|
|
กรณีศึกษา - case study คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๑๕/๒๕๕๓ (กรณียุบพรรคประชาธิปัตย์) ตอนที่ 3 (หน้าที่ 2) 27 มีนาคม 2554 21:46 น.
|
◊◊ ข้อเท็จจริง ตามที่ปรากฎในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ) มีความถูกต้อง เพียงใด
ประเด็นว่า ข้อเท็จจริง(ที่เขียนอยู่ในคำพิพากษาของศาล) มีความถูกต้อง ครบถ้วนเพียงใด เป็นประเด็นสำคัญอันดับแรก ที่ผู้ที่ทำการวิเคราะห์คำพิพากษาจะต้องตรวจดู เพราะ ความไม่ถูกต้องและความไม่สมบูรณ์ ของข้อเท็จจริง เป็นสิ่งแรก - sign ที่จะบอกให้ผุ้วิเคราะห์สามารถทราบล่วงหน้าได้ว่า คำพิพากษาฉบับใดจะเป็นคำพิพากษาที่ ผิดปกติ หรือไม่ ; เนื่องจากในทางสังคมวิทยา(พฤติกรรม) ตุลาการที่เขียนคำวินิจฉัย ย่อมมีความโน้มเอียงตามธรรมชาติ ที่จะเขียนจำกัด(หรือไม่เขียน) ข้อเท็จจริง ที่มีความขัดแย้ง กับ ข้อยุติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของตน
ในระบบ กระบวนการพิจารณา ที่แยกการสอบสวนออกจากการชึ้ขาด (ที่เรียกกันทั่วไปว่า ระบบกล่าวหา เช่น ในการพิจารณาคดีอาญาทั่ว ๆ ไป) หน้าที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริงให้ถูกต้องครบถ้วน ก็จะเป็นความรับผิดชอบของ พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ ในการที่จะต้องพิสูจน์ให้ศาล (ผู้พิพากษา) เห็นว่า จำเลยได้กระทำความผิด(จริง); แต่ในกระบวนการพิจารณาในกฎหมายมหาชน (ที่เรียกกันทั่วไปว่า ระบบไต่สอน หรือ ระบบแสวงหาความจริง เช่น ในกระบวนการพิจารณาในคดีปกครองของศาลปกครองหรือในคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ) ความรับผิดชอบขั้นสุดท้าย ในการดูแลความสมบูรณ์และความถูกต้องของข้อเท็จจริงในคดี จะตกเป็นภาระหน้าที่ของตุลาการที่พิจารณาคดี
เราลองมาดูว่า ข้อเท็จจริง ที่ปรากฎอยู่ในคำวินิจฉัยที่ ๑๕ / ๒๕๕๓ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ จะมีความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ เพียงใด
ข้อเท็จจริงในคดี ตามที่ปรากฎในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๑๕ / ๒๕๕๓ นี้ แยกได้เป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนแรก คือ ส่วนที่เป็น ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับ ประเด็น ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำขอของนายทะเบียนพรรคการเมือง กับส่วนที่สอง จะเป็นส่วนที่เป็น ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับ ประเด็น ว่า พรรคประชาธิปัตย์กระทำผิดจริงหรือไม่
ในตอนนี้ (ข้อที่สอง) ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงเฉพาะ ข้อเท็จจริงในส่วนแรก (ประเด็นที่ศาลยกคำขอของนายทะเบียนพรรคการเมือง) เท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงในส่วนที่สอง((ประเด็นว่า พรรคประชาธิปัตย์กระทำความผิดจริงหรือไม่) ผู้เขียนจะได้ไปกล่าวใน ข้อที่สี่ (ว่าด้วยการวิเคราะห์ คำวินิจฉัย - ส่วนตน ของตุลาการ)
ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า ผู้เขียน (และบุคคลภายนอก) คงไม่อยู่ในฐานะที่จะทราบได้ ว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคำวินิจฉัยของศาล (ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลใด ๆ) มีความถูกต้องและครบถ้วนเพียงใด ได้มากนัก เพราะผู้เขียนไม่มีอำนาจหรือมีสิทธิที่จะเข้าถึง เอกสารในสำนวนคดีของศาล"ได้ ; ดังนั้น จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า ในการเขียนบทความนี้ ผู้เขียนคงจะกล่าวถึง ความถูกต้องและความครบถ้วน ของ ข้อเท็จจริงในคำวินิจฉัยฯ เฉพาะเท่าที่ตรวจสอบได้ จากข้อความใน คำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญ และจาก คำวินิจฉัย - ส่วนตน ของตุลาการ ที่ได้เปิดเผยและพิมพ์เผยแพร่ อยู่ในราชกิจจานุเบกษา เท่านั้น
อันที่จริง ข้อเท็จจริงในส่วนแรก (ประเด็น ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำขอของนายทะเบียนพรรคการเมือง) นี้เกือบทั้งหมด จะเป็นข้อเท็จจริงที่แน่นอนและมีหลักฐานชัดเจน เพราะเป็น ข้อเท็จจริงของทางราชการ ที่เกี่ยวกับการดำเนินการของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง และ นายทะเบียนพรรคการเมือง ที่มีเอกสารและบันทึกรายงานการประชุมยืนยัน ; และถ้าหากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะมีข้อเท็จจริงที่ตกหล่นไปได้ ก็น่าจะมีเฉพาะ ข้อความ ที่มีอ้างอิงสาระสำคัญ ของเอกสารเท่านั้น (ซึ่งเราซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่มีโอกาสทราบได้ เพราะไม่มีสิทธิเข้าถึงเอกสารต้นฉบับ) ; ทั้งนี้ โดยจะยังไม่พูดถึง ปัญหา ที่ผู้เชียนพบในขณะที่ผู้เขียนย่อสาระของคำวินิจฉัยในส่วนที่สอง)คือ คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มักจะไม่ระบุ หมายเลขของเอกสาร กำกับไว้กับข้อความ(สำคัญ)ที่ศาลอ้างอิง ดังนั้น แม้จะมีโอกาสย้อนกลับไปอ่านตรวจสอบกับเอกสารต้นฉบับได้ ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่า ข้อความที่ศาลรัฐธรรมนูญอ้างอิงนั้นมาจากเอกสารต้นฉบับฉบับใด
● อย่างไรก็ตาม ขอให้ท่านผู้อ่านโปรดอ่าน ข้อความ ๒ ข้อความ ดังต่อไปนี้ และลองเทียบเคียงกันดูว่า มีความแตกต่างกันหรือเหมือนกัน หรือไม่
ข้อความแรก เป็น ข้อความที่ปรากฎอยู่ในคำวินิจฉัย ที่ ๑๕ / ๒๕๕๓ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ (หน้า ๓๓) มี ดังนี้
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ประชุมพิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน แล้วลงมติด้วยเสียงข้างมาก ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการตามมาตรา ๙๕ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ ทั้งสองกรณี
ในการลงมติดังกล่าว นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นกรรมการเสียงข้างน้อย มีความเห็นและลงมติ ทั้ง ๒ กรณีว่า
(๑)ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) บริจาคเงินให้ผู้ถูกร้อง และ
(๒)กรณีการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง ไม่เป็นไปตามกฎหมายและรายงานการใช้เงินไม่ตรงความเป็นจริง ซึ่งเป็นกรณีตามคำร้องในคดีนี้ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ มีความเห็นว่า จากการตรวจสอบรายงานเอกสารการใช้จ่ายเงินของพรรคประชาธิปัตย์ ตามข้อมูลที่ผู้ตรวจสอบบัญชี บริษัทสำนักสอบบัญชีทรัพย์อนันต์ จำกัด แล้ว ไม่พบความผิดในระบบเอกสารแต่อย่างใด จึงเชื่อตามเอกสารที่ผ่านการตรวจสอบตามระบบแล้วว่า พรรคประชาธิป้ตย์ได้ใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุน เป็นไปตามวัตถุประสงค์จริง ประกอบกับจากพยานหลักฐานการสอบสวน ........
