|
|
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดสมาชิกภาพตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ. 2550 19 มิถุนายน 2554 20:38 น.
|
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554[1] เป็นการแสดงออกซึ่งเจตจำนงทางการเมืองของประชาชนในการเลือกบุคคลเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยเข้าไปในสภาผู้แทนราษฎรตามกระบวนทางกฎหมายที่กำหนดไว้ แม้ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและเข้าดำรงตำแหน่งแล้วก็ตาม แต่ก็มีเหตุที่ทำให้สมาชิกภาพของความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงได้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2550 (ฉบับปัจจุบัน) กำหนดเหตุที่ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงไว้ตามมาตรา 106 (1) ถึง (11) การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งมาต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพลงก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะครบวาระตามกำหนดหรือก่อนยุบสภา ย่อมทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นต้องเสียโอกาสอันดีที่จะได้ทำหน้าที่ตามที่ตนเองคาดหวังไว้ และที่สำคัญทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างลงซึ่งต้องใช้เงินงบประมาณของประเทศไปจัดเลือกตั้งอีกครั้ง
กรณีการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น หากมีปัญหาว่าสมาชิกสภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนใดคนหนึ่งสิ้นสุดลงตามมาตรา 106 (3) (4) (5) (6) (7) (8) (10) หรือ (11) หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหานี้ได้ ตามคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งไปตามที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ร้องขอ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสิ้นสุดลงไว้หลายคดีและทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพไปแล้วหลายคน
อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญยังมีคำวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลงด้วยเหตุที่มีลักษณะต้องห้ามซึ่งเป็นเหตุเดียวกับที่ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพ เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2550 มาตรา 182 บัญญัติให้ความเป็นรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลงเมื่อขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 174 ซึ่งในอนุมาตรา 4 ของมาตรา 174 บัญญัติให้ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 102 (1) (2) (3) (4) (6) (7) (8) (9) (11) (12) (13) หรือ (14) ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและเป็นเหตุให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพลงด้วย คำวินิจฉัยกรณีของรัฐมนตรีนั้นย่อมสามารถนำมาเทียบเคียงกับการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เช่นเดียวกัน
ศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2550 มีคำวินิจฉัยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งในกรณีดังต่อไปนี้
กรณีเป็นลูกจ้างของบุคคลใด ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 12-13/2551 ลงวันที่ 9 กันยายน 2551 ไว้ว่า พยานหลักฐานทั้งหมดรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องทำหน้าพิธีกรในรายการโทรทัศน์หลังจากเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยผู้ถูกร้องยังคงได้รับค่าตอบแทนเป็นทรัพย์สินจากบริษัท จึงเป็นการรับจ้างทำการงานตามความหมายของคำว่าลูกจ้างตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ถือได้ว่าผู้ถูกร้องเป็นลูกจ้างของบริษัทเป็นการกระทำอันต้องห้ามตามมาตรา 267 มีผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) และเมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา 182 จึงเป็นเหตุให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 180 วรรคหนึ่ง (1) แต่ด้วยความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ทำให้รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีที่เหลืออยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามมาตรา 181
กรณีการถือหุ้นของรัฐมนตรี ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 9/2551 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2551 ไว้ว่า ผู้ถูกร้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองและคู่สมรสต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่ไม่ปรากฏว่าได้แจ้งให้ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ทราบว่าประสงค์จะได้รับประโยชน์จากการที่คู่สมรสของผู้ถูกร้องถือหุ้นในบริษัทเกินกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ในบริษัท ภายใน 30 นับแต่วันที่ผู้ถูกร้องได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) ประกอบมาตรา 269 ตั้งแต่วันที่พ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี
กรณีลาออก ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 19/2552 ลงวันที่ 2 ธันวาคม 2552 ไว้ว่า รัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ. 2550 มาตรา 106 (3) ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการลาออกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่าจะต้องกระทำในลักษณะอย่างไร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมายหรือความครอบงำใด ๆ ตามมาตรา 122 ดังนั้น การลาออกจึงอาจแสดงเจตนาลาออกได้ทั้งเป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจา โดยผู้รับการแสดงเจตนาอาจเป็นสภาผู้แทนราษฎรหรือสาธารณชนก็ได้ เมื่อผู้ถูกร้องแถลงข่าวลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2552 มีผลทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 106 (3) ตั้งแต่วันที่แสดงเจตนา
กรณีถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานจากหน่วยงานของรัฐหรือบริษัทประกอบกิจการโทรคมนาคมศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 12-14/2553 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2553 ไว้ในประเด็นว่าถือหุ้นมาก่อนได้รับเลือกตั้งเป็นการต้องห้ามหรือไม่ วินิจฉัยว่า การกระทำอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 265 วรรคหนึ่ง (2) (4) และวรรคสาม ประกอบมาตรา 48 ไม่รวมถึงการถือหุ้นที่มีมาก่อนวันเลือกตั้ง เมื่อการถือหุ้นของผู้ถูกร้องทั้งหกหรือคู่สมรสเป็นการถือหุ้นภายหลังจากที่ผู้ถูกร้องทั้งหกได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วจึงเป็นอันต้องห้าม ส่วนผู้ถูกร้องหรือคู่สมรสรายอื่นถือหุ้นมาก่อนได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่เป็นอันต้องห้าม
ประเด็นว่าบริษัทที่ผู้ถูกร้องหรือคู่สมรสถือหุ้นเป็นบริษัทต้องห้ามหรือไม่ วินิจฉัยว่า บริษัท ก. ประกอบกิจการค้าขายเชื้อเพลิง ซึ่งแม้จะมิใช่บริษัทที่ได้รับสัมปทานหรือเป็นคู่สัญญากับรัฐที่มีลักษณะผูกขาดตัดตอนก็ตาม แต่บริษัท ก. เป็นบริษัทผู้ลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) เช่น ถือหุ้นในบริษัท ข. หรือบริษัท ค. ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากหน่วยงานของรัฐ จึงเป็นบริษัทอันมีลักษะต้องห้ามตามมาตรา 265 วรรคหนึ่ง (2) การถือหุ้นในบริษัท ก. จึงเป็นการถือหุ้นในบริษัทอันมีลักษณะต้องห้ามโดยทางอ้อม ส่วนบริษัท ข. และบริษัท ค. เป็นบริษัทอันมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 265 วรรคหนึ่ง (2) และบริษัท ท. ประกอบกิจการโทรศัพท์ได้รับสัมปทานจากหน่วยงานของรัฐ และยังเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการโทรคมนาคม จึงเป็นบริษัทอันมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 265 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 48
ประเด็นเรื่องจำนวนหุ้นที่รัฐธรรมนูญห้ามการเข้าถือหุ้นในบริษัทที่ต้องห้าม วินิจฉัยว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุว่า จะต้องถือหุ้นจำนวนเท่าใดและไม่ได้ระบุว่า จะต้องมีอำนาจบริหารงานหรือครอบงำกิจการหรือไม่ ฉะนั้น การถือหุ้นเพียงหุ้นเดียว ก็ย่อมเป็นการถือหุ้นตามความหมายในรัฐธรรมนูญแล้ว แม้ผู้ถือหุ้นจะไม่มีอำนาจบริหารหรือครอบงำกิจการก็ตาม การที่รัฐธรรมนูญบัญญัติห้ามการถือหุ้นไว้ชัดเจน ก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา มีช่องทางที่จะใช้หรือถูกใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบในทางใดทางหนึ่ง ดังนั้น แม้การซื้อหุ้นของผู้ถูกร้องทั้งหกหรือคู่สมรสจะซื้อในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นการลงทุนระยะสั้นหรือเพื่อเก็งกำไร ก็เป็นอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 265 วรรคหนึ่ง (2) (4) และวรรคสาม ประกอบมาตรา 48 เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 106 (6) นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
กรณีพรรคการเมืองที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นสมาชิกมีมติให้พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 25/2554 และคำวินิจฉัยที่ 26/2554 ลงวันที่ 27 เมษายน 2554 ไว้ว่า การที่พรรคการเมืองมีมติให้ผู้ร้องซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ผู้ร้องได้อุทธรณ์มติของพรรคการเมืองดังกล่าวว่าขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่เหตุที่พรรคการเมืองมีมติดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับความประพฤติของผู้ร้องเองที่เป็นเรื่องส่วนตัว โดยการแสดงตัวเสมือนเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่น กรณีมิได้เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มติดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องที่มีลักษณะขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแต่อย่างใด ให้ถือว่าสมาชิกภาพความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ร้องสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2550 ประเทศไทยได้กำหนดให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญหรือศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2492 ฉบับปี พ.ศ. 2511 ฉบับปี พ.ศ. 2517 ฉบับปี พ.ศ. 2521 ฉบับปี พ.ศ. 2534 และฉบับปี พ.