เหตุที่ต้องยกเลิก MOU 2544 ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา

29 มกราคม 2555 20:58 น.

       1.   ความเป็นมา   
                 ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982  ไหล่ทวีปของรัฐชายฝั่งประกอบด้วย พื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินของบริเวณใต้ทะเล  ซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขตออกไปตลอดแนวทอดยาวตามธรรมชาติของดินแดนจนถึงริมนอกของขอบทวีป  หรือจนถึงระยะ 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตในกรณีที่ริมนอกของขอบทวีปขยายไปไม่ถึงระยะนั้น  รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในไหล่ทวีปของตน  และผู้ใดจะดำเนินการเหล่านี้ต้องได้รับความยินยอมจากรัฐชายฝั่งนั้นก่อน 
                 กัมพูชาและไทยได้ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของตนในอ่าวไทยเมื่อปี 2515 และ 2516  ตามลำดับ  การประกาศอ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปของทั้งสองฝ่ายทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลประมาณ 26,000 ตร.กม.  ทั้งสองฝ่ายได้มีการเจรจาเรื่องเขตแดนทางทะเลหลายครั้งเริ่มตั้งแต่ปี 2513  จนในที่สุดเมื่อวันที่  18 มิ.ย. 2544  ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร  ทั้งสองฝ่ายได้มีการลงนามรับรองบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ทวีป  ซึ่งต่อไปเรียกว่า  “MOU 2544”
                 MOU 2544  เป็นบันทึกความเข้าใจที่กำหนดกรอบและกลไกในการเจรจาเพื่อหาข้อสรุปเรื่องการปักปันเขตแดน (delimitation) ทางทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนบนที่อยู่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ  โดยมีพื้นที่ประมาณ 10,000 ตร.กม.  ซึ่งต่อไปเรียกพื้นที่ส่วนนี้ว่า  “พื้นที่ทับซ้อนส่วนบน”  และเรื่องการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียมสำหรับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนล่างที่อยู่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ  ในลักษณะพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area: JDA)  โดยมีพื้นที่ประมาณ 16,000 ตร.กม  ซึ่งต่อไปเรียกพื้นที่ส่วนนี้ว่า “พื้นที่ทับซ้อนส่วนล่าง”   โดยต้องดำเนินการทั้งสองเรื่องในลักษณะที่ไม่แบ่งแยกออกจากกัน (indivisible package)  และให้มีคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC)  ดำเนินการพิจารณาและเจรจาร่วมกันในเรื่องนี้  ทั้งนี้ได้ตกลงกันว่า MOU 2544 และการดำเนินการทั้งหมดตาม MOU 2544  จะไม่กระทบต่อการอ้างสิทธิทางทะเลของแต่ละฝ่าย                                   
                 ไทยและกัมพูชาได้มีการเจรจาและดำเนินการตาม MOU 2544  ตั้งแต่หลังการลงนามรับรองเมื่อปี 2544  แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถตกลงหาข้อสรุปใดๆ ได้  โดยเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2552   ค.ร.ม. ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544  และให้นำเรื่องเสนอต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ  โดยให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ   ซึ่งมีเหตุผลให้ยกเลิกเนื่องจากการที่รัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้งพ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร  เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ  จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจรจาภายใต้ MOU 2544   ทั้งนี้เพราะ พ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร  เกี่ยวข้องโดยตรงในการผลักดันให้จัดทำ  MOU 2544  และรับรู้ท่าทีในการเจรจาของฝ่ายไทย   รัฐบาลไทยจึงไม่อาจดำเนินการเจรจาภายใต้ MOU 2544  ได้อีก  แต่จนถึงปัจจุบัน  MOU 2544  ยังไม่ถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด 
