ความเห็นแย้งต่อคำสั่งศาลโลก 18 ก.ค. 2554 และข้อเสนอแนะ

14 สิงหาคม 2554 18:20 น.

        
       1.   คำสั่งศาลโลกต่อคำร้องขอของกัมพูชาให้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว   
                 เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2554 กัมพูชาได้ยื่นขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ  ซึ่งต่อไปเรียกว่า “ศาลโลก”)  ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกได้ตัดสินเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2505  และพร้อมกันนี้กัมพูชาได้ยื่นคำร้องเร่งด่วนขอให้ศาลโลกกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว  โดยอ้างในคำร้องว่าตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย. 2554  เป็นต้นมาได้เกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงในอาณาบริเวณปราสาทพระวิหาร  รวมทั้งอาณาบริเวณอื่นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา  อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ และประชาชนต้องอพยพหนีภัย  โดยเหตุการณ์ทั้งหมดไทยเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น  ดังนั้นกัมพูชาจึงร้องขอให้ศาลโลกได้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวตามธรรมนูญของศาลโลก (Statute of ICJ) มาตรา 41 และระเบียบของศาลโลก (Rules of Court) ข้อที่ 73  ให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากส่วนของดินแดนกัมพูชาในพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารในทันทีและไม่มีเงื่อนไข  ห้ามไทยดำเนินกิจกรรมทางทหารใดๆ ในบริเวณดังกล่าว  และให้ไทยงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่อาจกระทบสิทธิของกัมพูชา  หรือเพิ่มความขัดแย้ง 
       ในวันที่ 30-31 พ.ค. 2554  ศาลโลกได้รับฟังการให้ถ้อยคำของทั้งไทยและกัมพูชากรณีคำร้องขอของกัมพูชาให้ศาลโลกกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว  โดยกัมพูชาสรุปขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวรวม 3 ข้อตามที่กล่าวมาแล้ว  ในขณะที่ไทยสรุปขอให้ศาลจำหน่ายคดีที่กัมพูชายื่นให้พิจารณาเมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2554  ออกจากสารบบความ  ต่อมาในวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมานี้ศาลโลกได้อ่านคำสั่งต่อคำร้องขอของกัมพูชาให้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวดังนี้ 
       (A) โดยเอกฉันท์  ยกคำขอของประเทศไทยที่ให้จำหน่ายคดีที่กัมพูชายื่นให้พิจารณาเมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2554  ออกจากสารบบความของศาล
       (B)  กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวดังนี้
            (1)    โดยคะแนนเสียง 11 ต่อ 5  ทั้งสองฝ่ายต้องถอนกำลังทหารซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตปลอดทหารชั่วคราว (Provisional Demilitarized Zone: PDZ) ตามที่กำหนดในย่อหน้าที่ 62 ของคำสั่งนี้ในทันที  และงดเว้นจากการวางกำลังทหารภายในเขตนั้น  และจากกิจกรรมทางอาวุธใดๆ ที่มุ่งหมายไปที่เขตนั้น
       (ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย: Owada,  Al-Khasawneh,  Xue, Donoghue, Cot)
                     (2)    โดยคะแนนเสียง 15 ต่อ 1  ประเทศไทยจะต้องไม่ขัดขวางการเข้าถึงอย่างอิสระ (free access) ของกัมพูชาไปยังปราสาทพระวิหาร  หรือการจัดส่งเสบียงของกัมพูชาให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ทหารของตนในปราสาทพระวิหาร   (ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย: Donoghue)
                     (3)    โดยคะแนนเสียง 15 ต่อ 1  ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินความร่วมมือกันต่อไปตามที่ทั้งสองฝ่ายได้เข้าร่วมในกรอบอาเซียน  และโดยเฉพาะต้องอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์ที่แต่งตั้งโดยอาเซียนเข้าไปยังเขตปลอดทหารชั่วคราวดังกล่าวได้   (ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย: Donoghue) 
                     (4)    โดยคะแนนเสียง 15 ต่อ 1  ทั้งสองฝ่ายต้องงดเว้นจากการกระทำใดๆ ที่อาจทำให้ข้อพิพาทที่ปรากฏต่อศาลเลวร้ายลงหรือเกิดมากขึ้น  หรือทำให้มันยากยิ่งขึ้นที่จะแก้ไข   (ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย: Donoghue) 
                 (C) โดยคะแนนเสียง 15 ต่อ 1  ตัดสินว่าแต่ละฝ่ายต้องแจ้งต่อศาลถึงการปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวข้างต้น   (ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย: Donoghue)
