ความคืบหน้ากรณีการขอตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหาร

26 กุมภาพันธ์ 2555 20:58 น.

       1.   ความเป็นมา   
                 เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2554 กัมพูชาได้ยื่นขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) ซึ่งต่อไปเรียกว่า “ศาลโลก”  ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกได้ตัดสินเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2505  และพร้อมกันนี้กัมพูชาได้ยื่นคำร้องเร่งด่วนขอให้ศาลโลกกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว  โดยอ้างเหตุการณ์ร้ายแรงซึ่งกล่าวหาว่าไทยเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้นในบริเวณปราสาทพระวิหารและในบริเวณอื่นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา  อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ และประชาชนจำนวนมากต้องอพยพหนีภัย  จึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากส่วนของดินแดนกัมพูชาในพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารในทันทีและไม่มีเงื่อนไข  ห้ามไทยดำเนินกิจกรรมทางทหารใดๆ ในบริเวณดังกล่าว  และให้ไทยงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่อาจกระทบสิทธิของกัมพูชา  หรือเพิ่มความขัดแย้ง
                 องค์คณะผู้พิพากษาในครั้งนี้มีผู้พิพากษาทั้งหมด 16 คน  โดยมี Mr. Hisashi Owada เป็นประธาน และมีผู้พิพากษาเฉพาะกิจ (Judge ad hoc)  จำนวน 2 คน  ซึ่งไทยและกัมพูชาได้ใช้สิทธิเลือกฝ่ายละหนึ่งคน  โดยไทยได้เลือก Mr. Jean-Pierre Cot  ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส  ส่วนกัมพูชาได้เลือก Mr. Gilbert Guillaume  ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสเช่นกัน และเคยเป็นประธานศาลโลก (ช่วง ค.ศ. 2000-2003)  อันทำให้องค์คณะนี้ประกอบด้วยผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสถึง 3 คน  โดยผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสอีกหนึ่งคนคือ Mr. Ronny Abraham  
                 ในวันที่ 30-31 พ.ค. 2554  ศาลโลกได้รับฟังการให้ถ้อยคำของทั้งไทยและกัมพูชากรณีคำร้องขอของกัมพูชาให้ศาลโลกกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว  โดยกัมพูชาสรุปขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวรวม 3 ข้อตามที่กล่าวมาแล้ว  ในขณะที่ไทยสรุปขอให้ศาลจำหน่ายคดีที่กัมพูชายื่นให้พิจารณาออกจากสารบบความ  ต่อมาในวันที่ 18 ก.ค. 2554  ศาลโลกได้มีคำสั่งยกคำขอของไทยดังกล่าวข้างต้นด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์  และด้วยคะแนนเสียง 11 ต่อ 5 (ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย: Owada,  Al-Khasawneh,  Xue, Donoghue, Cot) สั่งให้ทั้งไทยและกัมพูชาถอนกำลังทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว (Provisional Demilitarized Zone: PDZ) ตามที่ศาลได้กำหนด 
                 รวมทั้งด้วยคะแนนเสียง 15 ต่อ 1 (ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย: Donoghue) ให้ไทยจะต้องไม่ขัดขวางการเข้าถึงอย่างอิสระของกัมพูชาไปยังปราสาทพระวิหาร  ให้ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินความร่วมมือกันต่อไปตามในกรอบอาเซียนรวมทั้งต้องอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์เข้าไปยัง PDZ  และให้ทั้งสองฝ่ายต้องงดเว้นจากการกระทำใดๆ ที่อาจทำให้ข้อพิพาทนั้นเกิดมากขึ้น  ตลอดจนให้แต่ละฝ่ายต้องแจ้งต่อศาลถึงการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว
                 สำหรับการสู้คดีนี้  ไทยได้ตั้งคณะทำงาน 3 คณะ  ได้แก่ (1) คณะดำเนินคดีปราสาทพระวิหารของไทย มีองค์ประกอบ  15 คน นำโดยนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ทำหน้าที่เป็น ผู้แทน (Agent) ฝ่ายไทย  และมีที่ปรึกษากฎหมาย (Counsel) ชาวต่างชาติ 3 คน โดยมีชาวฝรั่งเศสหนึ่งคน คือ Mr. Alian Pellet  รวมทั้งมีที่ปรึกษา อาทิ รมว. กระทรวงการต่างประเทศ (กต.)  รมว. กระทรวงกลาโหม เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา อัยการสูงสุด  ผู้บัญชาการทหารบก และเจ้ากรมแผนที่ทหาร  (2) คณะทำงานของ กต. เพื่อสนับสนุนการดำเนินคดี ซึ่งมีปลัด กต. เป็นประธาน และมีคณะทำงานย่อยในด้านต่างๆ อีก 5 ชุด  (3) คณะกรรมการพิเศษเพื่อพิจารณาอนุสัญญาต่างๆ ซึ่งมี รมว. กต. เป็นประธาน และผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย 34 คน  ทำหน้าที่ช่วยให้คำปรึกษาด้านนโยบายและความเห็นทางกฎหมายให้กับคณะดำเนินคดีฯ
        
       2.   ความคืบหน้า
       ความคืบหน้าที่เกี่ยวข้องกับกรณีการขอตีความคำพิพากษาของศาลโลกมีส่วนที่สำคัญตามลำดับดังนี้
                 วันที่ 18ก.ค. 2554   ภายหลังศาลโลกได้มีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าว  นายกษิต  ภิรมย์ รมว. กต. ในขณะนั้น  ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า  ฝ่ายไทยเคารพคำสั่งของศาลและจะปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีอยู่ภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ  ทั้งนี้ไทยมีความพอใจต่อคำสั่งศาลโลกดังกล่าวเพราะมีผลให้ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติตาม 
                 วันที่ 25ก.ค. 2554  ได้มีการประชุมหารือระหว่าง กต. กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการของไทยกรณีศาลโลกออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว  นายกษิต  ภิรมย์  ในฐานะประธานในที่ประชุมดังกล่าวได้แถลงว่า  จะได้นำข้อสรุปจากที่ประชุมเรียนต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาส่งมอบให้รัฐบาลชุดใหม่ต่อไป 
                 วันที่ 16 ส.ค. 2554  ครม. ของรัฐบาลชุดใหม่ที่มี น.ส. ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี  ซึ่งได้เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2554  ได้มีมติให้ กต. ไปพิจารณารายละเอียดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับกรณีการที่กัมพูชาขอให้ตีความคำพิพากษาของศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหารและคำสั่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าว  ให้รอบคอบและรอบด้านก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
                 วันที่  12 ต.ค. 2554  สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)  ได้ให้ความเห็นชอบตามที่ กต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เสนอให้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลก
                 วันที่  18 ต.ค. 2554  ครม. ได้มีมติให้ความเห็นชอบตามที่ สมช.  เสนอให้มีการปฏิบัติตามคำสั่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก  ตามพันธกรณีที่ไทยในฐานะรัฐสมาชิกที่มีอยู่ตามกฎบัตรสหประชาชาติ  พร้อมทั้งแนวทางในการดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว  รวมทั้งให้ความเห็นชอบท่าทีของไทยในการประสานกับกัมพูชาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลกต่อไป 
                 วันที่ 15 พ.ย. 2554  ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้มีการเปิดการอภิปรายทั่วไปตามที่ ครม. เสนอ  เพื่อรับฟังความคิดเห็นในเรื่องการปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลกโดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 179  ทั้งนี้เนื่องจากทางทหารในฐานะผู้ปฏิบัติมีความกังวลว่า  การถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาทอาจทำให้ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุให้ประเทศเสียอธิปไตย  และนำไปสู่การยื่นฟ้องดำเนินคดี  สมช. จึงมีความเห็นมายัง ครม. ขอให้เปิดการประชุมร่วมกันของรัฐสภาดังกล่าว  ในการประชุมดังกล่าวได้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวางในประเด็นต่างๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ว่าเรื่องนี้ต้องให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 190  หรือไม่  ซึ่ง ค.ร.ม. เห็นว่าไม่เข้าข่ายมาตรา 190   แต่สมาชิกรัฐสภาหลายคนเห็นตรงข้าม  แต่เนื่องจากเป็นการประชุมโดยไม่มีการลงมติ  จึงไม่มีข้อสรุปใดๆ