                 ต่อมารัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  ได้เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่  9 ส.ค. 2554    และมีท่าทีชัดเจนว่าจะไม่ยกเลิก MOU 2544  ยิ่งไปกว่านั้นยังจะเร่งเจรจากับกัมพูชาเพื่อร่วมกันพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนดังกล่าว  และเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2554   ที่ประชุมกระทรวงการต่างประเทศซึ่งมีนายสุรพงษ์  โตวิจักษณ์ชัยกุล  ร.ม.ว. การต่างประเทศ เป็นประธาน  ได้มีความเห็นว่า  หลักการของ  MOU 2544  ยังมีประโยชน์อยู่  และจะเสนอเรื่องนี้ให้ ค.ร.ม. พิจารณา  ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2554 นายสุรพงษ์  โตวิจักษณ์ชัยกุล  และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ ร.ม.ว. กระทรวงพลังงาน ได้เยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ  โดยทั้งสองได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า  ฝ่ายกัมพูชาต้องการเร่งรัดการเจรจาเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลตาม MOU 2544  ให้เสร็จโดยเร็วภายในหนึ่งปีครึ่ง  โดยทั้งสองเห็นด้วยกับการเร่งรัดการเจรจาดังกล่าว  แต่ต้องรอเสนอเรื่องให้ ค.ร.ม. พิจารณาก่อน           
                 อย่างไรก็ดี  ในขณะนี้มีประชาชนไทยจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับการเจรจาตามกรอบ MOU 2544  เนื่องจากเห็นว่าไทยเสียเปรียบอย่างมาก  รวมทั้งมีข้อสงสัยและห่วงใยในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจมีของนักการเมืองทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชา  รวมทั้งของ พ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร ด้วย
            
       
       2.       เหตุผลที่ต้องยกเลิก MOU 2544
       
                 จากข้อมูล  ข้อเท็จจริง  และหลักกฎหมายระหว่างประเทศ  เห็นว่า  MOU 2544  เป็นบันทึกความเข้าใจที่ทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจากับกัมพูชาอย่างมาก  รวมทั้งอาจมีการการดำเนินการที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมืองทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาเข้ามาเกี่ยวข้อง  ซึ่งยากแก่การตรวจสอบ  จึงเห็นควรต้องยกเลิก  MOU 2544  ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้
                      2.1 เส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาอ้างสิทธิละเมิดอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ซึ่งกัมพูชาเป็นภาคีอย่างร้ายแรง  จึงควรต้องให้กัมพูชาปรับเส้นเขตไหล่ทวีปทั้งหมดของตนให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศเสียก่อน 
                     แต่  MOU 2544  กลับกำหนดกรอบให้มีการเจรจาปรับเส้นเขตไหล่ทวีปเฉพาะในส่วนพื้นที่ทับซ้อนส่วนบนเท่านั้นซึ่งมีพื้นที่เพียงประมาณ 10,000 ตร.กม.  แต่พื้นที่ทับซ้อนส่วนล่างซึ่งมีพื้นที่ถึงประมาณ 16,000 ตร.กม.  ไม่ต้องมีการเจรจาปรับเส้นเขตไหล่ทวีปแต่อย่างใดโดยให้ใช้เป็นพื้นที่พัฒนาร่วม 