                 (D) โดยคะแนนเสียง 15 ต่อ 1  ตัดสินว่าจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาต่อคำร้องขอสำหรับการตีความ  ศาลยังคงอำนาจต่อไปในการพิจารณาเรื่องราวสาระที่ก่อให้เกิดคำสั่งครั้งนี้   (ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย: Donoghue)
                 2.   ความเห็นแย้ง ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะ   
                 องค์คณะผู้พิพากษาในครั้งนี้มีผู้พิพากษาทั้งหมด 16 คน  โดยมี Mr. Hisashi Owada เป็นประธาน และมีผู้พิพากษาเฉพาะกิจ (Judge ad hoc)  จำนวน 2 คน  ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาได้ใช้สิทธิที่ให้ไว้ในธรรมนูญของศาลโลก มาตรา 31   ในการเลือกผู้พิพากษาเฉพาะกิจฝ่ายละหนึ่งคน  โดยไทยได้เลือก Mr. Jean-Pierre Cot  ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส และเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณที่ University Paris-I  โดยเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสหกรณ์และการพัฒนาของฝรั่งเศส  และเคยได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหารของ UNESO   ส่วนกัมพูชาได้เลือก Mr. Gilbert Guillaume  ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสเช่นกัน และเคยเป็นประธานศาลโลก (ช่วง ค.ศ. 2000-2003)  รวมทั้งผู้อำนวยการนิติการที่กระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส  อันทำให้องค์คณะผู้พิพากษาในคดีนี้ประกอบด้วยผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสถึง 3 คน  โดยผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสอีกหนึ่งคนคือ Mr. Ronny Abraham ซึ่งเคยเป็นผู้อำนวยการนิติการที่กระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส
                 คำสั่งศาลดังกล่าวทั้งหมดมี 4 ข้อใหญ่  โดยข้อ (B) เป็นคำสั่งเฉพาะที่เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวซึ่งแบ่งเป็น 4 ข้อย่อยคือ ข้อ (1)-(4)     
                 2.1 คำสั่งศาลข้อ (A):  สำหรับคำสั่งศาลในข้อนี้  ผู้พิพากษาทั้งหมดเห็นว่าไม่ควรจำหน่ายคดีที่กัมพูชายื่นออกจากสารบบความตามที่ไทยขอ  ซึ่งในประเด็นนี้แสดงให้เห็นว่าผู้พิพากษาเฉพาะกิจชาวฝรั่งเศสที่ไทยเลือกได้มีเห็นไปในทางไม่เป็นคุณต่อไทยด้วย  เมื่อศาลมีคำสั่งไม่จำหน่ายคดี  ศาลจึงต้องพิจารณาคำขอของกัมพูชาที่ยื่นให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505  ต่อไป  ซึ่งอาจใช้เวลาพิจารณานานเป็นปีก็ได้  อย่างไรก็ตามศาลได้เน้นย้ำในย่อหน้าที่ 41 ของคำสั่งว่า “ข้อสรุปนี้ไม่ไปตัดสินล่วงหน้าผลลัพธ์ของกระบวนการพิจารณาคดีหลัก”  และย่อหน้าที่ 68 ของคำสั่งว่า  “คำตัดสินที่มีในกระบวนการพิจารณาคดีขณะนี้ต่อคำร้องขอสำหรับการกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวนั้น  ไม่ได้เป็นการตัดสินล่วงหน้าประเด็นใดๆ ที่ศาลอาจต้องดำเนินการเกี่ยวกับคำขอสำหรับการตีความดังกล่าว”  นั้นก็หมายความว่าถึงแม้ศาลจะได้มีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว  ก็ไม่ได้หมายความว่าศาลจะต้องรับคำขอของกัมพูชาให้มีการตีความดังกล่าว  ในส่วนนี้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังนี้
                     2.1.1  เนื่องจากมีผู้พิพากษาศาลโลกจำนวน 5 คนซึ่งมีประธานและรองประธานศาลโลกรวมอยู่ด้วยจะครบวาระการดำรงในวันที่ 5 ก.พ. 2555  จึงต้องมีการจัดการเลือกตั้งผู้พิพากษาใหม่จำนวน 5 คน  ทำให้องค์คณะผู้พิพากษาปัจจุบันอาจเร่งการพิจารณาคดีให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 5 ก.พ. 2555   หรืออาจชะลอการพิจารณาคดีไปหลังวันที่ 5 ก.พ. 2555  อย่างไรก็ดีศาลโลกได้กำหนดให้ไทยต้องส่งข้อสังเกตที่เป็นลายลักษณ์อักษร (Written Observation) ให้ศาลภายในวันที่  21 พ.ย. 2554   นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศได้ออกมาให้ข่าวว่า น่าจะส่งข้อสังเกตดังกล่าวให้ศาลโลกได้ประมาณกลางเดือน พ.ย. นี้  จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ศาลโลกจะไปเริ่มพิจารณาคดีหลังวันที่ 5 ก.พ. 2555
