับ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเสียค่าปรับแล้วก็ย้อนกลับมากระทำความผิดอีก ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายย่อมถูกกระทบกระเทือนอย่างแน่นอน  และนอกจากนี้แล้ว รัฐเองก็ยังเป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีการพนันประเภทสลากกินแบ่งรัฐบาลด้วยโดยการจัดตั้งสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลขึ้นมาเป็นรัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517  และรายได้จากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลก็เป็นรายได้ที่เข้าสู่รัฐจำนวนไม่น้อยในแต่ละปี
       จากการศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพนันโดยเฉพาะพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายหลักที่ใช้ในการป้องกันและปราบปราบการเล่นการพนันนั้น เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายดังกล่าวถือว่าล้าสมัยแล้ว ดังนั้น หากจะมีการปรับปรุงเห็นควรให้มีการดำเนินการต่อไปนี้
                1. ประเภทของการพนัน เนื่องจากพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นมานานมากแล้ว และยังไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ทำให้ตัวบทกฎหมายของกฎหมายดังกล่าวอยู่ในสภาพล้าสมัยไม่ทันต่อการนำมาบังคับใช้ในยุคสมัยที่มีความเปลี่ยนแปลงไปดังเช่นในปัจจุบันที่มีรูปแบบการเล่นพนันที่พัฒนาเพิ่มมากยิ่งขึ้น  ดังนั้น จึงควรสร้างความชัดเจนให้กับการบังคับใช้พระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 กับรูปแบบการพนันที่เกิดขึ้นมาใหม่มากยิ่งขึ้น โดยการออกกฎกระทรวงเพิ่มเติมเพื่อระบุฐานความผิดที่เป็นรูปแบบของการเล่นพนันประเภทใหม่ๆ เช่นเดียวกับกรณีที่เคยมีการออกกฎกระทรวงเพิ่มเติมบัญชี ก. รวม 2 ประเภทคือ “บาการา” และ “สล๊อตแมชีน” หรือการออกกฎกระทรวงเพิ่มเติมบัญชี ข. รวม 4 ประเภทคือ สะบ้าทอย สะบ้าชุด ฟุตบอลโต๊ะ และเครื่องเล่นซึ่งใช้เครื่องกล พลังไฟฟ้า พลังแสงสว่าง หรือพลังอื่นใดที่ใช้เล่นโดยวิธีสัมผัส เลื่อน กด ดีด ดึง ดัน ยิง โยน โยก หมุน หรือวิธีอื่นใดซึ่งสามารถทำให้แพ้ชนะกันได้ ไม่ว่าจะโดยมีการนับแต้มหรือเครื่องหมายใดๆ หรือไม่ก็ตาม ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น โดยประเภทของการพนันที่สมควรเพิ่มเข้าไปในบัญชี ก. หรือบัญชี ข. ท้ายพระราชบัญญัติ ได้แก่ “การพนันทายผลการแข่งขันกีฬาต่างๆ” ที่อาจเพิ่มเติมเข้าในบัญชี ก. หรือในบัญชี ข. ท้ายพระราชบัญญัตินี้ก็ได้ ส่วนการที่จะเพิ่มเติมเข้าไว้ในบัญชีใดนั้นจะต้องพิจารณาจากความร้ายแรงของการพนันที่จะส่งผลกระทบต่อสังคม ประกอบกันแนวนโยบายของรัฐในอนาคตที่จะอาจจะอนุญาตหรือเป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีอย่างถูกต้องตามกฎหมายเองเหมือนอย่างกรณี สลากกินแบ่งรัฐบาลหรือไม่ด้วย
                2. ทำให้คำนิยามของคำว่าการพนันชัดเจนยิ่งขึ้น เห็นควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนคำนิยามของลักษณะการเล่นพนันให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
       3. อัตราโทษ อัตราโทษของการกระทำความผิดเกี่ยวกับการพนันตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 นั้นเป็นอัตราโทษที่เบามาก จึงควรที่จะให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงโทษให้มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของผู้เล่นการพนันนั้น เดิมพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 กำหนดโทษปรับสูงสุดไว้เพียงปรับไม่เกิน 1,000 บาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนน้อยมาก ควรปรับปรุงแก้ไขให้เป็นโทษปรับที่สูง เช่นไม่เกิน 100,000 บาทและในส่วนของผู้จัดให้มีการเล่นการพนันนั้นเดิมพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 กำหนดโทษปรับสูงสุดไว้เพียงปรับตั้งแต่ 500 ถึง  5,000 บาทเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้กับวงเงินที่เล่นการพนันในปัจจุบันเลย จึงสมควรแก้ไขโทษปรับดังกล่าวให้เป็นโทษปรับที่มีอัตราสูง เช่นตั้งแต่ 50,000 ถึง  500,000 บาท  การกำหนดโทษปรับอัตราสูงเพื่อให้เป็นเครื่องมือให้การป้องกันผู้ที่คิดจะเล่นการพนันให้มีความยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิดมากยิ่งขึ้น
       นอกจากนี้แล้ว ยังอาจกำหนดการลงโทษด้วยมาตรการอื่นเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้กระทำความผิดเกรงกลัวและหลาบจำมากขึ้น เช่น การลงโทษเพื่อเป็นการบริการสังคมมาเสริม ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมแล้ว ยังทำให้ผู้กระทำความผิดต้องแสดงตัวต่อสังคมในขณะที่ทำงานบริการสังคม อันอาจจะทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับความอับอายและเกิดความยับยั้งมากขึ้นในการที่จะหวนกลับไปกระทำความผิดอีก