                     เส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาอ้างสิทธิซึ่งเกี่ยวข้องกับไทยแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน  คือ  ส่วนที่มีฝั่งทะเลประชิดกับไทย  และส่วนที่มีฝั่งทะเลตรงข้ามกับไทย  ในการกำหนดเส้นเขตไหลทวีปนั้นต้องอิงอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ประเทศนั้นเป็นภาคี  จารีตประเพณีระหว่างประเทศ  และหลักทั่วไปของกฎหมายที่ถูกยอมรับโดยอารยประเทศ เป็นต้น 
                     กัมพูชาและไทยเป็นภาคีของอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958  เมื่อปี 2503 และ 2511  ตามลำดับ  ทั้งสองฝ่ายจึงมีข้อผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาดังกล่าวซึ่งบัญญัติว่า  หากไม่มีการตกลงกันหรือมีพฤติการณ์พิเศษ  สำหรับไหล่ทวีปของรัฐชายฝั่งที่มีฝั่งทะเลอยู่ประชิดกันให้ใช้หลักระยะห่างเท่ากัน (The principle of equidistance) จากจุดที่ใกล้ที่สุดของเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตของแต่ละรัฐ 
                     แต่กัมพูชากลับกำหนดตามใจชอบโดยลากเส้นเขตไหล่ทวีปของตนจากฝั่งที่ตำแหน่งซึ่งอ้างว่าเป็นหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาหลักสุดท้ายที่มาจดริมทะเล  ตรงออกไปยังประมาณกลางขอบนอกด้านตะวันออกของเกาะกูดซึ่งเป็นของไทย  จากนั้นจึงลากเส้นเขตไหล่ทวีปเริ่มต้นใหม่จากขอบนอกด้านตะวันตกของเกาะกูดในระดับและทิศทางเดียวกัน  ตรงออกไปทางทิศตะวันตกจนเกือบถึงกึ่งกลางอ่าวไทย  การกระทำลักษณะนี้เป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอย่างร้ายแรง  ซึ่งไม่มีอารยประเทศใดทำกัน
                     นอกจากนี้การกำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปในส่วนที่มีฝั่งทะเลตรงข้ามกับไทย    ถึงแม้กัมพูชาจะใช้เส้นมัธยะ (Median line) ตามอนุสัญญาเจนีวา  แต่เส้นฐานตรงที่ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตซึ่งใช้เป็นเส้นอ้างอิงในการกำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชานั้น  ไม่เป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวา  เนื่องจากกัมพูชาใช้หินกัสโรเวีย (Kusrovie)  และหินคอนดอร์ (Condor)  ซึ่งไม่ใช่เกาะแต่เป็นโขดหินที่โผ่พ้นน้ำเฉพาะเมื่อน้ำทะเลลดและอยู่ห่างจากฝั่งมาก  เป็นจุดฐานของเส้นฐานตรงดังกล่าว  ยิ่งไปกว่านั้นกัมพูชายังไม่พิจารณาให้ผล (effect) ต่อเกาะใดๆ ของไทย  การกระทำดังกล่าวมีผลทำให้เส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาอ้างสิทธิขยายกว้างออกไปกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก  โดยเป็นการขยายกินพื้นที่เข้ามาในฝั่งไทย   
                      2.2 กรอบในการเจรจาตาม MOU 2544  ทำให้กัมพูชาไม่ต้องปรับเส้นเขตไหล่ทวีปที่ตนอ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อนส่วนล่างให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ  อีกทั้งยังสามารถใช้การปรับเส้นเขตไหล่ทวีปที่ตนอ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อนส่วนบนซึ่งกัมพูชาแทบจะไม่ได้พื้นที่เลยในส่วนนี้มาใช้เจรจาต่อรองได้ 
                     จากรายละเอียดการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาในเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในไหล่ทวีปใน 3 ครั้งที่สำคัญ คือ เมื่อวันที่ 2-5 ธ.ค. 2513  14 มี.ค. 2535  และ 27-28  เม.ย. 2538  พอสรุปได้ว่า  กัมพูชามีท่าทีชัดเจนมาตลอดว่าต้องการให้พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในไหล่ทวีปทั้งหมดเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม  โดยให้แบ่งผลประโยชน์ฝ่ายละเท่ากัน  และไม่สนใจที่จะปรับปรุงเส้นเขตไหล่ทวีปที่ตนอ้างสิทธิให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ 