                     2.1.2  หากวิเคราะห์จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาแล้ว  การที่กัมพูชายื่นขอให้ศาลโลกตีความและกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวน่าจะเกิดจากปัญหาการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา  ซึ่งขณะนี้กัมพูชาต้องการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารสำหรับเป็นพื้นที่เขตกันชนเพื่อให้เกิดความครบถ้วนสมบูรณ์ของแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารรวมทั้งแผนที่ฉบับสุดท้ายที่กัมพูชาต้องเสนอให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาตามมติที่ 32 COM 8B.102  อีกทั้งเพื่อระงับการดำเนินการใดๆ ของไทยที่จะขัดขวางหรือทำให้กระทบต่อการดำเนินการของกัมพูชาตามมติต่างๆ ของคณะกรรมการมรดกโลก  ซึ่งจะเห็นได้จากคำร้องขอให้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของกัมพูชาที่ระบุให้ไทยงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่อาจกระทบสิทธิของกัมพูชา 
                      2.1.3  ในคำร้องขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารนั้น  นายฮอร์ นำฮง ในฐานะผู้แทนกัมพูชาได้ลงนามในคำร้องขอดังกล่าวโดยลงวันที่ 20 เม.ย. 2554  แต่ปรากฏในข้อที่ 34 ของคำร้องขอดังกล่าวได้มีข้อความกล่าวถึงเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในวันที่ 22 และ 26 เม.ย. 2554  อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดหลังจากวันลงนามในคำร้องขอดังกล่าว  จึงเชื่อได้ว่ากัมพูชามีการเตรียมสร้างสถานการณ์การสู้รบไว้ล่วงหน้าเพื่อให้คำร้องขอของตนมีน้ำหนักและรับฟังได้มากยิ่งขึ้น  หากจะโต้แย้งว่า นายฮอร์ นำฮง อาจลงวันที่ผิดพลาดไป  ก็ไม่น่าเป็นไปได้  เพราะคำร้องที่ขอให้ศาลโลกกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวที่ยื่นต่อศาลโลกในวันเดียวกัน  นายฮอร์ นำฮง กลับลงวันที่ 28 เม.ย. 2554  ได้ถูกต้อง หากมีการยกประเด็นนี้ขึ้นมาให้ศาลเห็น จะทำให้ความน่าเชื่อถือของฝ่ายกัมพูชาลดลงได้ไม่มากก็น้อย  แต่เป็นที่น่าสังเกตเป็นอย่างยิ่งว่าสำเนาคำร้องขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาที่กัมพูชาได้ยื่นซึ่งเผยแพร่ทาง Website ของศาลโลก ณ ปัจจุบันนั้น  ในหน้าสุดท้ายได้มีการแก้ไขเปลี่ยนลายมือชื่อของนายฮอร์ นำฮง พร้อมวันที่ที่เขียนด้วยลายมือ  ไปเป็นอักษรพิมพ์แล้วโดยที่ได้มีการพิมพ์เปลี่ยนวันที่เป็น 28 เม.ย. 2554
                      2.1.4  ในการสู้คดีนี้  ไทยได้มีการตั้งคณะดำเนินคดีปราสาทพระวิหารที่มีองค์ประกอบ 15 คน นำโดยนายวีรชัย  พลาศรัย  ซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ทำหน้าที่เป็นผู้แทน (Agent) ฝ่ายไทย และมีที่ปรึกษากฎหมาย (Counsel) ชาวต่างชาติ 3 คน โดยมีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส คือ  Mr. Alain Pellet   ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ที่ University Paris Ouest และเคยเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลฝรั่งเศสด้านกฎหมายระหว่างประเทศ  ยิ่งไปกว่านั้นไทยยังได้เลือกผู้พิพากษาเฉพาะกิจซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส  โดยกัมพูชาก็เลือกผู้พิพากษาเฉพาะกิจเป็นชาวฝรั่งเศสเช่นกัน  อันทำให้องค์คณะผู้พิพากษาในคดีนี้ที่มีจำนวน 16 คนประกอบด้วยผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสถึง 3 คน 
                      กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ให้เหตุผลที่เลือกที่ปรึกษากฎหมายและผู้พิพากษาเฉพาะกิจเป็นชาวฝรั่งเศสว่า  ทั้งสองท่านมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เป็นที่ยอมรับนับถือ  รวมทั้งมีความจำเป็นเนื่องจากเอกสารทางกฎหมายในเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชาส่วนใหญ่เป็นภาษาฝรั่งเศส  และในการดำเนินการจำเป็นต้องมีความเข้าใจแนวคิดทางกฎหมายฝรั่งเศสเป็นอย่างดี  นอกจากนี้ผู้พิพากษาเฉพาะกิจดังกล่าวยังมีแนวความคิดที่สอดคล้องกับแนวคิดของคณะที่ปรึกษากฎหมายของฝ่ายไทย  แต่หากวิเคราะห์ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้ว  ก็จะพบว่ามีสาเหตุสืบเนื่องมาจากการที่ประเทศฝรั่งเศสเข้ามาล่าอาณานิคมในพื้นที่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอดีต  โดยได้กดดันและข่มเหงไทยเพื่อเอาดินแดนมาเป็นของตน  อีกทั้งยังเป็นผู้จัดทำแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000  แต่ฝ่ายเดียว  ซึ่งกัมพูชาในฐานะรัฐผู้สืบสิทธิจากฝรั่งเศสได้ใช้แผนที่ดังกล่าวในระวางดงรักเป็นแผนที่ภาคผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องต่อศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหารและชนะคดีมาแล้วในอดีต  ดังนั้นจึงควรต้องถือว่าฝรั่งเศสเป็นเสมือนคู่กรณีกับไทยในคดีนี้ด้วย 