                 วันที่ 16 พ.ย. 2554  พล.อ. ยุทธศักดิ์  ศศิประภา  รมว. กระทรวงกลาโหมในขณะนั้นได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า  ไทยพร้อมเจรจาโดยจะนำกรอบการเจรจาที่ได้จากการประชุมร่วมกันของรัฐสภาดังกล่าวไปหารือกับกัมพูชาในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ที่จะจัดให้มีขึ้น  เพื่อให้ได้ข้อยุติใน 5 ข้อดังนี้    ข้อ 1 การปรับกำลัง  ข้อ 2 การปฏิบัติต่อผู้สังเกตการณ์   ข้อ 3 การจัดจุดตรวจ   ข้อ 4 การดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ยูเนสโก  ข้อ 5 การดำเนินการต่อประชาชนที่วัดแก้วสิขาคีรีสะวารา
                 วันที่ 21 พ.ย. 2554  ไทยได้ยื่นข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษร (Written Observations) ต่อนายทะเบียนศาลโลกเพื่อโต้แย้งคำขอของกัมพูชาให้ตีความคำพิพากษาของศาลโลก  โดยมีความยาว 300 หน้า  และภาคผนวกอีก 600 หน้า
                 วันที่ 24 พ.ย. 2554  นายทะเบียนศาลโลกได้มีหนังสือแจ้งให้กัมพูชาและไทยส่งคำอธิบายเป็นลายลักษณ์อักษร (Written Explanations) ภายในวันที่ 8 มี.ค. และ 21 มิ.ย. 2555 ตามลำดับ
                 วันที่ 13 ธ.ค. 2554  สมัชชาใหญ่สหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคงได้เสร็จสิ้นการเลือกตั้งผู้พิพากษาในศาลโลกครบ 5 คน (ผู้ที่ได้รับเลือก: Owada, Tomka, Xue, Gaja, Sebutinde) แทนผู้พิพากษาที่จะครบวาระในวันที่ 5 ก.พ. 2555 (Owada, Tomka, Xue, Koroma, Simma,) โดยมีผู้พิพากษาเก่า 3 คนได้รับเลือกเข้าไปใหม่
                 วันที่ 19 ธ.ค. 2554  กลุ่มกำลังแผ่นดินและเครือข่ายประชาชนชาวกันทรลักษ์พิทักษ์เขาพระวิหารได้ยื่นผลการทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนจำนวนประมาณ 5,000 คน ใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต่อ ผบ.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 โดยมากกว่า 99% คัดค้านการถอนกำลังทหารตามคำสั่งศาลโลก  เนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัยและการปกป้องดินแดนบริเวณชายแดนหากไม่มีทหารประจำการอยู่  
                 วันที่ 21 ธ.ค. 2554 หลังเสร็จสิ้นการประชุม GBC ฝ่ายไทยและกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ร่วมโดยมีส่วนที่สำคัญพอสรุปได้ว่า  ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก โดยต้องโปร่งใส  เสมอภาค  และชัดเจนแน่นอน  ภายใต้การตรวจสอบของผู้สังเกตการณ์ร่วมสามฝ่าย ไทย กัมพูชา และอินโดนีเซีย  พร้อมตั้งคณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชาเพื่อหารือรายละเอียดการปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลกใน PDZ ที่ยังไม่ได้มีข้อยุติ 
                 วันที่ 9 ม.ค. 2555  กลุ่มรวมพลังปกป้องดินแดนไทยจังหวัดอีสานใต้ประมาณ 100 คนได้ไปชุมนุมที่ศาลหลักเมืองกันทรลักษ์เพื่อคัดค้านการถอนกำลังทหารตามคำสั่งของศาลโลก  และได้มีประชาชนชาว จ.ศรีสะเกษ เดินทางมาสมทบกับกลุ่มดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
                 วันที่ 10 ม.ค. 2555  กลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดินประมาณ 200 คนได้ไปชุมนุมหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทยเพื่อยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อประชาชนจำนวน 15,312 คน ในการปฏิเสธอำนาจศาลโลกในการพิจารณาคดีปราสาทพระวิหาร  
                 วันที่ 13 ม.ค. 2555  คณะดำเนินคดีปราสาทพระวิหารของไทยได้มีการประชุมโดยมีสาระสำคัญสรุปได้ว่า