[ หมายเหตุ โปรดสังเกตว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ระบุ หมายเลขเอกสาร ที่เป็นรายงานการประชุม ที่ นายอภิชาตฯ ลงมติ ที่ศาลอ้างอิงข้อความ ]
ข้อความที่สอง เป็น ข้อความที่ปรากฎอยูใน คำวินิจฉัย -ส่วนตน ของ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ (หน้า ๗) มึดังนี้
ข้อเท็จจริง ได้ความตามคำร้องของนายทะเบียนพรรคการเมืองผู้ร้อง ประกอบกับเอกสารที่รับเกี่ยงข้อง รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ มีการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ ๑๔๔ / ๒๕๕๒ โดยนายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการเลือกตั้ง ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการเลือกตั้ง เพราะนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ซึงเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง โดยตำแหน่ง ไม่เข้าประชุม แต่มีเอกสารซึ่งได้มีการนำเสนอต่อที่ประชุม โดยเอกสารดังกล่าว มีข้อความที่ทำเครื่องหมายถูกไว้ มีข้อความว่า ข้าพเจ้าเห็นว่า จากการตรวจสอบรายงานเอกสารการใช้จ่ายเงินของพรรคประชาธิปัตย์ ตามข้อมูลที่ผู้ตรวจสอบบัญชี บริษัทสำนักสอบบัญชีทรัพย์อนันต์ จำกัดแล้ว ไม่พบความผิดปกติในระบบเอกสารแต่อย่างใด จึงเชื่อตามเอกสารที่ผ่านการตรวจสอบตามระบบแล้วว่า พรรคประชาธิป้ตย์ได้ใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุน เป็นไปตามวัตถุประสงค์จริง ประกอบกับจากพยานหลักฐานการสอบสวน นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร คำให้การของนายปกครอง สุนทรสุทธิ์ ที่ให้การแทนพลตำรวจเอก วาสนา เพิ่มลาภ อดิตประธานกรรมการเลือกตั้ง ประกอบกับพยานหลักฐานรับฟังได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเงินสนับสนุนพรรคการเมืองจำนวนดังกล่าว ใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยมีการขอปรับโครงการและใด้รับอนุมัติแล้ว จึงเป็นการเข้าในที่คลาดเคลื่อนของผู้กล่าวหา จึงให้ยกคำร้องคัดค้านตามความเห็นของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน และลงชื่อนายอภิชาต สุขัคคานนท์ .............
ผู้เขียนคงไม่ต้องบอกกับท่านผู้อ่านว่า ข้อความใน คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๑๕ / ๒๕๕๓ กับ ข้อความใน คำวินิจฉัย -ส่วนตนของ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ มีความเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร เพราะท่านผู้อ่าน อ่านได้เอง และ ผู้เขียนคงไม่ต้องบอกว่า ข้อความฉบับใดน่าจะเป็น ข้อเท็จจริง ที่อยู่ในรายงานการประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่เป็น เอกสารในสำนวนคดี
การที่ผู้เขียนนำ ข้อความ ๒ ข้อความ มาเทียบเคียงให้ท่านผู้อ่านดู ก็เพื่อให้เป็นเพียง ตัวอย่าง ให้นักวิชาการและคนทั่วไป ได้พึงสังวรณ์ ไว้ว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฎใน คำพิพากษาของศาล (ไม่ว่าศาลใด ๆ) ที่ผู้พิพากษา ได้เขียนขึ้นนั้น อาจแตกต่างหรือคลาดเคลื่อนไปจาก ข้อเท็จจริงที่อยู่ในสำนวนคดี ได้มากน้อยเพียงใด โดยที่เราซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ไม่มีโอกาสที่จะรู้ได้ว่า ความจริงในสำนวนคดีเป็นอย่างไร
ในคดีนี้ ผู้เขียนไม่อาจทราบได้ว่า เพราะเหตุใด คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๑๕ / ๒๕๕๓ จึงได้ระบุว่านายอภิชาต( ประธานกรรมการการเลือกตั้ง) ลงมติในการประชุม ทั้ง ๆ ที่นายอภิชาต ไม่ได้เข้าประชุม (?) ; ผู้เขียนไม่อาจทราบได้ว่า ทำไม คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงอ้างข้อความ ในเอกสารดังกล่าว ว่า เป็น มติ ของนายอภิชาติ (ในการประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง) ในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่ ข้อความในเอกสารดังกล่าว อาจเป็นความเห็นของนายอภิชาต ฯ ในฐานะ ในฐานะที่เป็นนายทะเบียนพรรคการเมืองก็ได้ หรือในฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งก็ได้ / หรือในทั้งสองฐานะก็ได้
