|
|
การกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคอันนำไปสู่การยุบพรรคการเมือง 11 กันยายน 2554 21:40 น.
|
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ปรากฏข้อเท็จจริงตามข่าวว่า กกต. มีมติให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) สส. ท่านหนึ่งที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนี้ เป็นระยะเวลา ๕ ปี จากกรณีที่ถูกร้องว่า ในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ สส. ท่านนั้นลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมครั้งนั้นและกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๕๓ เนื่องจากนำผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปจัดเลี้ยงแจกสิ่งของที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ประกอบกับเมื่อ สส. ท่านนั้น เป็นรองหัวหน้าพรรคอยู่ด้วย จึงมีการพูดกันว่า กรณีดังกล่าวจะเป็นเหตุนำไปสู่การยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค
ในเบื้องต้นนั้น การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้พิจารณาวินิจฉัยว่ายุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนั้น เมื่อ กกต. ประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว กกต. ไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่าการกระทำของ สส. เป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งและไม่มีอำนาจเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้ แต่ กกต. ต้องส่งเรื่องไปให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๓๙ วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯ มาตรา ๑๑๑ หากศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเนื่องจากเห็นว่ากระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯ มาตรา ๕๓ และมีผลทำให้การเลือกตั้งซ่อมครั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และต่อมาเมื่อความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องแจ้งต่ออัยการสูงสุดพร้อมด้วยหลักฐานเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๕
กรณีนี้ทำนองเดียวกันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยไว้แล้วในคดียุบพรรคพลังประชาชน ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๒๐/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ สรุปได้ว่า
ประเด็นที่ ๑ ปัญหาข้อเท็จจริงว่ารองหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯ หรือไม่
เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งไว้แล้วว่า รองหัวหน้าพรรคกระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯ มาตรา ๕๓ และมีผลทำให้การเลือกตั้ง สส. ไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งประเด็นที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วนั้นเป็นประเด็นข้อเท็จจริงเดียวกันกับคดีนี้ (คดียุบพรรคพลังประชาชน-ผู้เขียน) และเป็นประเด็นที่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นการทุจริตการเลือกตั้ง สส. ไว้โดยเฉพาะ จึงต้องถือเป็นยุติตามคำสั่งของศาลฎีกาแล้ว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๓๙ ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯ มาตรา ๑๑๑ ศาลรัฐธรรมนูญย่อมไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบคำวินิจฉัยในปัญหาที่เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลฎีกาได้ และศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่ศาลที่มีอำนาจรับวินิจฉัยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกาด้วย อีกทั้ง ประเด็นต่าง ๆ ที่พรรคพลังประชาชนคัดค้านมา ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้ว จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นได้เช่นกัน เพราะไม่มีกฎหมายใดให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกาได้ ซึ่งศาลแต่ละระบบนั้นเป็นอิสระต่างหากจากกัน
ประเด็นที่ ๒ กรณีมีเหตุสมควรให้ยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่
รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๓๗ วรรคสอง เป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาดของกฎหมาย แม้พรรคการเมือง หัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรคจะไม่ได้เป็นผู้กระทำก็ตาม กฎหมายยังให้ถือว่าเป็นผู้กระทำ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ แม้ศาลรัฐธรรมนูญเองก็ไม่อาจวินิจฉัยเป็นอื่นได้ ทั้งนี้ เนื่องจากความผิดในการทุจริตซื้อสิทธิซื้อเสียงในการเลือกตั้งเป็นความผิดที่ผู้กระทำใช้วิธีการแยบยลยากที่จะจับได้ กฎหมายจึงบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของผู้บริหารพรรคต้องคัดเลือกบุคคลที่จะเข้าร่วมทำงานกับพรรค และคอยควบคุมดูแลไม่ให้คนของพรรคกระทำความผิด โดยบัญญัติให้พรรคการเมืองและผู้บริหารพรรคต้องรับผิดในการกระทำของกรรมการบริหารพรรคที่ไปกระทำผิดด้วย ในทำนองเดียวกันกับหลักความรับผิดของนิติบุคคลทั่วไปที่ว่า ถ้าผู้แทนของนิติบุคคลหรือผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคลไปกระทำการใดที่อยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลนั้นแล้วก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น นิติบุคคลจักต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของผู้แทนของนิติบุคคลหรือผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคลนั้นด้วย จะปฏิเสธความรับผิดชอบมิได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากผู้กระทำความผิดเป็นกรรมการบริหารพรรคเสียเอง ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่ในตัวแล้วว่า กรรมการบริหารพรรคคนนั้นมีทั้งเจตนาและกระทำผิดยิ่งกว่าเพียงรู้เห็นเป็นใจกับผู้อื่นเสียอีก จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้หัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคคนอื่นเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้ว มิได้ยับยั้งหรือแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมอีกต่อไป (ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายตามหลักที่ว่า ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น (fortiori)-ผู้เขียน)
การที่รองหัวหน้าพรรคซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคมีหน้าที่ต้องควบคุมดูแลให้สมาชิกพรรคที่ตนบริหารอยู่กระทำการเลือกตั้งโดยสุจริตและเที่ยงธรรม แต่กลับเป็นผู้มากระทำความผิดเสียเอง อันเป็นความผิดที่ร้ายแรงและเป็นภัยคุกคามต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของประเทศ กรณีจึงมีเหตุอันสมควรต้องยุบพรรคเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานพฤติกรรมทางการเมืองที่ดีงามและเพื่อให้เกิดผลในทางยับยั้งป้องปรามมิให้เกิดการกระทำผิดซ้ำขึ้นอีก
ประเด็นที่ ๓ หัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือไม่
รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๓๗ วรรคสอง และมาตรา ๖๘ วรรคสี่ เป็นบทบังคับตามกฎหมายว่า เมื่อศาลมีคำสั่งยุบพรรคแล้วจะต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะที่มีการกระทำความผิดเป็นเวลาห้าปี ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจใช้ดุลพินิจสั่งเป็นอื่นได้ แม้ว่าการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคจะต้องเป็นกรณีที่หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคแต่ละคนมีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา ๙๘ แต่ในคดีนี้เป็นการเพิกถอนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๓๗ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๖๘ วรรคสี่ มิใช่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ และไม่ว่ากรณีจะเป็นเช่นใดก็ตาม บทบัญญัติของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวก็ไม่อาจลบล้างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้
ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชน เนื่องจากรองหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯ ซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ ประกอบมาตรา ๒๓๗ วรรคสอง และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะที่กระทำความผิด เป็นระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๓๗ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๖๘ วรรคสี่
จากคำวินิจฉัยคดียุบพรรคพลังประชาชนจะเห็นได้ว่า กรณีที่กรรมการบริหารพรรคการเมืองใดถูกร้องว่ากระทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง หากศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำสั่งให้ยกคำร้อง เรื่องก็เป็นอันจบไป ไม่มีประเด็นอันนำไปสู่การยุบพรรค ในทางตรงกันข้าม หากศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเนื่องจากเห็นว่ากระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งและมีผลทำให้การเลือกตั้งซ่อมครั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ผลการยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งก็ย่อมเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่กล่าวมานั่นเอง
|
|
|
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1627
เวลา 25 พฤศจิกายน 2567 13:46 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|