       ปัญหาที่ได้นำเสนอไปข้างต้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดทราบดีว่ากฎหมายการพนันมีปัญหาอย่างไร ด้วยเหตุนี้เองที่กระทรวงมหาดไทยได้ทำการยกร่างกฎหมาย 2 ฉบับ เกี่ยวกับการพนัน คือ ร่างกฎหมายว่าด้วยการพนัน และร่างกฎหมายว่าด้วยการให้รางวัลด้วยการเสี่ยงโชค
       ผมมีโอกาสได้ศึกษาร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ โดยในร่างกฎหมายการพนันฉบับใหม่นั้น ดูในเนื้อหาแล้วก็ไม่มีอะไรใหม่มาก มีปัญหาอยู่หลายประการที่ “น่าจะ” ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมา ตัวอย่างเช่น กฎหมายการพนันฉบับปัจจุบัน บัญญัติว่าหนี้ที่เกิดจากการพนันถือว่าไม่มีมูลหนี้ตามกฎหมายเช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ในร่างกฎหมายฉบับใหม่กำหนดให้หนี้ที่เกิดจากการพนันที่ร่างกฎหมายอนุญาตสามารถบังคับได้ตามกฎหมาย ผลกระทบที่จะตามมาก็คือทำให้เกิดการพนันที่ยอมรับตามกฎหมาย หนี้ที่เกิดจากการพนันกลายเป็นสิ่งที่กฎหมายยอมรับและอาจเป็นเหตุให้เกิดอาชีพใหม่ก็คือรับทวงหนี้การพนันได้ เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นในระบบกฎหมายไทย
       เรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากคือประเภทของการพนันที่ยังคงมีบัญชี ก. บัญชี ข. อยู่ และทั้ง 2 บัญชีก็ประกอบด้วยการพนันที่บางอย่างไม่เคยรู้จักมาก่อน ส่วนการพนันที่หลายๆ ประเทศกำลังวิตกคือการพนัน online กลับไม่มีบัญญัติไว้ในร่างกฎหมายฉบับใหม่ อีกเรื่องหนึ่งก็คือในร่างกฎหมายอนุญาตให้เยาวชนหรือผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี สามารถเล่นการพนันประเภทสลากกินแบ่ง สลากกินรวบ หรือล็อตโต้ได้
       ที่เห็นเปลี่ยนไปมากจากกฎหมายเดิมคือเรื่องโทษที่บัญญัติเอาไว้มากประเภทขึ้นและรุนแรงกว่าเดิมครับ
       ส่วนร่างกฎหมายอีกฉบับคือร่างกฎหมายว่าด้วยการให้รางวัลด้วยการเสี่ยงโชค ก็มีขึ้นมาเพื่อ ควบคุมการให้รางวัลต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกิจกรรมทางการค้า เช่น เปิดฝาขวดได้ทอง เติมน้ำมันได้รถ หรือส่ง SMS ชิงรางวัล ทายผล เป็นต้น
       ในการประชุมระดมความคิดเห็นดังกล่าว ผมได้ติงประเด็นที่ “น่าจะ” เป็นประเด็นสำคัญของประเทศไทยที่จะต้องมีคำตอบให้ชัดเจนก่อนคือยังควรที่จะมีกฎหมายเพื่อควบคุมการพนันหรือไม่ ซึ่งในที่ประชุมส่วนใหญ่ก็ยังเห็นควรให้มีกฎหมายเพื่อควบคุมการพนันอยู่โดยความเห็นส่วนหนึ่งก็สอดคล้องกับหลักศาสนา มีบางส่วนเห็นว่าเพื่อการคุ้มครองเยาวชนและสถาบันครอบครัว เป็นต้น
       ในตอนท้ายของการประชุมระดมความคิดเห็น ผมได้เสนอแนวทางไปว่า หากจะยังคงให้มีกฎหมายเพื่อควบคุมการพนัน ก็ควรที่จะเขียนกฎหมายใหม่โดยรวมเรื่องการให้รางวัลด้วยการเสี่ยงโชคเข้าไว้ด้วยกันเพื่อที่จะได้ไม่มีกฎหมายมากเกินความจำเป็น ส่วนหลักการของกฎหมายนั้น ควรกำหนดคำนิยามของการพนันให้ครอบคลุมไปถึงประเภทของการพนันใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาจกำหนดความรับผิดชอบของผู้ที่จะจัดให้มีการเล่นการพนันในส่วนที่เกี่ยวกับเยาวชน การอนุญาตให้มีการเล่นการพนันควรทำโดยคณะกรรมการที่อาจแยกเป็นระดับชาติและท้องถิ่น รัฐควรเก็บภาษีให้มากจากผู้จัดให้มีการเล่นการพนันและผู้ที่ได้ประโยชน์จากการเล่นการพนัน รวมทั้งควรวางมาตรการจำกัดประเภทของผู้ที่จะเข้าไปเล่นการพนันในบางสถานที่ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการฟอกเงิน เป็นต้น
       ส่วนเรื่องการตั้งคาสิโน ที่หลายๆ ฝ่ายอยากให้มีเหลือเกินนั้นเป็นเรื่องเรื่องใหญ่ที่คงต้องศึกษาให้ละเอียดถึงผลดีผลเสียก่อนการตัดสินใจครับ
       
       ในสัปดาห์นี้ เรามีบทความมานำเสนอเพียงบทความเดียว ซึ่งเป็นบทความของศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ที่เขียนเรื่อง “ระบบเผด็จการทหาร และ ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ต่างก็ไม่ใช่ “ระบอบประชาธิปไตย” ด้วยกัน”  ซึ่งเป็นบทความที่ใช้ประกอบในการบรรยายของวิทยาลัยรัฐธรรมนูญ แห่งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ผมขอขอบคุณเจ้าของบทความด้วยครับ
       
                 พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2556 ครับ
       
                 ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์


พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1826
เวลา 28 มีนาคม 2567 18:04 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)