                      ในที่สุดแล้ว  การสู้คดีครั้งนี้ของฝ่ายไทยคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึงการมีผลบังคับใช้หรือไม่ของแผนที่ดังกล่าวในการกำหนดเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา  รวมทั้งการกระทำต่างๆ ในอดีตของฝรั่งเศสที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อไทย  ดังนั้นเมื่อถึงเวลาดังกล่าวแล้ว  ทั้งที่ปรึกษากฎหมายและผู้พิพากษาเฉพาะกิจชาวฝรั่งเศสที่ไทยเลือกอาจไม่สามารถดำรงความเป็นกลาง  และอาจเอนเอียงเพื่อรักษาเกียรติภูมิของชาติตนเองก็เป็นไปได้  เหตุผลที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยให้ดังกล่าวข้างต้นจึงไม่น่าจะเพียงพอและรับฟังได้  เนื่องจากยังมีบุคคลสัญชาติอื่นๆ ซึ่งไทยสามารถเลือกได้อีกมากที่คุณสมบัติไม่ด้อยกว่าชาวฝรั่งเศสทั้งสองคนดังกล่าว  ด้วยองค์คณะผู้พิพากษาในคดีนี้มีผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสถึง 3 คน  การต่อสู้คดีของไทยจึงต้องระมัดระวังและพิจารณาแก้ไขป้องกันปัญหาดังกล่าวไว้ด้วย     
                 2.2 คำสั่งศาลข้อ (B)-(D):  สำหรับคำสั่งศาลส่วนที่เหลือ  มีผู้พิพากษาหนึ่งคนซึ่งเป็นชาวอเมริกัน Ms. Joan E. Donoghue  ที่ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลส่วนที่เหลือทั้งหมดทุกข้อ  ผู้พิพากษาท่านนี้ได้ให้ความเห็นแย้งไว้อย่างน่าสนใจ  ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ว่า  จากการที่ประเทศไทยได้ปล่อยให้คำประกาศ (declaration) ปี 2493 ที่ได้จัดทำเพื่อรับอำนาจศาลตามมาตรา 36 วรรคสองของธรรมนูญของศาลโลก  สิ้นสุดลงโดยไม่ต่อใหม่  ทำให้ศาลไม่มีเขตอำนาจที่จะทำการตัดสินใดใหม่ตามกฎหมายระหว่างประเทศ  หรือจัดการหาข้อยุติเรื่องเขตแดน  หรือตัดสินปัญหาอำนาจอธิปไตย  หรือชี้ขาดความรับผิดชอบของรัฐ  หรือสั่งให้ฝ่ายต่างๆ ปฏิบัติในแนวทางที่กำหนด  กระบวนการพิจารณาคดีที่ถูกต้องในกรณีการตีความคำพิพากษาตามธรรมนูญของศาลโลก  มาตรา 60 นั้น  ศาลจะมีขอบเขตแค่เพียงบอกฝ่ายไทยและกัมพูชาว่าอะไรที่คำพิพากษาเมื่อปี 2505 หมายถึง  แต่ศาลกลับนำมาตรา 41 ซึ่งเกี่ยวกับอำนาจศาลในการกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวมาทาบบนมาตรา 60 แล้วกำหนดมาตรการที่ไม่ได้ผูกพันโดยคำพิพากษาเมื่อปี 2505   หรือเชื่อมโยงกับกระบวนการตีความตามมาตรา 60  ศาลได้ออกคำสั่งที่ผูกพันซึ่งกำหนดขอบเขตการเคลื่อนย้ายกำลังติดอาวุธของทั้งสองฝ่ายโดยรวมถึงพื้นที่ที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องอำนาจอธิปไตยสำหรับทั้งสองฝ่ายเลย  ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้สมมุติฐานว่ามาตรการชั่วคราวเป็นส่วนหนึ่งในคดีการตีความ  ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่ามาตรชั่วคราวการดังกล่าวนั้นเกินกว่าเขตอำนาจศาล  เนื่องจากผู้พิพากษาท่านนี้เห็นว่าในคดีนี้ศาลไม่มีอำนาจกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวใดๆ  จึงไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลข้อ (B)-(D)  ทั้งหมด  ในส่วนนี้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังนี้   
                 ฝ่ายไทยควรใช้ประโยชน์จากความเห็นแย้งดังกล่าว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประเด็นคำประกาศปี 2493 ของประเทศไทยที่ได้สิ้นสุดการบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่ปี 2503 เป็นเหตุผลสำคัญในการไม่รับอำนาจศาลในเรื่องที่เห็นว่าอยู่นอกขอบเขตของการตีความที่ถูกต้อง  นั่นคือ  หากศาลรับคำขอให้ตีความของกัมพูชา  ศาลจะมีขอบเขตอำนาจแค่เพียงบอกฝ่ายไทยและกัมพูชาว่าคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ที่ทั้งสองฝ่ายมีข้อพิพาทกัน  หมายถึงอะไรเท่านั้น  โดยไม่มีเขตอำนาจที่จะทำการตัดสินสิ่งใดใหม่ได้          
                 2.3 คำสั่งศาลข้อ (1):  สำหรับคำสั่งศาลในข้อนี้  ศาลได้กำหนดเขตปลอดทหารชั่วคราว  มีผู้พิพากษาถึง 5 คนซึ่งมีประธานศาลโลกและผู้พิพากษาเฉพาะกิจชาวฝรั่งเศสที่ไทยเลือกรวมอยู่ด้วยที่ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลในข้อนี้  เหตุผลหลักที่ผู้พิพากษาทั้งห้าคนไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลในข้อนี้พอสรุปได้ดังนี้  ประการที่หนึ่ง  ศาลไม่มีอำนาจไปกำหนดเขตปลอดทหารดังกล่าวให้ล้ำเข้าไปในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของแต่ละรัฐซึ่งไม่ได้เป็นพื้นที่พิพาทแต่อย่างใด  อันเป็นการล่วงล้ำอำนาจอธิปไตยของรัฐนั้นๆ โดยปราศจากความยินยอมของรัฐดังกล่าว  หากจะมีการกำหนดเขตปลอดทหารก็ควรจำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ที่มีข้อพิพาทกันเท่านั้น  ประการที่สอง  ศาลกำหนดเขตปลอดทหารดังกล่าวเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่ตำแหน่งของมุมทั้งสี่มีการกำหนดพิกัดที่แน่นอน  โดยปราศจากการอธิบายให้เหตุผลว่าทำไมจึงต้องเป็นพิกัดดังกล่าว  อีกทั้งยังเป็นการกำหนดในลักษณะที่ไม่เป็นจริง (artificial manner)  โดยไม่ได้คำนึงถึงภูมิประเทศจริง รวมถึงความเป็นไปได้และความยากลำบากในการดำเนินการหรือการบังคับให้เป็นไปตามมาตรการดังกล่าวของแต่ละฝ่าย 