ศ. 2540 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญและศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงแล้วหลายกรณี แต่ศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2550 ไม่มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยในบางกรณีแล้ว ดังเช่นในช่วงที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2540 ยังคงใช้บังคับอยู่ ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยกรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้ง[2] แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2550 ไม่ได้บัญญัติให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัยกรณีดังกล่าวแล้ว[3] ผู้เขียนจึงไม่ขอกล่าวถึงกรณีดังกล่าว ณ ที่นี้ ส่วนกรณีที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2550 ยังคงบัญญัติให้เป็นเหตุแห่งการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดังเช่นคำวินิจฉัยในกรณีดังต่อไปนี้
กรณีเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเป็นเวลาติดต่อกันน้อยกว่าเก้าสิบวัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2550 บัญญัติให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียวเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง ย่อมขาดคุณสมบัติเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 101 (3) เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นสิ้นสุดลงตามมาตรา 106 (4) กรณีนี้เทียบเคียงได้กับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2540 คือ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 2/2549 ลงวันที่ 26 มกราคม 2549 ผู้ถูกร้องเป็นสมาชิกพรรคชาติไทยซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ผู้ถูกร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อเพียงวันเดียว ผู้ถูกร้องจึงขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2540 มาตรา 107 (4) ที่บัญญัติให้ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียวนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน อันเป็นเหตุให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคชาติไทยจึงสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 118 วรรคหนึ่ง (4) นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
กรณีเป็นบุคคลที่อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งโดยคำพิพากษา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2550 มาตรา 100 (2) บัญญัติให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดอยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งโดยคำพิพากษาย่อมเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง และเป็นเหตุให้ผู้นั้นมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 102 (3) ซึ่งเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสิ้นสุดตามมาตรา 106 (5)
คณะตุลาการรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2521 เคยมีคำวินิจฉัยคำวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่ 1/2529 ลงวันที่ 10 ตุลาคม 2529[4] ไว้ว่า ศาลแขวงมีคำพิพากษาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้ถูกร้องเป็นเวลา 5 ปี และได้อ่านคำพิพากษาโดยเปิดเผยเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2528 จึงมีผลในวันนั้น ไม่ใช่วันที่ 23 กรกฎาคม 2522 อันเป็นวันที่กระทำความผิด และแม้ผู้ถูกร้องได้ยื่นฎีกาคำพิพากษานั้นอยู่ แต่เหตุเป็นบุคคลที่อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งโดยคำพิพากษานั้น เป็นคำพิพากษาของศาลใดก็ได้ เมื่อผู้ถูกร้องสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 9 มิถุนายน 2529 และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ถูกร้องจึงเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2521 มาตรา 96 (3) ประกอบมาตรา 93 (5) เพราะอยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งโดยคำพิพากษา เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 103 (5)
คำวินิจฉัยเหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างที่สำคัญทั้งต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ที่อยู่ภายใต้เหตุแห่งการสิ้นสุดสมาชิกภาพดังกล่าว รวมทั้งประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องคำนึงถึงคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามบางประการที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในการเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อไป.
[1]พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2554 ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 128 ตอนที่ 33 ก วันที่ 10 พฤษภาคม 2554 หน้า 19-20.
[2]รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2540 มาตรา 295.
[3]รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2550 มาตรา 263 บัญญัติให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นผู้วินิจฉัย.
[4]ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่ม 103 ตอนที่ 177 วันที่ 13 ตุลาคม 2529 หน้า 11-25.
|
|
|
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1601
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 19:32 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|