ครั้งที่ 273

11 กันยายน 2554 21:48 น.

       สำหรับวันจันทร์ที่ 12 กันยายน ถึงวันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2554
        
       “แก้รัฐธรรมนูญอย่างไรให้ปลอดภัย”
        
                 ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้มาสัมภาษณ์ผมหลายคนเกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศว่าจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญภายในปีแรกของการทำงาน คำถามส่วนใหญ่ที่ผมถูกถามก็คือ สมควรแก้รัฐธรรมนูญในประเด็นใดบ้าง
                 ในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลปัจจุบันที่คิดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550 นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีผลใช้บังคับ ก็มีเสียงเรียกร้องจากหลายกลุ่มให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเนื่องจากมีที่มาและมีเนื้อหาบางส่วนที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ก็เป็นอย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า เมื่อ “สีหนึ่ง” คิดอยากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ “อีกสีหนึ่ง” ก็จะคัดค้าน จึงทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สามารถทำได้อย่างง่ายดายนัก  แต่ในที่สุด ก็เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเพราะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับใครทั้งนั้น
                 ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อมีข่าวการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญตามแบบของรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ขึ้นมาอีก ผู้คนส่วนหนึ่งเริ่มรู้สึกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับอาจเป็นความจริงขึ้นมาได้  ในบทบรรณาธิการนี้ ผมจึงขอเสนอแนวคิดอีกแนวคิดหนึ่งที่ไม่ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญเข้ามาเป็นผู้เริ่มต้นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นแนวคิดที่ “ตรงกันข้าม” กับสิ่งที่รัฐบาลกำลังนำเสนออยู่ในปัจจุบันครับ
                 เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า “จุดอ่อน” ของพรรคเพื่อไทยที่สำคัญที่สุดมีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร ทุกครั้งที่มีการพูดถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะจบลงตรงที่ว่า “แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อคน ๆ เดียว” และคนจำนวนหนึ่งก็จะพุ่งเป้าไปที่การ “แก้ไขมาตรา 309” ซึ่งเป็นมาตราที่ถูกออกแบบมาให้รองรับการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยมีความคิดว่าหากยกเลิกมาตรา 309 ก็จะส่งผลทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร พ้นจากบรรดาความผิดทั้งหลาย เพราะฉะนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงเป็นจุดเปราะบางของพรรคเพื่อไทยที่หากคิดจะ       “ทำเอง” แล้ว โอกาสที่จะเกิดความวุ่นวายทางการเมืองก็มีอยู่มาก และหากควบคุมความวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่ได้ก็คงเกิดปัญหาใหญ่ทางการเมืองตามมาอย่างแน่นอน ดังนั้น หากพรรคเพื่อไทยคิดจะ แก้ไขรัฐธรรมนูญ โจทย์ใหญ่ที่จะต้องคิดก่อนที่จะมีการดำเนินการ ก็คือ แก้รัฐธรรมนูญอย่างไรให้ปลอดภัย
                 ผมเคยเสนอไปแล้วหลายครั้งถึงรูปแบบของการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยนักวิชาการ ซึ่งก็ไม่เป็นที่ยอมรับและสนใจของผู้คนในสังคมมากนัก  ในวันนี้ แม้ผมจะยังยึดมั่นในข้อเสนอเดิม แต่เพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะนำเสนอก็คือการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ผมจึงขอเสนอให้มี “คณะนักวิชาการ” เข้ามามีบทบาทในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ที่ผมคิดว่า “คณะนักวิชาการ” มีความเหมาะสมกว่า “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ที่มาจาก “ตัวแทนประชาชน” ก็เพราะผมมองว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญนั้น  ผู้จัดทำควรจะต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ จะต้องทำงานบนพื้นฐานของวิชาการและสามารถทำเอกสารการศึกษาวิเคราะห์ (study report) ที่ได้มาตรฐาน การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยไม่มีการศึกษาวิเคราะห์ที่รอบคอบและได้มาตรฐานย่อมจะก่อให้เกิดปัญหาในทางบริหารตามมา และอาจเกิดปัญหาการบิดเบือนการใช้อำนาจ (abuse of power) ซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ด้วยเหตุนี้ที่ผมคิดว่าควรเป็นหน้าที่ของ“คณะนักวิชาการ” ที่จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในตอนเริ่มต้นกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยการทำ “ข้อเสนอเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ก่อนที่จะมีการตั้ง “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” เพื่อดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไปครับ
                 หน้าที่ของ “คณะนักวิชาการ” ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเริ่มต้นจากการต้องทำการศึกษารัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 และฉบับปี พ.ศ. 2550 อย่างละเอียดดูก่อนว่า รัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับมีปัญหา อุปสรรคและข้อบกพร่องอย่างไรในระหว่างที่มีผลใช้บังคับ ในการศึกษาของ “คณะนักวิชาการ” ควรแยกปัญหา อุปสรรคและข้อบกพร่องที่ตรวจสอบพบออกเป็นสองส่วน  ส่วนแรกคือปัญหา อุปสรรคและข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นจากตัวบทของรัฐธรรมนูญ กับส่วนที่สองคือ ปัญหา อุปสรรคและข้อบกพร่องที่เกิดจาก “พฤติกรรม” ของผู้ใช้รัฐธรรมนูญที่พยายามหาทางใช้รัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้องมากกว่าให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนครับ
                 เมื่อได้ทราบถึงปัญหา อุปสรรคและข้อบกพร่องทั้งสองส่วนแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ “คณะนักวิชาการ” ที่จะต้องมาวิเคราะห์ว่า จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะในส่วนของปัญหาที่เกิดจาก “ตัวบท” ของรัฐธรรมนูญนั้น เป็นสิ่งที่อย่างไรเสียก็คงต้องแก้ไข แต่ปัญหาที่เกิดจาก “พฤติกรรม” ของผู้ใช้รัฐธรรมนูญในบางครั้งอาจไม่มีความจำเป็นถึงขนาดที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ได้หากผู้ใช้รัฐธรรมนูญ “เข้าใจ” ในความเป็นรัฐธรรมนูญเพียงพอ เมื่อ “คณะนักวิชาการ” ทำการวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรคและข้อบกพร่องทั้งหมดจนได้ความกระจ่างแล้ว “คณะนักวิชาการ” ก็จะต้องทำการศึกษาต่อไปถึงทิศทางที่ประเทศไทยจะเดินต่อไปในวันข้างหน้า เช่น หากเห็นว่ารูปแบบของ “รัฐสวัสดิการ” เป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย ก็จะต้องนำเสนอเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ประกอบด้วยเหตุผลที่สนับสนุนแนวคิดของตนเองเอาไว้ด้วย  เมื่อทำทุกอย่างครบแล้ว “คณะนักวิชาการ” ก็จะต้องจัดทำ “ข้อเสนอทางวิชาการ” ซึ่งประกอบด้วยสาระสำคัญ 4 ส่วนด้วยกัน  ส่วนแรกเป็นสภาพปัญหาที่เกิดจากจากการบังคับใช้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับปี พ.ศ. 2540 และฉบับปี พ.ศ. 2550 ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชน  ส่วนที่สองเป็นสภาพปัญหาของประเทศที่กำลังเผชิญอยู่  ส่วนที่สามเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และส่วนสุดท้ายเป็นข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมคือ หากต้องแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับก็ต้องมีการนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งจะต้องประกอบด้วยคำอธิบายสาระสำคัญที่ปรากฏอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
                 “ข้อเสนอทางวิชาการ” ที่ว่านี้จะต้องมีรายละเอียดที่สมบูรณ์ ครบถ้วน มีความเป็นเหตุเป็นผล และเป็นรูปธรรม โดย “คณะนักวิชาการ” ควรที่จะต้องทำตารางเปรียบเทียบบทบัญญัติรายมาตราของรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550 กับข้อเสนอของ “คณะนักวิชาการ” ที่ควรจะต้องเป็นร่างรัฐธรรมนูญพร้อมด้วยเหตุผลที่สนับสนุนข้อเสนอของตนเองเอาไว้ให้ชัดเจนด้วย