                 ประธานศาลโลกได้ให้ความเห็นแย้งเฉพาะตนบางส่วนพอสรุปได้ว่า  คำสั่งกำหนดเขตปลอดทหารของศาลโลกในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดเขตล้ำเข้าไปในดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐโดยที่ดินแดนนั้นไม่ได้เป็นพื้นที่ที่มีปัญหาข้อพิพาทแต่อย่างใด  จากทั้งหมดประมาณ 40 คำสั่งของศาลโลกในการกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว  มีเพียง 3 คดีเท่านั้นที่มีประเด็นของการถอนกำลังของฝ่ายคู่กรณีเกิดขึ้นและที่ศาลโลกได้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวสั่งให้ฝ่ายที่มีข้อพิพาทกันหยุดกองกำลังติดอาวุธของตนจากการต่อสู้ที่ได้เกิดขึ้นจริงหรืออาจเกิดขึ้นได้  และให้กองกำลังของแต่ละฝ่ายออกจากเขตที่กำหนดตามคำสั่งศาล  แต่ศาลโลกไม่เคยสั่งไปไกลถึงกับให้ฝ่ายต่างๆ ถอนจากเขตปลอดทหารชั่วคราวซึ่งถูกคิดขึ้นมาอย่างไม่เป็นจริงโดยศาล  และที่ประกอบด้วยส่วนของดินแดนที่อยู่ภายใต้อธิปไตยอย่างไม่มีข้อโต้แย้งของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  อย่างที่ปรากฏในคำสั่งครั้งนี้
                 ส่วนผู้พิพากษาเฉพาะกิจชาวฝรั่งเศสที่ไทยเลือกได้ให้ความเห็นแย้งเฉพาะตนบางส่วนพอสรุปได้ว่า  ศาลโลกได้รับคำร้องขอให้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างการยื่นคำร้องขอให้ตีความคำพิพากษาตามธรรมนูญของศาลโลก  มาตรา 60 และได้เคยใช้อำนาจนี้มาก่อนเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในคดีอาวีนา (Avena) ซึ่งเป็นคดีระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกา  ซึ่งสถานการณ์ในครั้งนั้นแตกต่างจากในครั้งนี้อย่างสิ้นเชิง  โดยในครั้งนั้นเป็นเรื่องของคนที่กำลังจะถูกประหารชีวิต  หากศาลไม่มีคำสั่งให้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว  ก็อาจทำให้คำพิพากษาสำหรับคำร้องขอให้ตีความที่จะมีขึ้นภายหลังกลายเป็นเรื่องไม่มีผลบังคับใช้เนื่องคนผู้นั้นได้ถูกประหารชีวิตไปแล้ว  แต่ในครั้งนี้เป็นเรื่องของการร้องขอให้ตีความคำพิพากษาเดิมที่ได้มีมาเกือบครึ่งศตวรรษมาแล้ว  โดยที่การปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าวมิได้เคยเป็นปัญหาแต่อย่างใดตลอดช่วง 40 กว่าปีที่ผ่านมา  พื้นฐานของเขตอำนาจดั้งเดิมของศาลในเรื่องนี้ได้หมดสิ้นไปนานแล้ว  ดังนั้นการพิจารณาในการจำกัดสิทธิในอธิปไตยเหนือดินแดนโดยการกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว  จึงไม่สมควรควรกำหนดในกรณีที่ยังไม่ได้มีการตรวจสอบอำนาจศาลอย่างจริงจังเสียก่อน  นอกจากนี้การที่กัมพูชาร้องขอให้ศาลย้อนกลับไปพิจารณาเพื่อพิพากษาว่าเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาในบริเวณใกล้เคียงกับปราสาทพระวิหารเป็นไปตามเส้นเขตแดนที่ปรากฏในแผนที่ภาคผนวก 1 นั้น  ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการตีความคำพิพากษา  แต่เป็นลักษณะของการทบทวนคำพิพากษาดังกล่าวตามธรรมนูญของศาลโลก  มาตรา 61 
                 ผู้พิพากษาเฉพาะกิจคนดังกล่าวยังให้ความเห็นด้วยว่า  จากข้อพิจารณาเกี่ยวกับคำร้องขอของกัมพูชานั้น  ทำให้เกิดคำถามว่าได้มีการอาศัยกระบวนการพิจารณาของศาลโดยอ้อมค้อมเพื่อให้เป็นประโยชน์  และเป็นไปได้หรือไม่ว่า  ศาลกำลังเผชิญกับความพยายามในการนำคำร้องขอที่มีลักษณะเป็นเรื่องใหม่เข้าสู่การพิจารณาของศาล  โดยนำประเด็นดังกล่าวไปพ่วงติดกับความขัดแย้งในเรื่องเกี่ยวกับการตีความคำพิพากษา  ทั้งนี้เพื่อที่จะได้มีฐานรองรับเกี่ยวกับเขตอำนาจศาล  ศาลจึงควรต้องพิจารณาประเด็นดังกล่าวในการพิจารณาคดีหลักเพื่อที่จะไม่ได้เป็นการสนับสนุนการกระทำในลักษณะนี้  อันเป็นการขัดต่อหลักการที่สำคัญอย่างมากที่ว่าด้วยการยินยอมของทั้งสองฝ่ายในการรับเขตอำนาจศาล  นอกจากนี้ศาลได้ปฏิเสธคำร้องขอให้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของกัมพูชา  โดยพิจารณาว่ามีลักษณะเพื่อผลประโยชน์ฝ่ายเดียวมากเกินไป  ศาลจึงได้กำหนดเขตปลอดทหารชั่วคราว  แต่การกำหนดเขตดังกล่าวขาดความเหมาะสม  ซึ่งหากทั้งสองฝ่ายเห็นว่ามาตรการดังกล่าวไม่สามารถปฏิบัติได้ในพื้นที่จริง  สถานการณ์ก็จะเลวร้ายลงไปอีกแทนที่จะดีขึ้น  และจะส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการที่ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับในคำพิพากษาของศาลในคดีหลักอันเกี่ยวข้องกับการกำหนดบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหารที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา   ในส่วนนี้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังนี้