                     ส่วนไทยมีท่าทีว่าเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาอ้างสิทธิไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ  กัมพูชาต้องปรับเส้นเขตไหล่ทวีปของตนให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศจนเหลือพื้นที่ทับซ้อนที่แท้จริงที่สมเหตุผลและมีพื้นที่น้อยที่สุด แล้วจึงค่อยมาพิจารณาพื้นที่นั้นเพื่อทำเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม  ท่าทีของไทยดังกล่าวถือได้ว่าเป็นท่าทีที่ถูกต้องและเหมาะสม  รวมทั้งสอดคล้องกับท่าทีการเจรจาเขตแดนทางทะเลของไทยที่ผ่านมากับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ
                     นอกจากนี้กัมพูชามีความต้องการที่จะให้ดำเนินการตกลงทำเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมให้เร็วที่สุดเพื่อการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ดังกล่าว  อันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของตนอย่างสำคัญยิ่ง  ในขณะที่ไทยไม่มีความจำเป็นที่ต้องรีบเร่งในเรื่องดังกล่าวอย่างเช่นกัมพูชา  ความต้องการในการรีบเร่งที่แตกต่างกันนี้ทำให้ไทยอยู่ในฐานะที่เหนือกว่ากัมพูชาในการเจรจาก่อนการจัดทำ MOU 2544
                     แต่  MOU 2544 กลับกำหนดกรอบในการเจรจาที่ต่างไปจากท่าทีเดิมของไทยดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง  โดยกำหนดกรอบให้เจรจาปรับเส้นเขตไหล่ทวีปให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศเฉพาะในส่วนพื้นที่ทับซ้อนส่วนบนเท่านั้น  แต่พื้นที่ทับซ้อนส่วนล่างไม่ต้องมีการเจรจาปรับเส้นเขตไหล่ทวีปแต่อย่างใด โดยให้ใช้เป็นพื้นที่พัฒนาร่วม  นอกจากนี้ยังกำหนดให้การดำเนินการสำหรับพื้นที่ทับซ้อนทั้งสองส่วนมีลักษณะที่ไม่แบ่งแยกออกจากกัน
                     แต่ตามข้อเท็จจริงพื้นที่ทับซ้อนส่วนบนนั้น  กัมพูชากำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปตามใจชอบ  ในขณะที่ไทยมีการกำหนดที่มีความสอดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศมากกว่ากัมพูชาอย่างมีนัยสำคัญในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนทั้งส่วนบนและล่าง  ดังนั้นหากกำหนดให้ถูกตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว  กัมพูชาแทบจะไม่ได้พื้นที่อะไรเลยในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนส่วนบน  และพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนที่แท้จริงในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนส่วนล่างจะเหลือน้องลงจากเดิมอย่างมากในทางที่เป็นคุณต่อไทย 
                     ดังนั้นการผูกประเด็นเจรจาให้พื้นที่ทับซ้อนทั้งสองส่วนแยกต่างหากจากกันมิได้  มีผลที่เป็นคุณต่อกัมพูชามากกว่าไทย  โดยก่อนจัดทำ MOU 2544  กัมพูชาอยู่ในฐานะที่ไม่สามารถต่อรองอะไรได้มาก  เพราะกัมพูชากำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปของตนโดยไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศใดๆ  แต่เมื่อจัดทำ  MOU 2544  แล้ว  พื้นที่ทับซ้อนส่วนล่างไม่มีประเด็นที่จะต้องอ้างอิงหลักกฎหมายระหว่างประเทศใดอีกต่อไป  ในขณะที่พื้นที่ทับซ้อนส่วนบนเป็นส่วนที่กัมพูชาแทบจะไม่ได้พื้นที่อะไรเลยอยู่แล้วหากกำหนดตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ  แต่กัมพูชากลับสามารถใช้การเจรจาในพื้นที่ทับซ้อนส่วนบนมาเป็นประโยชน์สำหรับการเจรจาต่อรองกับไทยในพื้นที่ทับซ้อนส่วนล่างได้    
                     2.3 แหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในไหล่ทวีปไทย-กัมพูชา  มีการกระจายตัวอยู่ไม่สม่ำเสมอ  และค่อนข้างเป็นไปได้อย่างมากว่าส่วนใหญ่อยู่ที่ด้านตะวันตกของพื้นที่ดังกล่าวซึ่งอยู่ใกล้ฝั่งไทย 