นอกจากนั้น แม้ในข้อความที่สอง ผู้เขียนก็ไม่อาจทราบได้ว่า ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ผู้ใด เป็นผู้ที่นำเอกสาร (ซึ่งได้มีการทำเครื่องหมายถูกไว้ และลงชื่อนายอภิชาต สุขัคคานนท์) เสนอต่อที่ประชุม และเสนออย่างไร ; และผู้เขียนไม่อาจทราบได้ว่า ข้อความ ที่ทำเครื่องหมายถูกไว้นั้น เป็นข้อความที่นายอภิชาตเขียนด้วยตนเอง หรือเป็นข้อความที่มีผู้อื่นจัดพิมพ์ไว้ให้เพื่อให้นายอภิชาต ฯ ลงชื่อ
ผู้เขียนขอเรียนว่า ในการพิจารณาคดีนั้น นอกจากพยานเอกสารแล้ว ยังมีการแสวงหาพยานหลักฐานในลักษณะอื่น เช่น การซักถามพยานบุคคลในประเด็นต่าง ๆ การบันทึกถ้อยคำในการสืบพยานบุคคล การเรียกเอกสารหลักฐานจากผู้ที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งความถูกต้องและความสมบูรณ์ของสิ่งเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับ การทำหน้าที่ของตุลาการ และ ล้วนเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญ ที่นำไปสู่ ข้อยุติ ที่เป็นการวินิจฉัยชึ้ขาดคดีของศาล ทั้งสิ้น ; ตัวอย่างที่กล่าวข้างต้นนี้ เป็นเพียง ตัวอย่างเดียว และเป็นตัวอย่างของความแตกต่างใน ข้อเท็จจริง ที่ปรากฎอยู่ในพยานเอกสาร(รายงานการประชุม) ที่สามารถเห็นได้ชัดเจน แต่ในกรณีอื่น ๆ ความไม่ถูกต้องและความไม่สมบูรณ์ อาจจะไม่สามารถเห็นได้ชัดเจน ดังเช่นในกรณีนี้
สำหรับในคดีนี้ ยังปรากฎด้วยว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้นำ การมีมติของนายอภิชาติ ในการประชุม ในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง (โดยที่นายอภิชาต ไม่ได้เข้าประชุม) ตามหน้า ๓๓ นี้ ไปยืนยันเป็น เหตุผล เพื่อสนับสนุนการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ (ที่วินิจฉัยว่า ความเห็นของนายอภิชาต ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง ไม่อาจถือได้ว่า เป็น ความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้) ไว้ในหน้า ๓๖ - ๓๗ อีกด้วย
● ผู้เขียนใคร่ขอเรียนด้วยว่า ข้อความ (ที่ระบุถึง เอกสารดังกล่าว ที่มีการนำเสนอต่อที่ประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒) นั้น เป็นข้อความที่ปรากฎอยู่ในคำวินิจฉัย -ส่วนตน () ของท่านตุลาการสุพจน์ ไข่มุกด์ เพียงท่านเดียว เท่านั้น ; และผู้เขียนต้องขอขอบคุณ ท่านสุพจน์ ไข่มุกด์ เป็นอย่างมาก ที่ได้กรุณาเขียนข้อความนี้ไว้คำวินิจฉัย - ส่วนตนของท่าน เพราะถ้าหากท่านสุพจน์ไม่เขียนความข้อนี้ไว้ ผู้เขียนก็คงไม่สามารถทราบได้ว่า มี ข้อเท็จจริงนี้ อยู่ในสำนวนความของศาลรัฐธรรมนูญ
ถ้าเราจะตรวจสอบและเปรียบเทียบดูว่า คำวินิจฉัย - ส่วนตน ของท่านตุลาการท่านอื่น ที่กล่าวถึง การประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ นี้ ; เราก็จะพบว่า ในจำนวนตุลาการอีก ๕ ท่านนั้น ก็มีเพียงอีกท่านเดียวเท่านั้น ที่ได้กล่าวถึง ข้อเท็จจริง ที่ว่า นายอภิชาติฯ ไม่ได้อยู่ในที่ประชุมในวันนั้น ; โปรดดู คำวินิจฉัย - ส่วนตนของตุลาการแต่ละท่าน ดังนี้
(๑)คำวินิจฉัย - ส่วนตน ของท่าน จรัญ ภักดีธนากุล ไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงว่า นายอนูชาต ไม่ได้เข้าประชุม โดยข้อความในคำวินิจฉัย - ส่วนตน ของท่าน จรัญ ภักดีธนากุล(หน้า ๕) จะเป็นข้อความเดียวกับ ในคำวินิจฉัย(กลาง)ของศาลรัฐธรรมนูญ ; (๒) คำวินิจฉัย - ส่วนตน ของท่านนุรักษ์ มาประณีต ไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงว่า นายอนูชาต ไม่ได้เข้าประชุม (โดยกล่าวถึงเฉพาะ การมีมติ ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง) โดยในหน้า ๔ มีความว่า ...... วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ คณะกรรมการการเลือกตั้งประชุมพิจารณารายงานผลการสืบสวนสอบสวนของ คณะกรรมการการสืบสวนสอบสวน (เพิ่มเติมครั้งที่ ๒) ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติด้วยเสียงข้างมาก ๓ ท่านคือ นายประพันธ์ นัยโกวิท นางสดศรี สัตยธรรม และนายสมชัย จึงประเสริฐ มีความเห็นว่าควรส่งเรื่องไปให้นายทะเบียนพรรคการเมือง พิจารณาตามมาตรา ๙๕ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๑ (พ.