                      2.3.1  การที่ผู้นำระดับสูงฝ่ายไทยหลายคนออกมาแสดงความพอใจต่อคำสั่งศาลดังกล่าวจึงไม่เป็นการสมควร  ที่ถูกแล้วถึงแม้ฝ่ายไทยได้แสดงเจตนาว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งของศาลในฐานะที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติก็ตาม  แต่ควรที่จะต้องแสดงความไม่เห็นด้วยและท้วงติงในการที่ศาลได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตอำนาจศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนโดยไปกำหนดเขตปลอดทหารรุกล้ำเข้ามาในดินแดนอันอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทยอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีข้อโต้แย้ง  ทั้งนี้เพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของฝ่ายไทยซึ่งตั้งอยู่บนความถูกต้อง  ความยุติธรรม  และความชอบธรรมในการปกป้องรักษาอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนไทย    
                      2.3.2  สำหรับเขตปลอดทหารชั่วคราวที่ศาลกำหนดนั้น  ศาลระบุอย่างชัดเจนในย่อหน้าที่ 61 ของคำสั่งศาลว่า ย่อมไม่กระทบต่อการดำเนินการทางปกครองตามปกติ  ซึ่งรวมถึงการให้เจ้าหน้าที่ที่มิใช่ทหารเข้าไปประจำการในส่วนที่จำเป็นต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนและทรัพย์สิน  ดังนั้นฝ่ายไทยควรต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่เข้าไปประจำการในเขตดังกล่าวเพื่อดำเนินการต่างๆ ทางปกครอง  และคอยสอดส่องดูความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชาด้วย  ทั้งนี้ควรต้องมีการตกลงหาข้อสรุปอย่างชัดเจนกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อป้องกันปัญหาขัดแย้งที่อาจเกิดในประเด็นนี้ด้วยว่า  เจ้าหน้าที่ที่มิใช่ทหารนั้นหมายรวมถึงเจ้าหน้าที่ในลักษณะใดบ้าง  มีพื้นที่ประจำการที่ใดได้  และอนุญาตให้มีอาวุธแบบใดได้บ้างในการใช้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในเขตดังกล่าว  นอกจากนี้คำสั่งศาลไม่ได้ให้ชุมชนที่อาศัยอยู่ในเขตดังกล่าวต้องออกไปด้วย  ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญเนื่องจากมี ตลาด วัด และชุมชนกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวที่อยู่ในพื้นที่พิพาทบนเขาพระวิหาร  อีกทั้งชุมชนดังกล่าวเกือบทั้งหมดเป็นครอบครัวของทหารกัมพูชา  รวมทั้งเป็นการยากที่จะแยกแยะว่าบุคคลใดเป็นทหารหรือไม่หากอยู่ในชุดพลเรือน  และจะมีหลักประกันอย่างไรที่จะป้องกันไม่ให้มีชาวกัมพูชาเข้ามาอาศัยเพิ่มขึ้นอีก  หรือมีการก่อสร้างอะไรเพิ่มเติม  ดังนั้นจึงต้องมีการตกลงหาข้อสรุปอย่างชัดเจนกับฝ่ายกัมพูชาในประเด็นนี้ด้วย 
                      เขตปลอดทหารชั่วคราวที่ศาลกำหนดมีแนวเขตตามเส้นสีแดงของรูปที่ 1 ซึ่งแสดงบนแผนที่ มาตราส่วน 1: 50,000  ลำดับชุด L 7017 ระวาง 5937 IV บ้านภูมิซรอล  เขตดังกล่าวมีพื้นที่ประมาณ 17 ตารางกิโลเมตรกว่า  หากพิจารณาภูมิประเทศตามลำดับความสูง (เส้นสีส้ม) และใช้เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา (เส้นปะสีส้ม) ตามที่แสดงในแผนที่ดังกล่าว  จะเห็นว่าพื้นที่ที่ฝ่ายไทยต้องถอนกำลังทหารส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สูงซึ่งมีชัยภูมิการรบที่ดี  ส่วนพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาต้องถอนกำลังทหารนั้น  ยกเว้นบริเวณบนเขาพระวิหารที่ปัจจุบันมีกำลังทหารกัมพูชาประจำการอยู่แล้ว  พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ลาดลงของเชิงเขาซึ่งมีชัยภูมิรบที่ไม่ดีเลย  ถึงแม้ฝ่ายกัมพูชาจะต้องถอนกำลังทหารประมาณ 4,000 คน  ในขณะที่ฝ่ายไทยต้องถอนกำลังทหารประมาณ 1,000 คน  แต่ก็ไม่ได้แสดงว่าฝ่ายไทยได้เปรียบตามที่หลายฝ่ายกล่าวอ้างแต่อย่างใด  เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต้องถอนอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดออกจากบริเวณที่ตั้งปัจจุบันด้วย  ซึ่งฝ่ายไทยถึงแม้นจะได้วางกำลังทหารจำนวนน้อยกว่าฝ่ายกัมพูชามาก  แต่ฝ่ายไทยอาศัยอาวุธยุทโธปกรณ์และชัยภูมิที่เหนือกว่าในการต่อสู้