                 “ข้อเสนอทางวิชาการ” คือ งานชิ้นเดียวของ “คณะนักวิชาการ” เมื่อส่งมอบงานให้กับ    “ผู้แต่งตั้ง” แล้ว“คณะนักวิชาการ” ก็หมดหน้าที่ลงในทันที เหตุการณ์ต่อจากนั้นก็คือ “ผู้แต่งตั้ง” จะต้องนำเอา “ข้อเสนอทางวิชาการ” ของ“คณะนักวิชาการ” เข้าสู่การวิพากษ์วิจารณ์และรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวางด้วยการเผยแพร่เอกสารดังกล่าวทุกวิถีทาง รวมทั้งจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเพื่อให้ประชาชนทั่วไป เจ้าหน้าที่ของรัฐ นักการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น และทุกภาคส่วนของสังคมให้สังคมได้เรียนรู้และรับทราบปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างชัดเจน รวมทั้งทำความเข้าใจในบรรดา “ข้อเสนอทางวิชาการ” เหล่านั้นด้วย
                 ขั้นตอนสุดท้ายคงเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ภายหลังจากรับฟังความคิดเห็น หากปรากฏว่าควรต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของ “คณะนักวิชาการ” ก็คงต้องพิจารณากันดูว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอนั้นเป็นการแก้ไขมากหรือน้อย ถ้าแก้ไขมาก ก็ควรตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาพิจารณาข้อเสนอของคณะนักวิชาการอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในขั้นตอนนี้คงใช้เวลาไม่นานนักเพราะสภาร่างรัฐธรรมนูญมี “ข้อเสนอทางวิชาการ” ของ“คณะนักวิชาการ” เป็นฐานในการทำงานอยู่แล้ว แต่ถ้าหากเป็นการแก้ไขน้อย ก็คงต้องให้เป็นหน้าที่ของรัฐสภาที่จะดำเนินการต่อไปโดยไม่จำเป็นต้องตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญให้ยุ่งยากและสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุครับ !!!
                 ด้วยวิธีการเช่นนี้ จะทำให้เราได้รัฐธรรมนูญที่ผ่านการศึกษาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ถูกต้องตามหลักวิชาการ แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่ไว้ใจ “คณะนักวิชาการ” หรือเกรงว่า“คณะนักวิชาการ” จะพลาดเพราะ “ขาดประสบการณ์” ก่อนที่จะนำ “ข้อเสนอทางวิชาการ” ออกสู่สายตาสาธารณชน ก็สามารถกำหนดให้มีขั้นตอนของการให้ความเห็นใน “ข้อเสนอทางวิชาการ” ของ“คณะนักวิชาการ” โดยสมาชิกรัฐสภาก่อนก็ได้ โดยจัดให้มีการประชุมร่วมของรัฐสภาเพื่อแสดงความคิดเห็น จากนั้น ก็นำเอาประเด็นข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะที่ได้จากรัฐสภามาเสนอไว้เป็นข้อสังเกตแนบท้าย “ข้อเสนอทางวิชาการ”
                 ถ้ารัฐบาลเห็นด้วยกับแนวทางที่ผมเสนอข้างต้น ก็มาถึงจุดสุดท้ายที่จะต้องพิจารณาคือ ใครคือ “คณะนักวิชาการ” ที่จะเข้ามาทำ “ข้อเสนอทางวิชาการ” ?
                 ในบ้านเรา มีนักวิชาการอยู่มากมายที่มีความรู้ความสามารถ ในอดีต สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ     ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เคยให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาไปทำข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 มาแล้ว แต่ตอนนั้นผมเข้าใจว่า มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ต่างคนก็ต่างทำ   เลยไม่เกิดผลในทางปฏิบัติและพอมีการรัฐประหาร ทุกอย่างก็จบสิ้นลง
                 หากจะให้ผมเสนอ ผมคิดว่าเรื่องนี้ควรทำโดยหลายสถาบันหรือหลายองค์กรทางวิชาการเพื่อนำผลที่ได้มาเปรียบเทียบกัน โดยผมเห็นว่า สภาวิจัยแห่งชาติและสถาบันพระปกเกล้า น่าจะเป็น “สถาบัน” ที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำการศึกษาเพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ แต่ถ้าจะเอาให้สุดขั้วกันไปเลย ก็อาจจะขอให้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) เป็นผู้ทำเพิ่มขึ้นอีก 1 รายก็ได้ ส่วนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยนั้น ผมคิดว่า คงยากที่จะเข้ามาร่วมในการหาทางออกให้กับประเทศด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในฐานะที่เป็นผู้มีประสบการณ์มาแล้ว เนื่องจากผมเคยเสนอขอทุนสนับสนุนการทำวิจัยเมื่อต้นปี พ.