                     มีการคาดการณ์ที่น่าเชื่อถือได้ในทางธรณีวิทยาว่า  แหล่งทรัพยากรทรัพยากรปิโตรเลียมที่มีศักยภาพนั้นอยู่ที่บริเวณตะวันออกของแอ่งปัตตานี (Pattani Trough)  ซึ่งต่อจากน่านน้ำไทยออกไปในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในไหล่ทวีปไทย-กัมพูชา  และค่อนข้างเป็นไปได้อย่างมากว่า  ทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนนั้น  มีการกระจายตัวอยู่ไม่สม่ำเสมอโดยส่วนใหญ่อยู่ที่ด้านตะวันตกของพื้นที่ดังกล่าวซึ่งอยู่ใกล้ฝั่งไทย 
                     จากรายงานการสำรวจด้านธรณีวิทยา (Fact Sheet 2010-3015) ของสหรัฐอเมริกา (USGS)  เมื่อเดือน มิ.ย. 2553  ซึ่งได้ให้ข้อมูลการประเมินบริเวณที่มีน้ำมันและแก๊สซึ่งยังไม่ค้นพบภายในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ได้มีการแสดงรูปตำแหน่งของแอ่ง (Basin) ที่มีการสะสมตัวของน้ำมันและแก๊สรวม 23 แห่ง  สำหรับในอ่าวไทยนั้นมีแอ่งดังกล่าวอยู่จำนวน 3 แอ่ง  คือ  แอ่งซีโนโซอิกไทย (Thai Cenozoic Basin)  อยู่ด้านเหนือของอ่าวไทย  แอ่งไทย (Thai Basin) อยู่ด้านตะวันตกของอ่าวไทยโดยมีแอ่งปัตตานีเป็นแอ่งย่อย  และแอ่งมาเลย์ (Malay Basin)  อยู่ทางด้านใต้ของอ่าวไทย  โดยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในไหล่ทวีปไทย-กัมพูชา มีแอ่งที่มีการสะสมตัวของน้ำมันและแก๊สอยู่ส่วนใหญ่ในด้านที่ใกล้ฝั่งไทย  ด้วยเหตุนี้กัมพูชาจึงต้องการตกลงให้พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนดังกล่าวทั้งหมดหรือมากที่สุดเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม  โดยไม่ต้องการแบ่งเขตทางทะเลกับไทย  MOU 2544  จึงตอบสนองความต้องการดังกล่าวของกัมพูชาได้อย่างดียิ่ง  แต่กลับทำให้ไทยต้องเสียเปรียบอย่างมากในการเจรจาต่อรอง
       2.4    ผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมืองทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาในพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยากแก่การตรวจสอบ 
                     หากพิจารณาการจัดทำ  MOU 2544  จะพบว่ามีการเร่งรีบอย่างมาก  รัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2544   ได้จัดให้มีการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการของเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของไทยและกัมพูชาที่เสียมราฐเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2544  ซึ่งสามารถกำหนดแนวทางจนนำไปสู่การจัดทำ MOU 2544 
                     ในวันที่ 4 มิ.ย. 2544   ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ร.ม.ว. การต่างประเทศของไทยในขณะนั้น  และ นายซก อัน รัฐมนตรีอาวุโส และประธานการปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา  ได้ร่วมลงนามเบื้องต้นใน MOU 2544  โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเสนอบันทึกความเข้าใจดังกล่าวให้รัฐบาลของทั้งสองฝ่ายพิจารณาให้ความเห็นชอบ  
                     ต่อมาได้มีการลงนามรับรองอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2544  ณ กรุงพนมเปญ  ในระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร  นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น  จะเห็นว่ามีการใช้เวลาเพียงแค่ประมาณ 4 เดือนในการจัดทำ  MOU 2544  อันบ่งบอกถึงความรีบเร่งในการจัดทำ  MOU 2544  ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงในการมีผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมืองทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาเข้ามาเกี่ยวข้อง