                 2.4 คำสั่งศาลข้อ (2):  สำหรับคำสั่งศาลในข้อนี้  ศาลได้กำหนดให้ฝ่ายไทยจะต้องไม่ขัดขวางการเข้าถึงอย่างอิสระของกัมพูชาไปยังปราสาทพระวิหาร  หรือการจัดส่งเสบียงของกัมพูชาให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ทหารของตนในปราสาทพระวิหาร  โดยความมุ่งหมายของคำสั่งศาลในข้อนี้แล้ว  มิได้หมายความว่ากัมพูชาจะสามารถรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยเพื่อผ่านไปยังปราสาทพระวิหารได้อย่างอิสระและไม่มีเงื่อนไขใดๆ   แต่หมายความว่าหากกัมพูชามีเหตุผลอันจำเป็นที่จะต้องเข้ามาในดินแดนไทยเพื่อผ่านไปยังปราสาทพระวิหาร  ไทยต้องยอมให้ผ่านจะไปขัดขวางไม่ได้  ทั้งนี้ไทยย่อมมีสิทธิในการที่จะสอบถามเหตุผลและตรวจสอบตามความเหมาะสมก่อนเพื่อพิจารณาให้ผ่านไปได้   แต่ไทยไม่สามารถตั้งเงื่อนไขในการให้ผ่านใดๆ ที่ไม่สมเหตุผลหรือไม่เหมาะสมได้  ในส่วนนี้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังนี้
                 เนื่องจากปัจจุบันมีทางเข้าถึงปราสาทพระวิหารได้ถึง 3 ทาง คือ ทางบันไดทางขึ้นใหญ่ทางทิศเหนือ  ทางบันไดทางขึ้นทางทิศตะวันออกตรงช่องบันไดหัก  และทางถนนทางทิศตะวันตกจากบ้านโกมุยในฝั่งกัมพูชาที่กัมพูชาได้สร้างรุกล้ำผ่านพื้นที่ 4.6 ก.ม. ขึ้นไปยังปราสาทพระวิหาร  สำหรับบันไดทางขึ้นทางทิศตะวันออกซึ่งมีความสูงชันมากนั้น  เดิมเป็นบันไดหินขนาดเล็กและมีหลายส่วนที่ชำรุดเสียหาย  แต่ปัจจุบันกัมพูชาได้สร้างบันไดไม้คร่อมบนบันไดหินดังกล่าวตามรูปที่ 2  เพื่อให้นักท่องเที่ยวใช้เป็นเส้นทางเดินขึ้นไปเยี่ยมชมปราสาทพระวิหารตามแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาได้ส่งให้ศูนย์มรดกโลก เนื่องจากบันไดทางขึ้นใหญ่ทางทิศเหนือและถนนทางทิศตะวันตกจากบ้านโกมุย  หากกัมพูชาจะใช้ผ่านขึ้นไปยังปราสาทพระวิหารจะต้องผ่านพื้นที่ 4.6 ก.ม. ที่เป็นข้อพิพาท  ดังนั้นไทยจึงไม่ควรให้กัมพูชาผ่านไปยังปราสาทพระวิหารโดยใช้สองเส้นทางนี้  ไทยควรต้องเจรจาตกลงกับกัมพูชาให้กัมพูชาใช้เฉพาะบันไดทางขึ้นทางทิศตะวันออกดังกล่าวเพื่อขึ้นไปถึงยังปราสาทพระวิหารเท่านั้น  ส่วนทางขึ้นอื่นควรใช้ได้เฉพาะเมื่อมีเหตุผลจำเป็นอันไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทั้งนี้ตามเงื่อนไขที่ทั้งไทยและกัมพูชาจะได้ตกลงกัน  แต่ทางที่ดีที่สุดควรให้กัมพูชาใช้ทางขึ้นเฉพาะทางบันไดทางทิศตะวันออกดังกล่าวเท่านั้น              
                 2.5 คำสั่งศาลข้อ (3):  สำหรับคำสั่งศาลในข้อนี้  ศาลให้ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินความร่วมมือกันต่อไปตามที่ทั้งสองฝ่ายได้เข้าร่วมในกรอบอาเซียน  และโดยเฉพาะต้องอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์ที่แต่งตั้งโดยอาเซียนเข้าไปยังเขตปลอดทหารชั่วคราวดังกล่าวได้   ในส่วนนี้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังนี้
                 คำสั่งนี้ศาลโลกไม่ได้กำหนดว่า  คณะผู้สังเกตการณ์จะต้องเข้าไปในเขตปลอดทหารชั่วคราวในทันทีหรือก่อนที่จะมีการถอนกำลังทหารออกจากเขตดังกล่าว  แต่ปรากฏว่า นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กลับออกมาแถลงยืนยันว่า ทหารกัมพูชาจะถอนออกจากเขตดังกล่าวก็ต่อเมื่อคณะผู้สังเกตการณ์ได้เข้าไปในเขตดังกล่าวก่อน  การกระทำดังกล่าวของนายฮุน เซน จึงเป็นการไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับคำสั่งศาล  เพราะศาลสั่งตามข้อ (1) ให้ถอนกำลังทหารทั้งสองฝ่ายออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราวในทันที  แต่ไม่ได้สั่งตามข้อ (3) ว่าคณะผู้สังเกตการณ์ต้องเข้าไปยังเขตดังกล่าวในทันทีหรือก่อนที่จะมีการถอนกำลังทหารของทั้งสองฝ่าย
                 ก่อนหน้านี้ในการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2554  ไทยและกัมพูชาได้ให้คำมั่นต่อกันและต่ออาเซียนที่จะไม่ให้เกิดการปะทะกันอีก  และเพื่อให้ความมั่นใจต่อกัน ต่ออาเซียน และต่อประชาคมโลก  ทั้งสองประเทศได้เชิญรัฐบาลอินโดนีเซียให้ส่งคณะผู้สังเกตการณ์ไปในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา  ฝั่งละ 15 คน  โดยอินโดนีเซียจะได้มีหนังสือถึงไทยและกัมพูชาเกี่ยวกับขอบเขตอำนาจหน้าที่ของคณะผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย (Terms of Reference on the Deployment of the Indonesian Observers Team in the Affected Areas of the Cambodia-Thailand Border: TOR)  แต่หลังจากนั้นไทยและกัมพูชาก็ยังไม่สามารถตกลงเงื่อนไขการส่งคณะผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียไปในพื้นที่ดังกล่าวได้  