        หลังจากที่ศาลโลกได้พิจารณาคำอธิบายเป็นลายลักษณ์อักษรที่ทั้งสองฝ่ายยื่นแล้ว  มีความเป็นไปได้สูงที่ศาลโลกจะให้มีการรับฟังการให้ถ้อยคำ (Oral Hearings) ก่อนที่จะตัดสินคดี  ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดน่าจะเสร็จสิ้นในช่วงปลายปี 2555 เป็นอย่างเร็ว  คณะดำเนินคดีฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงความสำคัญของการที่ประชาชนควรจะได้รับข้อมูลมากที่สุดเพื่อให้การดำเนินการมีความโปร่งใส โดยที่ผ่านมาเอกสารที่ยื่นต่อศาลทุกฉบับและข้อมูลการรับฟังการให้ถ้อยคำมีการเผยแพร่บนเว็บไซท์ของศาลโลกมาโดยตลอด  ยกเว้นข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษรเพียงฉบับเดียว  ซึ่งศาลยังไม่อนุญาตให้เปิดเผยเพื่อศาลจะได้พิจารณาโดยปราศจากการรบกวนจากภายนอก 
                 ทั้งนี้ภายหลังการรับฟังการให้ถ้อยคำหลังการยื่นคำอธิบายเป็นลายลักษณ์อักษรของไทยแล้ว  เอกสารทั้งหมดก็จะสามารถเปิดเผยได้โดยทันทีตามข้อ 53 ของข้อบังคับของศาลโลก  นอกจากนี้ที่ประชุมเห็นชอบให้เชิญผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อเข้าร่วมประชุมตามที่เห็นสมควร  ทั้งนี้คณะดำเนินคดีฯ พยายามอย่างเต็มที่ในการรวบรวมข้อมูลและหาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อต่อสู้คดี  เนื่องจากการพิจารณาออกคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาล  แสดงให้เห็นว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังปี 2505  สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานเพิ่มเติมได้
                 วันที่ 18 ม.ค. 2555  สื่อมวลชนรายงานข่าวว่า  หลังจากทางการกัมพูชาได้ไล่ที่ชาวบ้านสวายจรุม ใน จ.พระวิหาร ซึ่งอยู่ห่างจากตัวปราสาทพระวิหารประมาณ 10 กม. เมื่อช่วงปลายปี 2554-ต้นปี 2555 เพื่อจัดทำเป็นเขตกันชน (Buffer Zone) ตามแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารที่เสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลก  พบว่าชาวบ้านสวายจรุมบางส่วนไม่ยอมย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านธรรมชาติสมเด็จเดโชที่ทางการกัมพูชาจัดให้  แต่ได้พากันขึ้นไปตั้งบ้านเรือนบริเวณรอบวัดแก้วสิขาคีรีสะวารา  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวของทหารกัมพูชาที่ประจำการอยู่ที่ปราสาทพระวิหาร
                 วันที่ 8 ก.พ. 2555  กัมพูชาได้ส่งหนังสือประท้วงต่อไทยกรณีไทยสร้างศาลาและอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนภูมะเขือซึ่งอยู่ในเขตปลอดทหารชั่วคราว  พร้อมสำเนาถึงศาลโลกร้องเรียนว่าไทยละเมิดคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก
                 วันที่ 9 ก.พ. 2555  กต. ได้แถลงเปิดตัวหนังสือ  “ข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบเกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหารและการเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา”  ซึ่งจัดพิมพ์โดย กต. จำนวนประมาณ 20,000 เล่ม  เพื่อให้ข้อมูลแก่ประชาชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสองและสาม  ทั้งนี้สามารถอ่านและดาว์นโหลดได้ที่ http://www.mfa.go.th/internet/news/42107.pdf  อีกด้วย     
        
       3.   ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ
       ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะที่สำคัญมีดังนี้
       3.1ผู้พิพากษาในศาลโลกทั้ง 5 คนที่ครบวาระในวันที่5 ก.พ. 2555 ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนเสร็จสิ้นกระบวนการพิจารณาคำร้องขอให้ตีความคำพิพากษาดังกล่าว  ทั้งนี้เป็นไปตามธรรมนูญของศาลโลก มาตรา 13 วรรค 3  ในประเด็นนี้มีหลายคนเข้าใจผิดว่าผู้พิพากษาที่ครบวาระแล้ว  หน้าที่ในการพิจารณาคำร้องดังกล่าวก็จะสิ้นสุดไปด้วย