ศ. ๒๕๕๐ ?) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายสมชัย จึงประเสริฐ ได้มีความเห็นว่า กรณีที่นายทะเบียน เสนอเรื่องนี้ต่อ กกต. โดยยังไม่พิจารณาเสนอความเห็น จึงเป็นการข้ามขั้นตอน น่าจะไม่ชอบด้วยวิธีปฏิบัติตามนัย มาตรา ๙๕ และ กกต.ไม่มีอำนาจก้าวล่วงไปวินิจฉัยแทนนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าจะดำเนินการอย่างไร คงมีอำนาจหน้าที่เพียงให้ความเห็นชอบตามข้อเสนอของนายทะเบียนพรรคการเมืองเท่านั้น ฉะนั้นในขั้นนี้เห็นควรให้นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการตาม พ.ร.บ. พรรคการเมืองฯ มาตรา ๙๕ ต่อไป ; (๓) คำวินิจฉัย - ส่วนตน ของ ท่านอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงว่า นายอนูชาต ไม่ได้เข้าประชุม โดยในหน้า ๑๑ มีความว่า ..... และต่อมาเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งครั้งที่ ๑๔๔ / ๒๕๕๒ ได้พิจารณารายงานของ คณะกรรมการสืบสวนสอบสวน ทั้งสองข้อกล่าวหาแล้ว มีมติด้วยคะแนนเสียงข้างมากส่งเรื่องให้ผู้ร้อง (นายทะเบียน) พิจารณาดำเนินการตาม พรบ.ประกอบ รธน. ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๕ ทั้งสองข้อกล่าวหา โดยผู้ร้องในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ร่วมลงมติเป็นความเห็นข้างน้อย ให้ยกคำร้องที่ให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องทั้ง ๒ ข้อกล่าวหา เพราะไม่พบการกระทำผิดนั้น ........ ; (๔) คำวินิจฉัย - ส่วนตน ของ ท่านชัช ชลวร (ประธานศาลรัฐธรรมนูญ) ไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงว่า นายอนูชาต ไม่ได้เข้าประชุม (หน้า ๔ และหน้า ๖) โดยในหน้า ๖ ก็อ้างเพียงว่า .... จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เห็นว่า การประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ เป็นกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง มิได้มีการใช้อำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมือง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ วรรคสอง .......
และท่านตุลาการท่านสุดท้าย (๕) คำวินิจฉัย - ส่วนตน ของ ท่านบุญส่ง กุลบุปผา ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงว่า นายอนูชาต ไม่ได้เข้าประชุม โดยในหน้า ๗ มีความว่า ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคมนั้น ประธานกรรมการการเลือกตั้งหรือนายทะเบียนพรรคการเมืองมิได้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในขณะนั้น นายประพันธ์ นัยโกวิท จึงเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานกรรมการการเลือกตั้ง ได้สั่งการในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง ให้นำความเห็นของ คณะกรรมการสืบสวน ชุดที่นายอิศระ หลิมศิริวงษ์ เป็นประธานทำการสืบสวนสอบสวนข้อกล่าวหาทั้งสอง เสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งเสียงข้างมากประกอบด้วย นายประพันธ์ นัยโกวิท นายสมชาย(สมชัย) จึงประเสริฐ และนางสดศรี สัตยธรรม ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า นายประพันธ์ นัยโกวิท เป็นผู้สั่งนำความเห็นคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนเข้ารับการพิจารณาจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง มิใช่นายทะเบียนพรรคการเมือง ประกอบกับกรณีดังกล่าว นายทะเบียนพรรคการเมืองยังมิให้ความเห็นตาม มาตรา ๙๕ แห่ง พรบ. ประกอบ รธน. ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ ......ที่ประชุมจึงลงมติสั่งการให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งเสียก่อน ตามขั้นตอน .... .