เนื่องจากไทยยืนยันว่าคณะผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียจะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้ก็ต่อเมื่อกองกำลังกัมพูชาต้องถอนออกจากปราสาทพระวิหาร วัดแก้วสิกขาคีรีสะวารา  ชุมชน และตลาดก่อน  ทั้งนี้หากคณะผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้าไปโดยที่ยังมีกองกำลังกัมพูชาอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเท่ากับเป็นการยอมรับการกระทำดังกล่าวของกัมพูชา  อีกทั้งยังเป็นการยอมรับการสูญเสียอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนไทย  แต่กัมพูชาปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามที่ไทยยืนยัน  ดังนั้นคณะผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียจึงยังไม่สามารถเขาปฏิบัติหน้าที่ได้  แต่เมื่อศาลโลกมีคำสั่งตามข้อ (1) ให้ทั้งสองฝ่ายถอนฝ่ายถอนกำลังทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว  การส่งคณะผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้าไปปฏิบัติหน้าที่จึงไม่น่าจะมีปัญหาอีกต่อไป    
                 2.6 คำสั่งศาลข้อ (4):  สำหรับคำสั่งศาลในข้อนี้  ศาลให้ทั้งสองฝ่ายต้องงดเว้นจากการกระทำใดๆ ที่อาจทำให้ข้อพิพาทที่ปรากฏต่อศาลเลวร้ายลงหรือเกิดมากขึ้น  หรือทำให้มันยากยิ่งขึ้นที่จะแก้ไข  ในส่วนนี้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังนี้
                 สำหรับคำสั่งศาลในข้อนี้  ศาลได้กำหนดเป็นหลักการอย่างกว้างๆ  ไม่ได้ระบุเป็นการเฉพาะเจาะจงอย่างชัดเจนว่าการกระทำใดที่ทั้งสองฝ่ายต้องดเว้น  ดังนั้นไทยควรต้องเจรจาหารือกับกัมพูชาเพื่อให้มีการกำหนดอย่างชัดเจนในประเด็นนี้อันจะเป็นการป้องกันปัญหาความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้  ตัวอย่างของการกระทำที่กัมพูชาอาจทำ เช่น  การส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวกัมพูชาขึ้นไปอยู่อาศัยในชุมชนบนเขาพระวิหารมากขึ้น   และการสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่ที่วัดแก้วสิกขาคีรีสะวารา  ชุมชน หรือตลาด  เป็นต้น  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่กัมพูชาควรงดเว้นเพราะจะทำให้มีข้อพิพาทเกิดมากขึ้น
                 2.7 คำสั่งศาลข้อ (C)-(D):  สำหรับคำสั่งศาลในข้อ (C)  ศาลสั่งให้แต่ละฝ่ายต้องแจ้งต่อศาลถึงการปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวข้างต้น  ในส่วนนี้คงไม่มีประเด็นปัญหา   แต่สำหรับคำสั่งศาลในข้อ (D)  ที่ศาลสั่งว่าจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาต่อคำร้องขอสำหรับการตีความ  ศาลยังคงอำนาจต่อไปในการพิจารณาเรื่องราวสาระที่ก่อให้เกิดคำสั่งครั้งนี้นั้น  มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังนี้  
                 หลังจากที่ศาลมีคำสั่งแล้ว  หากสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องมีการเปลี่ยนแปลง  หรือมีการกระทำของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดขัดต่อคำสั่งศาลในข้อหนึ่งข้อใดและทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้  ฝ่ายที่ได้รับผลกระทบย่อมสามารถที่จะนำประเด็นดังกล่าวให้ศาลพิจารณาเพื่อเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ทั้งนี้ตามระเบียบของศาลโลก  ข้อ 76  ตัวอย่างเช่น  หากมีการขยายชุมชนกัมพูชาบนเขาพระวิหาร  หรือกัมพูชามีการสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่บนเขาพระวิหาร  โดยกัมพูชาปฏิเสธที่จะระงับการกระทำดังกล่าวตามที่ไทยเรียกร้อง  ไทยย่อมสามารถนำประเด็นดังกล่าวไปขอให้ศาลพิจารณาเปลี่ยนแปลงคำสั่งเกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองชั่วคราวได้
                 สุดท้ายนี้ในการสู้คดีที่กัมพูชาร้องขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารนั้น  รัฐบาลไทยไม่ควรปล่อยให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบต่อสู้คดีนี้แต่เพียงฝ่ายเดียว  ควรให้ผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจากภาคส่วนต่างๆ  ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยดำเนินการต่อสู้คดีด้วย  โดยอาจตั้งเป็นรูปของคณะกรรมการกลาง  นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศควรแปลเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวกับคำสั่งศาลโลกเมื่อวันที่ 18 ก.ค. นี้  เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบข้อมูลด้วย


พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1619
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 19:43 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)