                 3.2 ศาลโลกจะมีคำพิพากษากรณีคำร้องขอให้ตีความคำพิพากษาดังกล่าวได้ประมาณปลายปี 2555 เป็นอย่างเร็ว  เนื่องจากศาลโลกกำหนดให้ไทยส่งคำอธิบายเป็นลายลักษณ์อักษรภายในวันที่ 21 มิ.ย. 2555  และมีความเป็นไปได้สูงที่ศาลโลกจะให้มีการรับฟังการให้ถ้อยคำของทั้งสองฝ่ายก่อนที่จะมีคำพิพากษาดังที่คณะดำเนินคดีฯ ได้วิเคราะห์ไว้  ในประเด็นนี้มีหลายคนซึ่งรวมถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วย ที่คาดการณ์คลาดเคลื่อนว่าศาลโลกจะมีคำพิพากษาภายในเดือน ก.พ. 2555  โดยอ้างเหตุผลเกี่ยวกับการครบวาระในวันที่ 5 ก.พ. 2555  ของผู้พิพากษา 5 คนในศาลโลก
                 3.3 รัฐบาลต้องให้ข้อมูลการสู้คดีนี้ต่อประชาชนให้ครบถ้วน รวมทั้งมีการแปลเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้สามารถอ่านเข้าใจได้  เนื่องจากคดีนี้อาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ  ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่อประชาชนอย่างครบถ้วน  รวมทั้งให้สามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ 
                 การที่คณะดำเนินคดีฯ อ้างว่าได้ให้ข้อมูลประชาชนโดยที่ผ่านมาเอกสารที่ยื่นต่อศาลทุกฉบับและข้อมูลการรับฟังการให้ถ้อยคำมีการเผยแพร่บนเว็บไซท์ของศาลโลกมาโดยตลอดนั้น  ไม่น่าจะเป็นการดำเนินการให้ข้อมูลกับประชาชนในเรื่องนี้ที่เหมาะสมและเพียงพอ  อีกทั้งไม่มีการแปลเอกสารทั้งหมดที่เป็นภาษาต่างประเทศเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้สามารถอ่านเข้าใจได้    นอกจากนี้ยังอ้างว่าข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษรที่ได้ยื่นไปแล้วนั้น  ศาลโลกยังไม่อนุญาตให้เปิดเผย  ข้ออ้างนี้ไม่น่าจะถูกต้องเนื่องจากไม่มีข้อบังคับใดของศาลโลกที่ห้ามรัฐคู่กรณีเปิดเผยเอกสารการสู้คดีให้ประชาชนของตนเองได้รับทราบ
                 3.4 เพื่อความไม่ประมาทในการต่อสู้คดีนี้  คณะดำเนินคดีฯ ต้องถือว่าฝรั่งเศสเป็นเสมือนคู่กรณีกับไทยด้วย  เนื่องจากการสู้คดีครั้งนี้  ไทยคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึงการมีผลบังคับใช้หรือไม่ของแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ที่ฝรั่งเศสจัดทำฝ่ายเดียวในการกำหนดเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา  รวมทั้งการกระทำต่างๆ ในอดีตของฝรั่งเศสที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อไทย  ดังนั้นเมื่อถึงเวลาดังกล่าวแล้ว  ที่ปรึกษากฎหมายของไทย 1 คนและผู้พิพากษาอีก 3 คนซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสอาจไม่สามารถดำรงความเป็นกลางได้  โดยอาจเอนเอียงเพื่อรักษาเกียรติภูมิของชาติตนเอง  การต่อสู้คดีของไทยจึงต้องระมัดระวังและพิจารณาแก้ไขป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วยความไม่ประมาทไว้ด้วย    
                 3.5 รัฐบาลต้องประท้วงต่อกัมพูชากรณีที่มีการตั้งบ้านเรือนชาวกัมพูชาเพิ่มขึ้นในพื้นที่พิพาท  และร้องต่อศาลโลกว่ากัมพูชามีการดำเนินการที่ขัดต่อคำสั่งศาลในข้อที่ให้แต่ละฝ่ายต้องงดเว้นจากการกระทำใดๆ ที่อาจทำให้ข้อพิพาทนั้นเกิดมากขึ้น หรือทำให้ยากยิ่งขึ้นที่จะแก้ไข  ทั้งนี้ตามที่ปรากฏว่ามีชาวกัมพูชาไปตั้งบ้านเรือนเพิ่มบริเวณรอบวัดแก้วสิขาคีรีสะวาราเมื่อช่วงปลายปี 2554-ต้นปี 2555 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
                 3.6 กรณีการปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลก  รัฐบาล และ GBC ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง  ทั้งนี้มีรายละเอียดตามบทความพิเศษเรื่อง “การดำเนินการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของ ครม. และ GBC กรณีการปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลก” ในเนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1022 วันที่ 30 ธ.ค. 2554 หรือที่ http://www.pub-law.net/publaw/view.aspx?id=1682
        


พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1694
เวลา 20 เมษายน 2567 09:03 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)