● ข้อที่เป็นน่าเป็นห่วงอีกประการหนึ่ง ก็คือ ความเห็นของ ท่านอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ที่วินิจฉัยให้ยกคำร้องของนายทะเบียน เพราะเหตุที่นายทะเบียน ไม่ได้ยื่นคำร้อง ภายในกำหนดเวลา ๑๕ วันนับแต่วันที่ความปรากฎต่อนายทะเบียน ตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง ; ปรากฎว่า วันที่ ที่ท่านอุดมศักดิ์ฯ มีความเห็นว่า เป็น วัน ที่ถือว่าความปรากฎต่อนายทะเบียน นั้น บังเอิญเป็น วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประชุมกัน ในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ซึ่งนายอภิชาต ฯ (ประธานกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมือง) ไม่ได้เข้าประชุม นั่นเอง ; ซึ่งจะได้กล่าว ในหัวข้อที่สาม ต่อไป
หลักนิติธรรม -the rule of law ระบุไว้ว่า ผู้พิพากษาย่อมมีความเป็นอิสระในการพิพากษาคดี และรัฐธรรมนูญของเราได้ให้หลักประกันไว้ ; ปัญหามีว่า แล้วใครเล่า (?) จะเป็นผู้รับผิดชอบใน คุณภาพและ มาตรฐาน ของคำพิพากษาของศาลของประเทศไทย และเราคนไทยจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ ได้อีกนานเท่าใด
และเท่าที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นเพียงการวิเคราะห์ความตกหล่นของ ข้อเท็จจริง ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เฉพาะในส่วนแรก คือ เฉพาะข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับ ประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำขอของนายทะเบียนพรรคการเมือง เท่านั้น ; ในหัวข้อที่สี่ต่อไป จะเป็นการวิเคราะห์ ข้อเท็จจริงในส่วนที่สอง ที่เกี่ยวกับ ประเด็นว่า พรรคประชาธิปัตย์กระทำความผิด จริงหรือไม่ จาก คำวินิจฉัย - ส่วนตน ; ซึ่งผู้เขียนเองก็ยังไม่แน่ใจว่า สาระจะเป็นอย่างไร เพราะยังไม่ได้เขียน
◊◊ คำถามสำหรับท่านผู้อ่าน เมื่อท่านผู้อ่านได้อ่านข้อที่สอง นี้แล้ว ท่านผู้อ่านคิดว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ยกคำร้องของนายทะเบียน นี้ ได้ตกหล่นข้อความที่ควรปรากฎ (แต่ไม่ปรากฎ)ในคำวินิจฉัยฯ ไปมากน้อยเพียงใด
ผู้เขียนได้กล่าวไว้ใน บทนำตอนต้นของบทความนี้ไว้ว่า ผู้พิพากษาที่เขียนคำพิพากษาที่ ผิดปกติ โดยตกหล่นสาระเป็นจำนวนมากนั้น จะตกอยู่ในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้ คือ เป็นผู้ที่มีความรู้ไม่ถึงมาตรฐานของการเป็นผู้พิพากษา หรือ มิฉะนั้น ก็เป็นผู้มีความรู้ถึงมาตรฐาน แต่ไม่สุจริต(ใจ) ; ดังนั้น ถ้าท่านผู้อ่านเห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนี้ มีข้อความที่ตกหล่นไปมีมากผิดปกติ คำถามต่อไปก็มีว่า ท่านผู้อ่านคิดว่า การตกหล่นข้อความดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นเพราะตุลาการที่เขียนคำวินิจฉัย เป็นผู้ที่มีความรู้ไม่ถึงมาตรฐาน (ของการเป็นผู้พิพากษา) หรือ เกิดขึ้นเพราะตุลาการเป็นผู้มีความรู้ถึงมาตรฐาน แต่ไม่สุจริต(ใจ)
ถ้าท่านผู้อ่านยังตอบไม่ได้หรือไม่แน่ใจ ก็โปรดอ่าน ข้อที่สี่ ว่าด้วยการวิเคราะห์คำวินิจฉัย - ส่วนตน ของตุลาการ ในประเด็นที่ว่า พรรคประชาธิปัตย์ กระทำผิด หรือไม่ ต่อไป
๑๕ มีนาคม ๒๕๕๔
(จบ ข้อที่สอง ใน ตอนที่สอง ของส่วนที่สาม ; บทความนี้ยังไม่จบ)
๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓
|
|
|
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1570
เวลา 23 พฤศจิกายน 2567 16:14 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|