            ยิ่งไปกว่านั้นหากดูที่แผนที่แนบท้าย MOU 2544  ซึ่งแสดงถึงการแบ่งพื้นที่ทับซ้อนส่วนบนและส่วนล่าง   จะเห็นว่ามีการระบุเส้นละติจูดผิดจาก “องศาเหนือ (oN)” เป็น “องศาตะวันออก (oE)”  อันเป็นการยืนยันถึงความรีบเร่งในการจัดทำ  MOU 2544 
            นอกจากนี้เมื่อพรรคเพื่อไทยนำโดย น.ส. ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  น้องสาวของ พ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร  ชนะการเลือกตั้ง  สมเด็จฯ ฮุน  เซน  นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาซึ่งเคยแต่งตั้งพ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร  เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชาเมื่อปี 2552     ได้ออกมาแสดงความยินดีอย่างออกหน้าจนผิดสังเกต  ในขณะที่รัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  ได้มีท่าทีชัดเจนตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งว่าจะไม่ยกเลิก MOU 2544  ยิ่งไปกว่านั้นยังจะเร่งเจรจากับกัมพูชาเพื่อร่วมกันพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนดังกล่าว
            ถึงแม้ข้อตกลงสุดท้ายที่ได้จาการเจรจาของ JTC ตาม  MOU 2544  จะต้องเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190  แต่รัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  มีเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสนับสนุนอย่างน้อยถึง 300 เสียง  และมีฐานเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภาโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งอีกจำนวนหนึ่ง  จึงเป็นเรื่องไม่ยากที่จะได้เสียงเกิน 325 เสียงซึ่งเกินกึ่งหนึ่งของเสียงทั้งหมดในรัฐสภาสำหรับการให้ความเห็นชอบข้อตกลงดังกล่าว  ส่งผลให้การตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเป็นไปได้ยากยิ่ง
                      สำหรับการยกเลิก MOU 2544  นั้น  ไทยอาจดำเนินการโดยการหยุดเจรจาตาม  MOU 2544  ซึ่งก็เสมือนเป็นการยกเลิก  MOU 2544  โดยปริยาย  เนื่องจากยกเลิก  MOU 2544  อย่างเป็นทางการอาจไม่สามารถทำได้ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ  เมื่อกัมพูชาเห็นท่าทีอย่างชัดเจนว่าไทยหยุดการเจรจา  กัมพูชาก็จะเริ่มเข้ามาเจรจากับไทยใหม่เนื่องจากกัมพูชาเองมีความต้องการอย่างมากที่จะแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ดังกล่าว  เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว  ไทยควรเสนอให้มีการปักปันเขตแดนทางทะเลตลอดแนวกับกัมพูชา 
                     หากการเจรจาปักปันเขตแดนดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จภายใน 1-2 ปี  ก็ควรตกลงกับกัมพูชาให้ยื่นเรื่องให้ศาลโลก  หรือศาลกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ  เพื่อตัดสินกำหนดเส้นเขตแดนทางทะเล  ศาลอาจใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี ในการตัดสิน  รวมเวลาการเจรจาและให้ศาลตัดสินแล้วไม่น่าจะเกิน 5 ปี  ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ไม่นานนัก  ทั้งนี้คำตัดสินของศาลโลกในคดีต่างๆ เกี่ยวกับเขตแดนทางทะเลที่ผ่านมามีความยุติธรรมและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป  รวมทั้งคำวินิจฉัยจากคดีดังกล่าวยังถูกใช้เป็นบรรทัดฐานในการเจรจาแบ่งเขตทางทะเลระหว่างรัฐชายฝั่งอย่างกว้างขวางอีกด้วย
        
                  


พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1685
เวลา 21 พฤศจิกายน 2567 23:06 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)