ศ. 2554 เพื่อทำการวิจัย เรื่อง รูปแบบขององค์กรในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญและร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย แต่ต่อมา ผมก็ได้รับคำตอบปฏิเสธเป็นหนังสือไม่ให้ทำงานวิจัยเรื่องดังกล่าวโดยมีเหตุผลว่า ยังไม่สามารถจัดสรรทุนวิจัยให้ได้ ดังนั้น ในเมื่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยเรื่องรัฐธรรมนูญ    ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปรบกวนใด ๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสภาวิจัยแห่งชาติ สถาบันพระปกเกล้าและสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศจะเหมาะสมกว่า นอกจากนี้ หากจะให้สถาบันหรือองค์กรมากกว่า 1 แห่งเป็นผู้ทำการศึกษาที่กล่าวแล้วข้างต้น ก็ควรให้เป็นหน้าที่ของสภาร่างรัฐธรรมนูญที่จะตั้งขึ้นมาเป็นผู้ “เลือก” ว่าจะนำเรื่องใดจาก “ข้อเสนอทางวิชาการ” ของสถาบันหรือองค์กรใดมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญครับ
                 รัฐบาลควรให้งบประมาณสนับสนุนการจัดทำข้อเสนอทางวิชาการของ “คณะนักวิชาการ” ในจำนวนที่มากพอสมควร เพื่อที่จะได้ “ระดม” ผู้เชี่ยวชาญจากทุกสาขามาร่วมกันศึกษาวิเคราะห์เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์ที่สุดให้กับประเทศไทยต่อไปครับ
                 ข้อเสนอ “ข้อเสนอทางวิชาการ” ซึ่งเป็น “ผลงานของคณะนักวิชาการ” จะเป็นสิ่งที่ทั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญและประชาชนนำไปประกอบการตัดสินใจว่า ควรจะแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ อย่างไร และโดยวิธีใด
                 รัฐบาลไม่จำเป็นต้องตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาทำเองให้เปลืองตัวเพราะไม่ว่าจะตั้งใครมาก็ไม่สามารถพ้นข้อครหาไปได้ครับ !!!
                 การแก้รัฐธรรมนูญที่ปลอดภัยที่สุดจึงน่าจะมีเพียงวิธีการเดียวเท่านั้นครับ !!!
                 วันที่ 19 กันยายน 2554 เป็นวันครบรอบ 5 ปีของการรัฐประหารครั้งล่าสุด เป็นวันที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้ทำการรัฐประหารหรือผู้ที่เข้ามามีอำนาจหลังรัฐประหารควรระลึกว่า ได้ทำอะไรกับประเทศของเราไปบ้าง  จากวันนั้นถึงวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงถอยหลังอย่างต่อเนื่องและยังมองไม่เห็นทางสว่าง มองไม่เห็นหนทางที่ประเทศไทยจะกลับมาอยู่ในสถานะเดิมที่เคยอยู่เมื่อก่อนปี พ.ศ. 2549 น่าเสียดายโอกาสดี ๆ ที่เราต้องเสียไปกับการกระทำของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีสำนึกในระบอบประชาธิปไตย !!! อย่าลืมเล่าให้ลูกหลานฟังนะครับว่า พวกคุณได้ทำอะไรกับประเทศชาติ     ไปบ้าง อย่าลืมเล่าให้ลูกหลานฟังนะครับว่า พวกคุณได้อะไรไปบ้างกับการรัฐประหารและการเข้า        มามีอำนาจหลังรัฐประหาร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกคุณต้องจดจำและสำนึกไว้ในฐานะ “ผู้ทำลายชาติ” ครับ !!!
                 สถาบันพระปกเกล้ามีหนังสือวิชาการจำนวนหนึ่งที่จะแจกให้กับผู้ใช้บริการ www.pub-law.net ครับ ใครสนใจหนังสือเล่มใด กรุณาติดต่อขอรับได้โดยตรงที่ คุณปิยะนาถ แท่งทอง หมายเลขโทรศัพท์ 02-141-9596 หรือ 086-783-2049 ครับ ต้องรีบหน่อยนะครับ เพราะหนังสือแต่ละเล่มมีจำนวนไม่มากนัก
                 ในสัปดาห์นี้ เรามีบทความมานำเสนอ 3 บทความด้วยกัน บทความแรกเป็นบทความของ คุณปฐมพงษ์ พิพัฒนธนากิจที่เขียนเรื่อง "การกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคอันนำไปสู่การยุบพรรคการเมือง" บทความที่สองคือบทความเรื่อง "การพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ " ที่เขียนโดย คุณณรงค์ฤทธิ์ เพชรฤทธิ์ บทความสุดท้าย เป็นบทความของคุณวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ ที่เขียนเรื่อง "ความลึกลับของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ผมขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกบทความด้วยครับ 
       
                 พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2554
       
                 ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์  บรมานันท์


พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1631
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 12:03 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)